คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 173

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 274 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 907/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นอุทธรณ์ซ้ำและการแก้ไขอุทธรณ์เดิม ศาลไม่รับเนื่องจากอุทธรณ์เดิมไม่สมบูรณ์และไม่มีผลต่อการพิจารณา
โจทก์ยื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งว่าอุทธรณ์ไม่มีข้อความเป็นอุทธรณ์ จึงไม่รับโจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ แล้วต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องพร้อมกับยื่นอุทธรณ์ใหม่อีก 1 ฉบับ (ภายในอายุความอุทธรณ์) ขอให้ศาลชั้นต้นรวมสำนวนส่งไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อประกอบการพิจารณาพิพากษาคดีต่อไป ดังนี้ เมื่อปรากฏความประสงค์อันชัดแจ้งของโจทก์ที่ยื่นอุทธรณ์ฉบับใหม่เข้ามาเพื่อจะขอแก้อุทธรณ์ฉบับเดิมและให้ถือเอาอุทธรณ์ฉบับใหม่เป็นส่วนหนึ่งของอุทธรณ์ฉบับเดิม มิใช่เป็นการยื่นอุทธรณ์ใหม่เป็นอีกฉบับหนึ่งแยกต่างหากจากฉบับเดิม อุทธรณ์ฉบับใหม่หาได้มีสภาพเป็นอุทธรณ์โดยแท้ไม่ หากมีสภาพเป็นทำนองคำแถลงประกอบอุทธรณ์ฉบับเดิมเท่านั้น และอุทธรณ์ฉบับเดิมที่ศาลสั่งไม่รับก็ไม่มีข้อความเป็นอุทธรณ์ทั้งคำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ถึงที่สุดแล้ว มีผลเท่ากับไม่มีอุทธรณ์ฉบับเดิมเป็นหลักอ้างอิงที่จะนำเอาอุทธรณ์ฉบับใหม่ประกอบการพิจารณา จึงไม่มีปัญหาจะต้องพิจารณาและวินิจฉัยว่าอุทธรณ์ฉบับใหม่มีสภาพเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ฉนั้นการที่จะรับอุทธรณ์ฉบับใหม่ของโจทก์ไว้ตามที่โจทก์ฎีกาขึ้นมาก็ไม่มีประโยชน์อันใดอันจะพึงเกิดแก่คดีของโจทก์ จึงไม่รับอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1188/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดร่วมกันในคดีละเมิดและการแบ่งแยกความรับผิดของจำเลยแต่ละคน
จำเลยกล่าวอ้างไว้แจ้งชัดในอุทธรณ์และในศาลชั้นต้นจำเลยก็ให้การว่าไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ พออนุโลมได้ว่าจำเลยได้ยกความข้อที่ว่าจำเลยไม่ควรร่วมกันแทนกันรับผิดต่อโจทก์ขึ้นอ้างอิงแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 ประกอบกับมาตรา 247
ในคดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ โดยจำเลยให้การหรือแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ทำให้โจทก์ต้องออกจากตำแหน่ง แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ให้การต่อคณะกรรมการสอบสวนโจทก์เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2504 ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ปีเดียวกัน จำเลยต่างคนต่างให้การอ้างว่ารู้เห็นในหน้าที่ของตน จึงไม่มีลักษณะเป็นลูกหนี้ร่วมกัน ทั้งตามฟ้องของโจทก์ก็ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ร่วมกันจึงไม่ควรที่จะให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ร่วมกันหรือแทนกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1188/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดจากการให้การเท็จต่อคณะกรรมการสอบสวน และการแบ่งแยกความรับผิดของลูกหนี้ร่วม
จำเลยกล่าวอ้างไว้แจ้งชัดในอุทธรณ์และในศาลชั้นต้นจำเลยก็ให้การ ว่าไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ พออนุโลมได้ว่าจำเลยได้ยกความข้อที่ว่าจำเลยไม่ควรร่วมกันแทนกันรับผิดต่อโจทก์ขึ้นอ้างอิงแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 ประกอบกับมาตรา 247
ในคดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ โดยจำเลยให้การหรือแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ทำให้โจทก์ต้องออกจากตำแหน่ง แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ให้การต่อคณะกรรมการสอบสวนโจทก์เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2504 ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ปีเดียวกัน จำเลยต่างคนต่างให้การอ้างว่ารู้เห็นในหน้าที่ของตน จึงไม่มีลักษณะเป็นลูกหนี้ร่วมกัน ทั้งตามฟ้องของโจทก์ก็ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ร่วมกัน จึงไม่ควรที่จะให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ร่วมกันหรือแทนกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1088-1089/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมแบ่งมรดก: ศาลต้องฟังข้อเท็จจริงเรื่องทรัพย์สินและการครอบครองเพื่อวินิจฉัยความรับผิดของจำเลย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมกับโจทก์ จะแบ่งทรัพย์ให้โจทก์ ไม่ได้ฟ้องนางทรัพย์จำเลยให้การต่อสู้ว่า ทรัพย์มรดกที่พิพาท จำเลยไม่ได้เกี่ยวข้องอยู่ในความครอบครองของนางทรัพย์และ ส. ซึ่งเป็นโจทก์คนหนึ่งได้รับส่วนแบ่งไปจากนางทรัพย์แล้ว ซึ่งถ้าสมข้อต่อสู้ของจำเลย จำเลยก็ไม่ต้องรับผิด ดังนี้ เป็นข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องฟังจากพยานหลักฐานต่อไป
คดีก่อนเป็นเรื่องฟ้องแบ่งมรดก คดีหลังเป็นเรื่องฟ้องเรียกทรัพย์ตามสัญญาแบ่งมรดก ดังนี้ หาใช่เรื่องเดียวกันไม่ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1088-1089/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมแบ่งมรดก: ศาลต้องฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเกี่ยวข้องกับมรดกหรือไม่ และฟ้องเรียกทรัพย์ตามสัญญาไม่ใช่ฟ้องซ้ำ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมกับโจทก์ จะแบ่งทรัพย์ให้โจทก์ ไม่ได้ฟ้องนางทรัพย์ จำเลยให้การต่อสู้ว่า ทรัพย์มรดกที่พิพาท จำเลยไม่ได้เกี่ยวข้องอยู่ในความครอบครองของนางทรัพย์และ ส. ซึ่งเป็นโจทก์คนหนึ่งได้รับส่วนแบ่งไปจากนางทรัพย์แล้ว ซึ่งถ้าสมข้อต่อสู้ของจำเลย จำเลยก็ไม่ต้องรับผิด ดังนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องฟังจากพยานหลักฐานต่อไป
คดีก่อนเป็นเรื่องฟ้องแบ่งมรดก คดีหลังเป็นเรื่องฟ้องเรียกทรัพย์ตามสัญญาแบ่งมรดก ดังนี้ หาใช่เรื่องเดียวกันไม่ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 222-223/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานใช้อำนาจโดยมิชอบ ข่มขืนใจเอาทรัพย์สินจากผู้ถูกจับกุม การฟ้องซ้ำ และการพิจารณารวมสำนวน
จำเลยเป็นเจ้าพนักงาน(ตำรวจ) ไปจับผู้เสียหายทั้งสอง (ในข้อหาว่า ขายสลากกินรวบ) และยึดเอาเงินในตัวผู้เสียหายทั้งสอง โดยปราศจากหลักฐานหรือเหตุผลที่ควรจะจับได้ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ และได้จูงใจให้ผู้เสียหายยอมให้เงินที่จำเลยยึดไว้แก่จำเลย แล้วจำเลยปล่อยผู้เสียหายไป การกระทำของจำเลยเป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 และการที่จำเลยจับผู้เสียหายแต่ละสำนวนมาคนละที(โจทก์ฟ้องจำเลยเป็น 2 สำนวน)ในเวลาห่างกัน สถานที่ที่จับก็เป็นคนละแห่ง ข้อหาที่จับแม้จะเป็นอย่างเดียวกัน แต่ก็มิได้เกี่ยวเนื่องเป็นกรณีเดียวกัน จะฟังว่าคดีที่โจทก์กล่าวหาจำเลยทั้ง 2 สำนวนเป็นเรื่องเดียวกันไม่ได้ ฉะนั้น เมื่อปรากฏว่าคดีทั้ง 2 สำนวน ศาลพิจารณารวมกัน ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยไปจับผู้เสียหายทั้งสองแล้วนำไปส่งสถานีตำรวจ แล้วเรียกให้ผู้เสียหายยอมให้เงินในเวลาที่พาไป ศาลล่างทั้งสองจึงวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า จำเลยเรียกและรับเงินจากผู้เสียหายทั้งสองจริงตามฟ้อง จึงไม่มีข้อเท็จจริงอะไรที่จะย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัย ฉะนั้น เมื่อ(ศาลชั้นต้นยกฟ้องสำนวนหลังสำนวนเดียวเห็นว่าเป็นฟ้องซ้อน) ศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ และจำเลยกระทำผิดจริง ก็ชอบเพียงแต่ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดีเท่านั้น เพื่อให้เป็นไปตามลำดับศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 222-223/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานใช้อำนาจโดยมิชอบ ข่มขืนใจเรียกรับเงินจากผู้ถูกจับ แม้จับต่างวาระและสถานที่ ก็ถือเป็นความผิดเดียวกันได้
จำเลยเป็นเจ้าพนักงาน(ตำรวจ) ไปจับผู้เสียหายทั้งสอง (ในข้อหาว่า ขายสลากกินรวบ) และยึดเอาเงินในตัวผู้เสียหายทั้งสอง โดยปราศจากหลักฐานหรือเหตุผลที่ควรจะจับได้ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ และได้จูงใจให้ผู้เสียหายยอมให้เงินที่จำเลยยึดไว้แก่จำเลย แล้วจำเลยปล่อยผู้เสียหายไป การกระทำของจำเลยเป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 และการที่จำเลยจับผู้เสียหายแต่ละสำนวนมาคนละที(โจทก์ฟ้องจำเลยเป็น 2 สำนวน) ในเวลาห่างกันสถานที่ที่จับก็เป็นคนละแห่ง ข้อหาที่จับแม้จะเป็นอย่างเดียวกัน แต่ก็มิได้เกี่ยวเนื่องเป็นกรณีเดียวกันจะฟังว่าคดีที่โจทก์กล่าวหาจำเลยทั้ง 2 สำนวนเป็นเรื่องเดียวกันไม่ได้ ฉะนั้น เมื่อปรากฏว่าคดีทั้ง 2 สำนวนศาลพิจารณารวมกัน ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยไปจับผู้เสียหายทั้งสองแล้วนำไปส่งสถานีตำรวจ แล้วเรียกให้ผู้เสียหายยอมให้เงินในเวลาที่พาไป ศาลล่างทั้งสองจึงวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า จำเลยเรียกและรับเงินจากผู้เสียหายทั้งสองจริงตามฟ้อง จึงไม่มีข้อเท็จจริงอะไรที่จะย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัย ฉะนั้นเมื่อ(ศาลชั้นต้นยกฟ้องสำนวนหลังสำนวนเดียวเห็นว่าเป็นฟ้องซ้อน)
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ และจำเลยกระทำผิดจริงก็ชอบเพียงแต่ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดีเท่านั้นเพื่อให้เป็นไปตามลำดับศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 251-252/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พินัยกรรม, ฟ้องซ้ำ, สิทธิรับมรดก, สินสมรส, พยานหลักฐาน
บุตรไม่อาจอ้างว่าบิดานำสินสมรสของบิดามารดามาทำพินัยกรรม ในเมื่อมารดาผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงมิได้โต้แย้งคัดค้าน
โจทก์ฟ้องคดีแรกขอให้เพิกถอนหรือทำลายพินัยกรรม แล้วมาฟ้องคดีหลังขอให้สั่งว่าพินัยกรรมไม่ชอบด้วยกฎหมายอีก แม้ฟ้องคดีหลังจะมีประเด็นขอให้กำจัดมิให้รับมรดกและเรียกค่าเสียหายด้วยก็ตาม เฉพาะประเด็นให้เพิกถอนพินัยกรรมนั้นต้องถือว่าเป็นฟ้องซ้ำ
หากพยานฝ่ายที่นำสืบภายหลังเบิกความแตกต่างกับที่เคยเบิกความไว้ในคดีอาญาและฝ่ายที่นำสืบก่อนเพิ่งทราบเช่นนี้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุตธรรม ศาลอนุญาตให้ฝ่ายนำสืบก่อนอ้างสำนวนคดีอาญาเป็นพยานได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 544/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีซ้ำซ้อน: โจทก์ฟ้องคดีใหม่ในประเด็นที่เคยคัดค้านในคดีเดิมที่ยังไม่สิ้นสุด
โจทก์ร้องคัดค้านในคดีก่อนซึ่งจำเลยทั้งสองเป็นคู่ความกันอยู่แล้ว และคดีนั้นก็กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล เช่นนี้ โจทก์จะนำมูลกรณีเรื่องเดียวกันนั้นมาฟ้องจำเลยในคดีใหม่อีกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 544/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีซ้ำซ้อน: โจทก์ฟ้องคดีใหม่หลังคัดค้านในคดีเดิมไม่ได้ แม้ได้รับความเสียหายจากผลคดี
โจทก์ร้องคัดค้านในคดีก่อนซึ่งจำเลยทั้งสองเป็นคู่ความกันอยู่แล้วและคดีนั้นก็กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล เช่นนี้ โจทก์จะนำมูลกรณีเรื่องเดียวกันนั้นมาฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่อีกไม่ได้
of 28