พบผลลัพธ์ทั้งหมด 194 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3501/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวการร่วมฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน: การกระทำช่วยเหลือและสนับสนุนการฆ่าผู้อื่น
จำเลยที่1และที่2ร่วมกันว่าจ้างจำเลยที่3ให้ฆ่าผู้ตายโดยจำเลยที่2จัดหาอาวุธปืนและรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะให้คืนเกิดเหตุจำเลยที่1และที่2ไปนั่งในร้านที่เกิดเหตุใกล้ๆเพื่อคอยช่วยเหลือจำเลยที่3หากมีอันตรายเกิดขึ้นเมื่อจำเลยที่3ยิงผู้ตายแล้วนั่งรถจักรยานยนต์หลบหนีไปจำเลยที่2ได้เข้าไปแย่งอาวุธปืนจากโจทก์ร่วมซึ่งกำลังจะไล่ติดตามจำเลยที่3แล้วทำทีเป็นวิ่งไล่ตามยิงจำเลยที่3โดยเจตนาจะไม่ให้กระสุนปืนถูกจำเลยที่3ถือว่าจำเลยที่1และ2เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่3กระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1124/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายหลังวิวาท ไม่ถือเป็นป้องกันตัว และเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
จำเลยกับผู้ตายวิวาทชกต่อยกัน แล้วจำเลยแยกกลับห้องพักและย้อนกลับมาใช้อาวุธมีดแทงผู้ตาย หลังจากเกิดเหตุชกต่อยกันแล้วประมาณ 10 นาทีการกระทำดังกล่าวของจำเลยจึงมิใช่เป็นการกระทำโดยป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ เพราะไม่มีเหตุภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่จำต้องกระทำเพื่อป้องกันตัว แต่การกระทำของจำเลยเป็นการฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1124/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ไม่เข้าข้อยกเว้นการป้องกันตัว
จำเลยกับผู้ตายวิวาทชกต่อยกันแล้วจำเลยแยกกลับห้องพักและย้อนกลับมาใช้อาวุธมีดแทงผู้ตายหลังจากเกิดเหตุชกต่อยกันแล้วประมาณ10นาทีการกระทำดังกล่าวของจำเลยจึงมิใช่เป็นการกระทำโดยป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุเพราะไม่มีเหตุภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่จำต้องกระทำเพื่อป้องกันตัวแต่การกระทำของจำเลยเป็นการฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 147/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน การกระทำหลายกรรมต่างกัน และการปรับบทลงโทษในคดีอาญา
ผู้เสียหายเบิกความเป็นขั้นตอนเชื่อมโยงกันอย่างมีเหตุผลโอกาสที่ผู้เสียหายจะจำจำเลยที่2และที่3ได้มีอยู่มากและการที่ผู้เสียหายตรงเข้าชกจำเลยที่2และที่3ด้วยความโกรธในทันทีที่พบกันตอนชี้ตัวย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายจำหน้าจำเลยที่2และที่3ได้โดยปราศจากการลังเลพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงเชื่อได้ว่าจำเลยที่2และที่3กับพวกร่วมกันล่อลวงพาผู้ตายและผู้เสียหายมาทำร้าย แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานเห็นคนร้ายทำร้ายผู้ตายแต่การที่ผู้ตายตกอยู่ในวงล้อมการทำร้ายของจำเลยที่2ที่3และ ฮ.ซึ่งมีชะแลงเหล็กเป็นอาวุธและเมื่อผู้ตายหลบหนีก็ปรากฏว่ามีบาดแผลจนถึงแก่ความตายในคืนเดียวกันเหตุการณ์เชื่อมโยงบ่งชี้ให้เห็นว่าผู้ตายถูกจำเลยที่2ที่3และ ฮ. ร่วมกันใช้ชะแลงเหล็กตีทำร้ายผู้ตาย จำเลยที่2และที่3อุทธรณ์ว่ามิใช่คนร้ายที่กระทำผิดตามฟ้องจึงครอบคลุมไปถึงข้ออุทธรณ์ว่าไม่มีเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนอยู่ด้วย ผู้ตายและผู้เสียหายไม่เคยรู้จักหรือมีเหตุโกรธเคืองจำเลยที่2ที่3และ ฮ.มาก่อนทั้งโจทก์ก็มิได้นำสืบว่าจำเลยที่1มีความสัมพันธ์กับจำเลยที่2และที่3ประการใดพอที่จะแสดงให้เห็นว่าเป็นเหตุจูงใจให้จำเลยที่2และที่3กับพวกต้องฆ่าผู้ตายการที่จำเลยที่2ที่3และพวกล่อลวงผู้ตายกับผู้เสียหายมายังที่เกิดเหตุจุดแรกพร้อมกันและตรงเข้าทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหายพร้อมกันแต่ผู้ตายหลบหนีไปได้เสียก่อนในตอนแรกแสดงให้เห็นว่าเจตนาของจำเลยที่2ที่3และ ฮ.ที่มีต่อผู้ตายและผู้เสียหายในขณะนั้นเป็นเจตนาเดียวกันคือเจตนาทำร้ายการที่จำเลยที่2ที่3และ ฮ. ติดตามไปทันและฆ่าผู้ตายในภายหลังต่อเนื่องกันไปย่อมเห็นได้ว่าเพิ่งมีเจตนาฆ่าผู้ตายในขณะนั้นจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่2ที่3กับ ฮ. มีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน การกระทำของจำเลยที่2และที่3ต่อผู้ตายและผู้เสียหายเป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันแต่เมื่อโจทก์มิได้ฎีกาศาลฎีกาจึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่2และที่3อีกกรรมหนึ่งได้เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา212ประกอบมาตรา225แต่ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 147/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน การกระทำหลายกรรมต่างกัน และการปรับบทลงโทษ
จำเลยที่2และที่3กับพวกล่อลวงผู้ตายและผู้เสียหายมายังที่เกิดเหตุจุดแรกโดยมีเจตนาเพียงทำร้ายร่างกายและทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัสแต่ผู้ตายหลบหนีไปได้เสียก่อนการที่จำเลยที่2ที่3และ ฮ. ติดตามไปทันและฆ่าผู้ตายในภายหลังต่อเนื่องกันไปย่อมเห็นได้ว่าเพิ่งมี เจตนาฆ่าผู้ตายในขณะนั้นจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่2ที่3และ ฮ.มีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน การกระทำของจำเลยที่2และที่3ต่อผู้ตายและผู้เสียหายดังกล่าวเป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันแต่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่2และที่3ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา289(4),83เพียงกรรมเดียวเมื่อโจทก์มิได้ฎีกาศาลฎีกาจึงไม่อาจลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา297(8)อีกกรรมหนึ่งได้เพราะเป็นการพิพากษา เพิ่มเติมโทษจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา212ประกอบมาตรา225แต่ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้ การที่จำเลยที่2และที่3อุทธรณ์ว่ามิใช่คนร้ายที่กระทำผิดตามฟ้องย่อมครอบคลุมไปถึงข้ออุทธรณ์ว่าไม่มีเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนอยู่ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6738/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พยายามฆ่า และวางเพลิงเผาโรงเรือน จำเลยมีความผิดตามกฎหมายอาญา
จำเลยใช้ของเหลวไวไฟเทราดผู้ตายตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงฟื้นห้องของเหลวไวไฟดังกล่าวเป็นวัตถุไวไฟที่ร้ายแรงติดไฟได้ง่ายและสามารถลุกลามไปได้ทั้งร่างกาย เมื่อเทของเหลวไวไฟแล้วจำเลยใช้ไฟแช็กจุดไฟที่ต้นคอผู้ตาย ก่อให้ไฟไหม้ตามตัวของผู้ตายร้อยละ90 ของร่างกาย จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลที่จะฆ่าผู้ตาย จำเลยได้ขอซื้อไฟแช็คจากส. ครั้งหนึ่งแล้ว แต่เพื่อนจำเลยห้ามไม่ให้ ส.ขายให้ทั้งจำเลยเป็นผู้ริเริ่มโทรศัพท์นัดให้ ค.และผู้ตายไปตกลงเรื่องชู้สาวในวันเกิดเหตุและตระเตรียมการซื้อไฟแช็กเพื่อประสงค์ใช้ในการจุดไฟการกระทำของจำเลยชี้ให้เห็นว่าจำเลยได้คิดทบทวนล่วงหน้าก่อนจะกระทำผิดแล้วจำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ขณะจำเลยใช้ของเหลวไวไฟเทราดไปที่ผู้ตายนั้น โจทก์ร่วมที่ 2 ลุกจากที่นั่งมาที่ผู้ตายห่างเพียง 1 เมตร จะเข้าไปห้ามปรามจำเลย แต่กลับรู้สึกตัวว่ามีไฟลุกไหม้ที่หน้าตามลำตัวด้านหน้าและที่มือทั้งสองข้าง อันเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ใช้ของเหลวไวไฟเทราดผู้ตายแล้วของเหลวไวไฟกระเด็นไปถูกตัวโจทก์ร่วมที่ 2ด้วย ทำให้โจทก์ร่วมที่ 2 ได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าและตามลำตัวด้านหน้าใช้เวลารักษา 5 เดือน ถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยเจตนาฆ่าแก่โจทก์ร่วมที่ 2 ซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 60 ด้วย เมื่อโจทก์ร่วมที่ 2 ไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ที่ 2 โดยไตร่ตรองไว้ก่อนอีกบทหนึ่ง จำเลยใช้ของเหลวไวไฟเทราดและจุดไฟให้ลุกไหม้ผู้ตายขณะอยู่ในห้องทำงานของโจทก์ร่วมที่ 2 บนชั้นสองของตึกแถวที่เกิดเหตุซึ่งเป็นโรงเรือนที่พักอาศัยและเป็นโรงเรียนสอนตัดเสื้อของโจทก์ที่ 1 ปรากฏว่านอกจากไฟจะลุกไหม้ผู้ตาย และโจทก์ร่วมที่ 2 แล้วยังลุกไหม้โต๊ะ เก้าอี้ และพื้นห้องของโจทก์ร่วมที่ 1 ดังกล่าวเสียหาย ซึ่งเห็นได้ว่าโดยลักษณะแห่งการกระทำของจำเลยเช่นนี้จำเลยย่อมเล็งเห็นผลการกระทำของจำเลยดังกล่าวได้ว่า ไฟต้องลุกไหม้ขึ้นภายในอาคารตึกแถวที่เกิดเหตุ ถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยมีเจตนาวางเพลิงเผาโรงเรือนของโจทก์ร่วมที่ 1 ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2290/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมวางแผนฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ศาลปรับบทลงโทษให้ถูกต้อง
การที่จำเลยกับพวกร่วมกันวางแผนหลอกผู้ตายออกมาจากร้านอาหารไปที่ถนนริมคลองชลประทานที่เกิดเหตุ แล้วพวกจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย หลังจากฆ่าผู้ตายแล้วจำเลยกับพวกก็หลบหนีไปด้วยกัน ถือได้ว่าเป็นการร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน มิใช่เป็นเพียงผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 แต่โจทก์ก็มิได้ฎีกาขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลย ศาลฎีกาจึงไม่อาจลงโทษจำเลยให้หนักไปกว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้ แต่มีอำนาจพิพากษาปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2290/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันวางแผนฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ศาลฎีกาปรับบทกฎหมาย
การที่จำเลยกับพวกร่วมกันวางแผนหลอกผู้ตายออกมาจากร้านอาหารไปที่ถนนริมคลองชลประทานที่เกิดเหตุ แล้วพวกจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย หลังจากฆ่าผู้ตายแล้วจำเลยกับพวกก็หลบหนีไปด้วยกัน ถือได้ว่าเป็นการร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน มิใช่เป็นเพียงผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 แต่โจทก์ก็มิได้ฎีกาขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลย ศาลฎีกาจึงไม่อาจลงโทษจำเลยให้หนักไปกว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้ แต่มีอำนาจพิพากษาปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1845/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันใช้ จ้าง วาน ให้ผู้อื่นฆ่า และคำรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นพยานหลักฐานสำคัญ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนสอดคล้องกับคำเบิกความของ ร. ว่าก่อนเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 ได้ขอให้หาคนไปยิงผู้ตายเพราะผู้ตายติดต่อฉันชู้สาวกับ ส. สามีจำเลยที่ 2ชั้นจับกุมและสอบสวนจำเลยที่ 1 รับสารภาพว่ารับจ้างจำเลยที่ 2ยิงผู้ตาย โดยจำเลยที่ 3 เป็นคนติดต่อ ประกอบกับผู้ตรวจพิสูจน์มีความเห็นว่าปลอกกระสุนปืนของกลางที่จำเลยที่ 1 นำยึดได้และหัวกระสุนปืนที่ได้จากศพผู้ตายใช้ยิงมาจากอาวุธปืนของกลางที่ยึดได้จากจำเลยที่ 1 ขณะทำการจับกุมจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2และที่ 3 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนโดยสมัครใจ คำให้การดังกล่าวจึงใช้ยันจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 เมื่อรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์แล้วฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ประกอบด้วย มาตรา 84
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1292/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาและกรรมเดียวในการทำร้ายร่างกาย - การชนท้ายรถเพื่อหวังทำร้าย - การพิจารณาเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน
การที่พวกของจำเลยขับรถยนต์ชนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ ส.ขับโดยมีโจทก์ร่วมนั่งซ้อนท้ายเป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ล้มลงแล้วพวกของจำเลยทั้งสองจึงหยุดรถแล้วลงไปใช้เหล็กท่อนเป็นอาวุธทำร้ายร่างกาย ส. และโจทก์ร่วม เห็นได้ว่าการใช้รถยนต์ชนท้ายรถจักรยานยนต์เพียงต้องการให้หยุดรถเพื่อที่จะได้ทำร้ายร่างกายเท่านั้นเมื่อปรากฏว่า ส. กระเด็นตกจากรถไปนั่งที่พื้นมีอาการจุกเสียด ส่วนโจทก์ร่วมไม่มีอาการบาดเจ็บลุกขึ้นยืนได้ แสดงว่าจำเลยทั้งสองมิได้มีเจตนาฆ่าเพราะหากมีเจตนาฆ่าก็น่าจะขับรถยนต์ชนอย่างแรง หรือขับรถยนต์กับ ส. และโจทก์ร่วมไปแล้ว โจทก์ฎีกาว่าหลังจากที่จำเลยทั้งสองกับพวกรุมทำร้ายร่างกายส. และโจทก์ร่วมแล้วพวกของจำเลยทั้งสองได้ขับรถยนต์เก๋งทับร่างของโจทก์ร่วมด้วย เมื่อข้อเท็จจริงดังกล่าวโจทก์มิได้บรรยายไว้ในคำฟ้อง จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก จำเลยทั้งสองกับพวกเข้าไปรุมตี ส. และโจทก์ร่วมพร้อม ๆ กันเมื่อเห็น ส. ขับรถจักรยานยนต์มีโจทก์ร่วมนั่งซ้อนท้ายผ่านมามีการร้องท้าทาย ส.และโจทก์ร่วมให้ตีกันเมื่อส. กับพวกไม่สนใจและไม่ยอมหยุดรถจักรยานยนต์พวกของจำเลยทั้งสองจึงขับรถยนต์เก๋งไปชนท้ายรถจักรยานยนต์ล้มลง จากนั้นจำเลยทั้งสองกับพวกจึงเข้าไปกลุ้มรุมทำร้ายร่างกาย ส. และโจทก์ร่วม ดังนี้เป็นการกระทำครั้งหนึ่งคราวเดียวและมีเจตนาเดียวกันในการทำร้ายร่างกาย ส. และโจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท