พบผลลัพธ์ทั้งหมด 279 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 926/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมียาเสพติดไว้เพื่อขาย ศาลฎีกาตัดสินว่าการปรับบทตามมาตราที่เกินกว่าความผิดจริงเป็นโมฆะ
จำเลยมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อขายหรือจำหน่ายเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 20 ทวิ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504มาตรา 6 ศาลอุทธรณ์ปรับบทตามมาตรา 20 ตรี แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมาด้วย เป็นการเกินไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 925/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษปรับสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมการฆ่าสัตว์ ต้องปรับตามจำนวนสัตว์ที่ฆ่า และปรับเรียงรายตัว
โทษปรับฐานฆ่าสัตว์ไม่รับอนุญาตตามมาตรา 18 พระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์และจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. 2502 ไม่มีข้อความบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นอันจะแสดงให้เห็นว่า ไม่ต้องการให้นำบทบัญญัติในภาค 1 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาใช้ ในกรณีความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ จึงต้องนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 31 มาใช้บังคับแก่โทษปรับตามพระราชบัญญัตินี้ด้วย ฉะนั้น แม้กฎหมายให้ลงโทษปรับเรียงตัวสัตว์ที่ฆ่า เมื่อมีผู้กระทำผิดหลายคนในความผิดอันเดียวกัน ศาลก็ต้องลงโทษปรับเรียงตามรายตัวบุคคลด้วย โดยปรับจำเลยแต่ละคนเรียงตามรายตัวสัตว์ที่ร่วมกันฆ่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 925/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษปรับในความผิดฆ่าสัตว์โดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องปรับตามจำนวนสัตว์ที่ฆ่าต่อจำเลยแต่ละคน
โทษปรับฐานฆ่าสัตว์ไม่รับอนุญาตตามมาตรา 18 พระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์และจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. 2502 ไม่มีข้อความบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นอันจะแสดงให้เห็นว่า ไม่ต้องการให้นำบทบัญญัติในภาค 1 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาใช้ ในกรณีความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ จึงต้องนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 31 มาใช้บังคับแก่โทษปรับตามพระราชบัญญัตินี้ด้วย ฉะนั้น แม้กฎหมายให้ลงโทษปรับเรียงตัวสัตว์ที่ฆ่า เมื่อมีผู้กระทำผิดหลายคนในความผิดอันเดียวกัน ศาลก็ต้องลงโทษปรับเรียงตามรายตัวบุคคลด้วย โดยปรับจำเลยแต่ละคนเรียงตามรายตัวสัตว์ที่ร่วมกันฆ่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 911/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากเด็กเพื่อเรียกค่าไถ่ โดยไม่มีเจตนาหาผลกำไร ทำให้ความผิดตามมาตรา 319 ไม่สำเร็จ
จำเลยใช้อุบายหลอกลวงเอาตัวผู้เสียหายไป แล้วมาหามารดาของผู้เสียหายเรียกเอาเงินค่าไถ่ตัวผู้เสียหาย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 วรรคแรก เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยมีเจตนาเพื่อหากำไรด้วย จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 319 อีกบทหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 911/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากตัวเด็กเรียกค่าไถ่: เจตนาเพื่อหากำไรเป็นสำคัญ
จำเลยใช้อุบายหลอกลวงเอาตัวผู้เสียหายไป แล้วมาหามารดาของผู้เสียหายเรียกเอาเงินค่าไถ่ตัวผู้เสียหาย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 วรรคแรก เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยมีเจตนาเพื่อหากำไรด้วย จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 319อีกบทหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 853/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีมีทุนทรัพย์จากการฟ้องเพิกถอนนิติกรรมอำพราง การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลทำให้ศาลสั่งไม่รับฟ้อง
โจทก์ยื่นคำฟ้องความว่า โจทก์ตกลงจำนองที่ดินไว้แก่จำเลยแต่โจทก์จำเลยทำสัญญาขายฝากและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินก่อนสัญญาถึงกำหนด โจทก์ขอไถ่ จำเลยบ่ายเบี่ยงเพื่อจำเลยจะได้อ้างกรรมสิทธิ์ต่อโจทก์เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต สัญญาขายฝากนั้นเป็นนิติกรรมอำพรางเป็นการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กันระหว่างคู่กรณีย่อมเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาขายฝาก และให้จำเลยส่งมอบโฉนดให้แก่โจทก์ ดังนี้ ตามคำฟ้องของโจทก์ เป็นการฟ้องเพื่อเรียกเอาคืนซึ่งกรรมสิทธิ์จากจำเลย โดยอ้างว่านิติกรรมที่ได้ทำไว้ต่อกันนั้นเสื่อมเสีย คำขอของโจทก์จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์ซึ่งอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ อันจะต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาที่ดิน เมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมให้ครบภายใน 15 วันแต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้น ศาลก็ต้องสั่งไม่รับฟ้องของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 853/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีมีทุนทรัพย์จากการฟ้องเพิกถอนนิติกรรมอำพรางและเรียกคืนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน
โจทก์ยื่นคำฟ้องความว่า โจทก์ตกลงจำนองที่ดินไว้แก่จำเลย แต่โจทก์จำเลยทำสัญญาขายฝากและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินก่อนสัญญาถึงกำหนด โจทก์ขอไถ่ จำเลยบ่ายเบี่ยงเพื่อจำเลยจะได้อ้างกรรมสิทธิ์ต่อโจทก์ เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต สัญญาขายฝากนั้นเป็นนิติกรรมอำพรางเป็นการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กันระหว่างคู่กรณีย่อมเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาขายฝาก และให้จำเลยส่งมอบโฉนดให้แก่โจทก์ ดังนี้ ตามคำฟ้องของโจทก์ เป็นการฟ้องเพื่อเรียกเอาคืนซึ่งกรรมสิทธิ์จากจำเลย โดยอ้างว่านิติกรรมที่ได้ทำไว้ต่อกันนั้นเสื่อมเสีย คำขอของโจทก์จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์ซึ่งอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ อันจะต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาที่ดิน เมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมให้ครบภายใน 15วัน แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้น ศาลก็ต้องสั่งไม่รับฟ้องของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 807/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภูมิลำเนาของตัวแทนมิใช่ภูมิลำเนาของตัวการ โจทก์ฟ้องบริษัทต่างชาติในไทยไม่ได้
บริษัทจำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศนั้นไม่มีสำนักงานสาขาในประเทศไทย แม้บริษัทจำเลยที่ 1 จะมอบให้บริษัทจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนในประเทศไทย ก็ยังถือไม่ได้ว่าบริษัทจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยอันจะทำให้โจทก์ฟ้องบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ เพราะภูมิลำเนาของตัวแทนไม่เป็นภูมิลำเนาของตัวการด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 807/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภูมิลำเนาบริษัทต่างชาติ: การฟ้องร้องในไทยต้องมีสำนักงานสาขา หรือภูมิลำเนาในประเทศ
บริษัทจำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศนั้นไม่มีสำนักงานสาขาในประเทศไทยแม้บริษัทจำเลยที่ 1 จะมอบให้บริษัทจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนในประเทศไทยก็ยังถือไม่ได้ว่าบริษัทจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยอันจะทำให้โจทก์ฟ้องบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ เพราะภูมิลำเนาของตัวแทนไม่เป็นภูมิลำเนาของตัวการด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 394/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดความผิดทางอาญาหลังมีประกาศคณะปฏิวัติยกเลิกบทบัญญัติเดิม และการหมดอำนาจฟ้อง
จำเลยจอดรถกีดขวางการจราจร เป็นผิดต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 64 ต่อมามีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 59ยกเลิกและใช้ความใหม่แทน ให้อำนาจเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่จะว่ากล่าวตักเตือนก็ได้ ดังนี้ เมื่อจำเลยได้ปฏิบัติตามคำว่ากล่าวตักเตือนของเจ้าพนักงานจราจรแล้วเห็นได้ว่ากฎหมายไม่ประสงค์เอาโทษแก่จำเลย การกระทำของจำเลยซึ่งเดิมเป็นความผิดก็ไม่เป็นความผิดอีกต่อไป จำเลยพ้นจากการเป็นผู้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรค 2อำนาจฟ้องของโจทก์ซึ่งฟ้องภายหลังที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวใช้บังคับ ย่อมหมดสิ้นไปในตัว