คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุเมธ ทิพยมนตรี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 279 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 884/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่คัดค้านการถามค้านพยานในวันสืบพยาน ย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาภายหลัง
คู่ความจะอุทธรณ์ฎีกาว่าศาลไม่ให้ตนถามค้านพยานในข้อใดหากไม่คัดค้านให้ศาลจดข้อคัดค้านไว้ในวันสืบพยานนั้นแต่เพิ่งมายื่นคำร้องคัดค้านเป็นหลักฐานไว้ภายหลังก็ไม่มีคำชี้ขาดของศาลที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 854/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานเอกสารที่ไม่โต้แย้ง ศาลอาจไม่รับฟังเป็นหลักฐานการชำระหนี้
พยานเอกสารที่คู่ความผู้อ้างส่งไว้ต่อศาลนั้น แม้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่โต้แย้งคัดค้านเสียก่อนวันสืบพยานก็เพียงแต่ต้องห้ามมิให้คัดค้านการมีอยู่และความแท้จริงของเอกสาร ฯลฯ ศาลอาจวินิจฉัยว่าเอกสารนั้นไม่เพียงพอที่จะรับฟังว่าเป็นการชำระหนี้รายที่ฟ้องก็ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 826-830/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำพิพากษาเล็กน้อยในคดีอาญา ทำให้ไม่สามารถฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149,83 ให้ลงโทษจำคุก 3 สำนวน สำนวนละ 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 4 คงให้ลงโทษจำคุกสำนวนละ 5 ปี เป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 768/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเช่า, การโอนสิทธิ, สัญญาต่างตอบแทน, การผิดสัญญา, อำนาจฟ้อง
โจทก์ทำสัญญาจดทะเบียนเช่าตึกแถวพิพาทมาจากเจ้าของ แล้วตกลงโอนสิทธิการเช่าตึกพิพาทให้จำเลย โดยจำเลยให้ค่าตอบแทนเป็นเงินผ่อนชำระเป็น 3 งวดดังนี้ การที่จำเลยยอมเข้าทำสัญญารับโอนสิทธิการเช่าตึกพิพาทกับโจทก์ เป็นการยอมรับนับถือสิทธิของโจทก์เหนือตึกพิพาทจำเลยจึงไม่อาจโต้แย้งว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเหนือตึกพิพาทที่จะฟ้องจำเลยได้ ถึงแม้โจทก์จะได้รับการบอกเลิกการเช่าจากเจ้าของตึกพิพาทในภายหลัง ก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับเจ้าของตึก หาเป็นเหตุให้ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งมีมาแต่เดิมระงับไปไม่ จำเลยยังคงผูกพันอยู่กับโจทก์ตามสัญญาดังกล่าว ทั้งการที่จำเลยเข้าใช้สิทธิในตึกพิพาทก็โดยอาศัยความยินยอมของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย และสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อจำเลยมิได้ชำระเงินให้โจทก์ตามเงื่อนเวลาที่กำหนดไว้ โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยก็ไม่ปฏิบัติตามจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาโจทก์บอกเลิกสัญญาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 768/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเช่า, การโอนสิทธิ, สัญญาต่างตอบแทน, การผิดสัญญา, อำนาจฟ้อง
โจทก์ทำสัญญาจดทะเบียนเช่าตึกแถวพิพาทมาจากเจ้าของ แล้วตกลงโอนสิทธิการเช่าตึกพิพาทให้จำเลย โดยจำเลยให้ค่าตอบแทนเป็นเงินผ่อนชำระ เป็น 3 งวด ดังนี้ การที่จำเลยยอมเข้าทำสัญญารับโอนสิทธิการเช่าตึกพิพาทกับโจทก์ เป็นการยอมรับนับถือสิทธิของโจทก์เหนือตึกพิพาทจำเลยจึงไม่อาจโต้แย้งว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเหนือตึกพิพาทที่จะฟ้องจำเลยได้ ถึงแม้โจทก์จะได้รับการบอกเลิกการเช่าจากเจ้าของตึกพิพาทในภายหลัง ก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับเจ้าของตึก หาเป็นเหตุให้ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งมีมาแต่เดิมระงับไปไม่ จำเลยยังคงผูกพันอยู่กับโจทก์ตามสัญญาดังกล่าวทั้งการที่จำเลยเข้าใช้สิทธิในตึกพิพาท ก็โดยอาศัยความยินยอมของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยและสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อจำเลยมิได้ชำระเงินให้โจทก์ตามเงื่อนเวลาที่กำหนดไว้ โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยก็ไม่ปฏิบัติตามจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 675/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีขับไล่และเรียกค่าเสียหาย แม้ไม่มีสัญญาเช่าเป็นลายลักษณ์อักษร หากมีหลักฐานการครอบครองและสิทธิการเช่าที่ชัดเจน
ป. และจำเลยที่ 2 ที่ 3 กับพวกรวม 8 คน เข้าหุ้นส่วนทำการขายอาหารในภัตตาคารน.โดยเช่าภัตตาคาร น. มาจากบริษัท น.ต่อมาผู้เป็นหุ้นส่วนดังกล่าวได้ก่อตั้งบริษัทโจทก์ขึ้นโดย ป. กับจำเลยที่2 ที่ 3เป็นผู้เริ่มก่อการในการประชุมตั้งบริษัทโจทก์ครั้งแรกที่ประชุมได้มีมติให้ถือเอาสัญญาเช่าที่ ป. และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ผู้เริ่มก่อการทำไว้กับบริษัท น. เป็นสัญญาเช่าที่ผูกพันบริษัทโจทก์และต่อมาเมื่อจำเลยที่ 1กับพวกเข้าแย่งดำเนินกิจการภัตตาคาร น. บริษัท น. ก็ได้แจ้งให้บริษัทโจทก์ทราบว่าการบุกรุกและยึดกิจการภัตตาคาร น. เป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 เท่านั้นไม่เกี่ยวกับบริษัท น. ให้บริษัทโจทก์เข้าดำเนินกิจการภัตตาคารต่อไปดุจเดิม ข้อเท็จจริงเป็นดังนี้ จึงน่าเชื่อว่าบริษัทโจทก์เข้าครอบครองภัตตาคาร น. โดยสวมสิทธิการเช่าจากห้างหุ้นส่วนผู้เช่าเดิมบริษัทโจทก์จึงฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยซึ่งบุกรุกเข้าแย่งการครอบครองและเรียกค่าเสียหายได้ แม้โจทก์จะไม่มีหนังสือสัญญาเช่ากับบริษัท น. ต่อกันไว้ โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องจำเลย เพราะโจทก์ไม่ได้ฟ้องบังคับคดีเกี่ยวกับสัญญาเช่าภัตตาคาร น. แต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 675/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีขับไล่ แม้ไม่มีสัญญาเช่าเป็นลายลักษณ์อักษร หากมีหลักฐานการครอบครองโดยสืบสิทธิ
ป.และจำเลยที่ 2 ที่ 3 กับพวกรวม 8 คนเข้าหุ้นส่วนทำการขายอาหารในภัตตาคาร น. โดยเช่าภัตตาคาร น. มาจากบริษัท น. ต่อมาผู้เป็นหุ้นส่วนดังกล่าวได้ก่อตั้งบริษัทโจทก์ขึ้นโดย ป.กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นผู้เริ่มก่อการในการประชุมตั้งบริษัทโจทก์ครั้งแรกที่ประชุมได้มีมติให้ถือเอาสัญญาเช่าที่ ป.และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ผู้เริ่มก่อการทำไว้กับบริษัท น.เป็นสัญญาเช่าที่ผูกพันบริษัทโจทก์และต่อเมื่อจำเลยที่ 1 กับพวกเข้าแย่งดำเนินกิจการภัตตาคาร น.บริษัท น.ก็ได้แจ้งให้บริษัทโจทก์ทราบว่า การบุกรุกและยึดกิจการภัตตาคาร น.เป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับบริษัท น.ให้บริษัทโจทก์เข้าดำเนินกิจการภัตตาคารต่อไปดุจเดิม ข้อเท็จจริงเป็นดังนี้จึงน่าเชื่อว่าบริษัทโจทก์เข้าครอบครองภัตตาคาร น.โดยสวมสิทธิการเช่าจากห้างหุ้นส่วนผู้เช่าเดิม บริษัทโจทก์จึงฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยซึ่งบุกรุกเข้าแย่งการครอบครองและเรียกค่าเสียหายได้ แม้โจทก์จะไม่มีหนังสือเช่ากับบริษัท น.ต่อกันไว้ โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องจำเลยเพราะโจทก์ไม่ได้ฟ้องบังคับคดีเกี่ยวกับสัญญาเช่าภัตตาคาร น.แต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 501/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ไม่ใช่หลักฐานกรรมสิทธิ์ สิทธิซื้อขายสุจริตใช้ไม่ได้กับผู้แย่งครอบครอง
หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ไม่ใช่หลักฐานกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนจะนำมาตรา 1299,1300 มาใช้เพื่ออ้างว่าได้ซื้อที่ดินโดยสุจริตจึงมีสิทธิดีกว่าผู้แย่งครอบครองที่ดินนั้นจากผู้ขายไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 466/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องกล่าวหาผู้พิพากษาปฏิบัติหน้าที่มิชอบโดยทุจริตและข่มขืนใจ ซึ่งศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลล่างว่าไม่มีมูล
โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญา ฟ้องผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเป็นจำเลยโดยกล่าวหาว่าจำเลยแกล้งหน่วงเหนี่ยวกักขังโจทก์ โดยข่มขืนใจให้ ส. แก้ราคาหลักทรัพย์ของ ย. ผู้ขอประกันตัวโจทก์จากราคา 120,000 บาทให้เหลือเพียง 60,000 บาทจนไม่พอประกันกับแกล้งปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยมีเจตนาทุจริตไม่ยอมตีราคาหลักทรัพย์ของผู้ขอประกันเมื่อ 9 นาฬิกา จนเมื่อเวลาศาลจะปิดทำการแล้วจึงแจ้งแก่โจทก์ว่าหลักทรัพย์ไม่พอ ทำให้โจทก์ไม่มีโอกาสไปหาหลักทรัพย์มาเพิ่มได้ทันทำให้โจทก์ถูกขังต่อมา แต่เมื่ออ่านคำฟ้องโดยตลอดแล้วจะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่จำเลยผู้ทำหน้าที่ศาลได้ตรวจดูหลักประกันตามบัญชีทรัพย์ที่ผู้ขอประกันยื่นมานั้นว่าจะเชื่อถือได้เพียงใดหรือไม่แล้วเห็นว่าตีราคาสูงกว่าราคาที่แท้จริงมากนักซึ่งเป็นเรื่องที่ศาลเห็นว่าผู้ประกันไม่ควรตีราคาหลักประกันให้สูงผิดความจริงไปมากอันจะทำให้ศาลสิ้นความเชื่อถือจึงได้แก้ไขเสียให้ใกล้เคียงกับราคาจริงหากจะต้องเสียเวลาไปบ้าง ก็เป็นการกระทำที่อยู่ในการใช้ดุลพินิจภายในขอบอำนาจของผู้พิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และเมื่อข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้องก็ไม่มีข้อที่จะแสดงว่าจำเลยกระทำไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นแต่อย่างใด ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยแกล้งปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยมีเจตนาทุจริตดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้อง การกระทำของจำเลยดังที่โจทก์ฟ้องจึงไม่มีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 310 ที่โจทก์ขอให้ลงโทษที่ศาลยกฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องจึงชอบแล้ว
ฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยข่มขืนใจให้ ส. แก้ราคาหลักทรัพย์ในบัญชีทรัพย์ที่ ย. ยื่นขอประกันจำเลย บัญชีทรัพย์นี้จึงเป็นเอกสารซึ่งผู้ขอประกันทำยื่นต่อศาลหาใช่เอกสารซึ่งจำเลยมีหน้าที่ทำไม่และจำเลยมิได้รับรองเป็นหลักฐานหรือละเว้นไม่จดข้อความอันใดลงในเอกสารนั้นจึงไม่มีมูลเป็นความผิดตามมาตรา 161 และ 162

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 466/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องอาญาต่อผู้พิพากษา: การกระทำต้องมีเจตนาทุจริตและมีมูลความผิดชัดเจน
โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญา ฟ้องผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเป็นจำเลยโดยกล่าวหาว่าจำเลยแกล้งหน่วงเหนี่ยวกักขังโจทก์ โดยข่มขืนใจให้ ส.แก้ราคาหลักทรัพย์ของ ย.ผู้ขอประกันตัวโจทก์จากราคา 120,000 บาท ให้เหลือเพียง 60,000 บาทจนไม่พอประกัน กับแกล้งปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยมีเจตนาทุจริตไม่ยอมตีราคาหลักทรัพย์ของผู้ขอประกันเมื่อ 9 นาฬิกา จนเมื่อเวลาศาลจะปิดทำการแล้วจึงแจ้งแก่โจทก์ว่าหลักทรัพย์ไม่พอ ทำให้โจทก์ไม่มีโอกาสไปหาหลักทรัพย์มาเพิ่มได้ทันทำให้โจทก์ถูกขังต่อมา แต่เมื่ออ่านคำฟ้องโดยตลอดแล้วจะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่จำเลยผู้ทำหน้าที่ศาลได้ตรวจดูหลักประกันตามบัญชีทรัพย์ที่ผู้ขอประกันยื่นมานั้นว่าจะเชื่อถือได้เพียงใดหรือไม่แล้วเห็นว่าตีราคาสูงกว่าราคาที่แท้จริงมากนัก ซึ่งเป็นเรื่องที่ศาลเห็นว่าผู้ประกันไม่ควรตีราคาหลักประกันให้สูงผิดความจริงไปมากอันจะทำให้ศาลสิ้นความเชื่อ ถือจึงได้ให้แก้ไขเสียให้ใกล้เคียงกับราคาจริง หากจะต้องเสียเวลาไปบ้างก็เป็นการกระทำที่อยู่ในการใช้ดุลยพินิจภายในขอบอำนาจของผู้พิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และเมื่อข้อเท็จตามคำบรรยายฟ้องก็ไม่มีข้อที่จะแสดงว่าจำเลยกระทำไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้ชอบด้วย กฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นแต่อย่างใด ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยแกล้งปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยมีเจตนาทุจริตดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้อง การกระทำของจำเลยดังที่โจทก์ฟ้องจึงไม่มีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 310 ที่โจทก์ขอให้ลงโทษที่ศาลยกฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องจึงชอบแล้ว
ฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยข่มขืนใจให้ ส.แก้ราคาหลักทรัพย์ในบัญชีทรัพย์ที่ ย.ยื่นขอประกันจำเลย บัญชีทรัพย์นี้จึงเป็นเอกสารซึ่งผู้ขอประกันทำยื่นต่อศาลหาใช่เอกสารซึ่งจำเลยมีหน้าที่ทำไม่ และจำเลยมิได้รับรองเป็นหลักฐานหรือละเว้นไม่จดข้อความอันใดลงในเอกสารนั้น จึงไม่มีมูลเป็นความผิดตามมาตรา 161 และ 162
of 28