พบผลลัพธ์ทั้งหมด 279 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2796/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุฟ้องฎีกาไม่ชัดเจน ไม่แสดงเหตุผลสนับสนุนพยานหลักฐาน
คำบรรยายฟ้องฎีกาของโจทก์เพียงแต่อ้างว่าเมื่อฟังพยานโจทก์พยานจำเลยโดยถ่องแท้แล้ว พยานโจทก์ดีกว่าพยานจำเลย มิได้หยิบยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงเลยว่าพยานโจทก์ดีกว่าพยานจำเลยตรงไหนอย่างไรเพราะเหตุใดหรือมีเหตุผลอย่างไรที่ชี้ให้เห็นว่าพยานโจทก์ดีกว่าพยานจำเลยอันจะทำให้น่าเชื่อว่าข้อเท็จจริงเป็นดังโจทก์ฎีกา แม้โจทก์จะกล่าวไว้ว่าขอถือเอาคำอุทธรณ์เป็นส่วนหนึ่งของฎีกา ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการอ้างอิงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะอ้างอิงขึ้นกล่าวไว้โดยชัดแจ้งตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 บังคับไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2796/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุฟ้องฎีกาไม่ชัดเจน ขาดการอ้างอิงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายสนับสนุน
คำบรรยายฟ้องฎีกาของโจทก์เพียงแต่อ้างว่าเมื่อฟังพยานโจทก์พยานจำเลยโดยถ่องแท้แล้ว พยานโจทก์ดีกว่าพยานจำเลย มิได้หยิบยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงเลยว่าพยานโจทก์ดีกว่าพยานจำเลยตรงไหนอย่างไรเพราะเหตุใดหรือมีเหตุผลอย่างไรที่ชี้ให้เห็นว่าพยานโจทก์ดีกว่าพยานจำเลยอันจะทำให้น่าเชื่อว่าข้อเท็จจริงเป็นดังโจทก์ฎีกา แม้โจทก์จะกล่าวไว้ว่าขอถือเอาคำอุทธรณ์เป็นส่วนหนึ่งของฎีกา ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการอ้างอิงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะอ้างอิงขึ้นกล่าวไว้โดยชัดแจ้งตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 บังคับไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2738/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือสัญญากู้ที่ไม่ได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์ใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ ทำให้โจทก์ไม่มีหลักฐานพิสูจน์การกู้ยืม
หนังสือสัญญากู้เงินที่โจทก์ส่งอ้างเป็นพยานหลักฐานต่อศาลมิได้ขีดฆ่าแสตมป์ จึงใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีไม่ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 เป็นผลให้คดีโจทก์ไม่มีหลักฐานที่จะฟังว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ดังฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2738/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือสัญญากู้ที่ไม่ได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์ใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ตามกฎหมาย
หนังสือสัญญากู้เงินที่โจทก์ส่งอ้างเป็นพยานหลักฐานต่อศาลมิได้ขีดฆ่าแสตมป์ จึงใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีไม่ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 เป็นผลให้คดีโจทก์ไม่มีหลักฐานที่จะฟังว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ดังฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2692/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องคดีแพ่งไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำตามกฎหมาย แต่ต้องแจ้งชัดถึงสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ
การบรรยายฟ้องคดีแพ่งนั้นไม่จำต้องใช้ถ้อยคำตามกฎหมายเสมอไป
โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยได้เช่าที่ดินจากบิดาโจทก์ เมื่อบิดามารดาโจทก์ถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์ได้รับมรดกที่ดินนั้นและให้จำเลยเช่าต่อมา โดยไม่มีกำหนดเวลาเช่า โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไป และได้บอกเลิกสัญญาเช่าให้จำเลยรื้อห้องแถวออกไปจากที่ดินที่เช่าแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยยังคงอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยไม่มีข้ออ้างตามกฎหมายที่จะอยู่ได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับขับไล่จำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดแล้วว่าสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับของโจทก์มีว่าอย่างไร และโจทก์อ้างอะไรเป็นหลักแห่งข้อหา แม้โจทก์มิได้ใช้ถ้อยคำในบทกฎหมายว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ แต่ก็เข้าใจได้จากคำฟ้องของโจทก์ว่าเมื่อสัญญาเช่าระงับไปเพราะการบอกเลิกโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยยังคงครอบครองทรัพย์สินของโจทก์อยู่ โดยไม่มีสิทธิอันจะอ้างได้ตามกฎหมายเป็นการจงใจกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหาย คำฟ้องของโจทก์จึงหาเคลือบคลุมไม่
โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยได้เช่าที่ดินจากบิดาโจทก์ เมื่อบิดามารดาโจทก์ถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์ได้รับมรดกที่ดินนั้นและให้จำเลยเช่าต่อมา โดยไม่มีกำหนดเวลาเช่า โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไป และได้บอกเลิกสัญญาเช่าให้จำเลยรื้อห้องแถวออกไปจากที่ดินที่เช่าแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยยังคงอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยไม่มีข้ออ้างตามกฎหมายที่จะอยู่ได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับขับไล่จำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดแล้วว่าสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับของโจทก์มีว่าอย่างไร และโจทก์อ้างอะไรเป็นหลักแห่งข้อหา แม้โจทก์มิได้ใช้ถ้อยคำในบทกฎหมายว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ แต่ก็เข้าใจได้จากคำฟ้องของโจทก์ว่าเมื่อสัญญาเช่าระงับไปเพราะการบอกเลิกโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยยังคงครอบครองทรัพย์สินของโจทก์อยู่ โดยไม่มีสิทธิอันจะอ้างได้ตามกฎหมายเป็นการจงใจกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหาย คำฟ้องของโจทก์จึงหาเคลือบคลุมไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2692/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องคดีแพ่งไม่จำต้องใช้ถ้อยคำตามกฎหมาย หากเนื้อหาแจ้งชัดถึงข้อหาและคำขอ
การบรรยายฟ้องคดีแพ่งนั้นไม่จำต้องใช้ถ้อยคำตามกฎหมายเสมอไป
โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยได้เช่าที่ดินจากบิดาโจทก์ เมื่อบิดามารดาโจทก์ถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์ได้รับมรดกที่ดินนั้นและให้จำเลยเช่าต่อมาโดยไม่มีกำหนดเวลาเช่า โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไป และได้บอกเลิกสัญญาเช่าให้จำเลยรื้อห้องแถวออกไปจากที่ดินที่เช่าแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยยังคงอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยไม่มีข้ออ้างตามกฎหมายที่จะอยู่ได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับขับไล่จำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดแล้วว่าสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับของโจทก์มีว่าอย่างไร และโจทก์อ้างอะไรเป็นหลักแห่งข้อหา แม้โจทก์มิได้ใช้ถ้อยคำในบทกฎหมายว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ แต่ก็เข้าใจได้จากคำฟ้องของโจทก์ว่าเมื่อสัญญาเช่าระงับไปเพราะการบอกเลิกโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยยังคงครอบครองทรัพย์สินของโจทก์อยู่โดยไม่มีสิทธิอันจะอ้างได้ตามกฎหมายเป็นการจงใจกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหาย คำฟ้องของโจทก์จึงหาเคลือบคลุมไม่
โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยได้เช่าที่ดินจากบิดาโจทก์ เมื่อบิดามารดาโจทก์ถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์ได้รับมรดกที่ดินนั้นและให้จำเลยเช่าต่อมาโดยไม่มีกำหนดเวลาเช่า โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไป และได้บอกเลิกสัญญาเช่าให้จำเลยรื้อห้องแถวออกไปจากที่ดินที่เช่าแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยยังคงอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยไม่มีข้ออ้างตามกฎหมายที่จะอยู่ได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับขับไล่จำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดแล้วว่าสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับของโจทก์มีว่าอย่างไร และโจทก์อ้างอะไรเป็นหลักแห่งข้อหา แม้โจทก์มิได้ใช้ถ้อยคำในบทกฎหมายว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ แต่ก็เข้าใจได้จากคำฟ้องของโจทก์ว่าเมื่อสัญญาเช่าระงับไปเพราะการบอกเลิกโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยยังคงครอบครองทรัพย์สินของโจทก์อยู่โดยไม่มีสิทธิอันจะอ้างได้ตามกฎหมายเป็นการจงใจกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหาย คำฟ้องของโจทก์จึงหาเคลือบคลุมไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2639-2641/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวฐานใช้เอกสารปลอม – บัตรอนุญาตผ่านเข้าไม่ใช่เอกสารสิทธิ
จำเลยพบกับผู้เสียหายทั้งสอง เมื่อผู้เสียหายทั้งสอง บอกว่าจะมาหาบัตรขึ้นเขาศูนย์จำเลยก็บอกว่า ทำให้ได้ แต่ต้องเสียเงินคนละ 400 บาท แล้วจำเลยเอารูปถ่ายของผู้เสียหายไป ต่อมาราว 30 นาที จำเลยเอาบัตรปลอมมาให้ผู้เสียหายคนละฉบับ ผู้เสียหายจ่ายเงินให้จำเลยไป ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำอันเดียวกัน โดยจำเลยมีเจตนากระทำต่อผู้เสียหายรวม 2 คน ในคราวเดียวกันจึงเป็นกรรมเดียว (ฐานใช้เอกสารปลอม)
บัตรอนุญาตให้ผ่านเข้าเขาศูนย์ เป็นเอกสารแสดงว่าผู้ที่มีบัตรนั้นได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าออกในบริเวณเขาศูนย์ได้เท่านั้น มิได้เป็นหลักฐานแห่งการก่อเปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิแต่อย่างใดจึงมิใช่เอกสารสิทธิตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา1(9)
บัตรอนุญาตให้ผ่านเข้าเขาศูนย์ เป็นเอกสารแสดงว่าผู้ที่มีบัตรนั้นได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าออกในบริเวณเขาศูนย์ได้เท่านั้น มิได้เป็นหลักฐานแห่งการก่อเปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิแต่อย่างใดจึงมิใช่เอกสารสิทธิตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา1(9)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2639-2641/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวฐานใช้เอกสารปลอม: การกระทำต่อผู้เสียหายหลายคนในคราวเดียวกัน และบัตรอนุญาตไม่ใช่เอกสารสิทธิ
จำเลยพบกับผู้เสียหายทั้งสอง เมื่อผู้เสียหายทั้งสองบอกว่าจะมาหาบัตรขึ้นเขาศูนย์ จำเลยก็บอกว่า ทำให้ได้ แต่ต้องเสียเงินคนละ 400 บาท แล้วจำเลยเอารูปถ่ายของผู้เสียหายไป ต่อมาราว30 นาที จำเลยเอาบัตรปลอมมาให้ผู้เสียหายคนละฉบับ ผู้เสียหายจ่ายเงินให้จำเลยไป ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำอันเดียวกันโดยจำเลยมีเจตนากระทำต่อผู้เสียหายรวม 2 คน ในคราวเดียวกันจึงเป็นกรรมเดียว (ฐานใช้เอกสารปลอม)
บัตรอนุญาตให้ผ่านเข้าเขาศูนย์ เป็นเอกสารแสดงว่าผู้ที่มีบัตรนั้นได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าออกในบริเวณเขาศูนย์ได้เท่านั้น มิได้เป็นหลักฐานแห่งการก่อเปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิแต่อย่างใดจึงมิใช่เอกสารสิทธิตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา1(9)
บัตรอนุญาตให้ผ่านเข้าเขาศูนย์ เป็นเอกสารแสดงว่าผู้ที่มีบัตรนั้นได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าออกในบริเวณเขาศูนย์ได้เท่านั้น มิได้เป็นหลักฐานแห่งการก่อเปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิแต่อย่างใดจึงมิใช่เอกสารสิทธิตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา1(9)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2611/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และการฟ้องเพิกถอนสัญญาจากข้อสำคัญผิด
ในคดีก่อน จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสองในฐานะผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้เงินกู้ คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดย โจทก์ทั้งสองยอมชำระหนี้ให้แก่จำเลยตามฟ้องและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ต่อมาโจทก์ทั้งสองมาฟ้องจำเลยขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ในคดีก่อน และพิพากษาว่า คำพิพากษาในคดีนั้นไม่ผูกพันโจทก์ทั้งสองโดยอ้างว่าทำไปเพราะสำคัญผิดว่าลูกหนี้ยังไม่ได้ชำระเงินกู้ให้จำเลยซึ่งความจริงลูกหนี้ชำระให้เสร็จสิ้นแล้ว ดังนี้หาได้ไม่เพราะคำพิพากษาของศาลในคดีก่อนนั้นย่อมผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษานับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาจนถึงวันที่คำพิพากษาได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขกลับหรืองดเสียถ้าหากมีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีฝ่ายใดอ้างขึ้นมา เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีฝ่ายใดอ้างขึ้นมา เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2611/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ การเพิกถอนสัญญาเนื่องจากสำคัญผิด
ในคดีก่อน จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสองในฐานะผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้เงินกู้คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยโจทก์ทั้งสองยอมชำระหนี้ให้แก่จำเลยตามฟ้องและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ต่อมาโจทก์ทั้งสองมาฟ้องจำเลยขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ในคดีก่อน และพิพากษาว่า คำพิพากษาในคดีนั้นไม่ผูกพันโจทก์ทั้งสองโดยอ้างว่าทำไปเพราะสำคัญผิดว่าลูกหนี้ยังไม่ได้ชำระเงินกู้ให้จำเลยซึ่งความจริงลูกหนี้ชำระให้เสร็จสิ้นแล้ว ดังนี้หาได้ไม่เพราะคำพิพากษาของศาลในคดีก่อนนั้นย่อมผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษานับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาจนถึงวันที่คำพิพากษาได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขกลับหรืองดเสียถ้าหากมีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีฝ่ายใดอ้างขึ้นมา เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีฝ่ายใดอ้างขึ้นมา เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้