คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ปรีชาวินิจฉัย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 798 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 61/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัว: คนยามไม่มีอำนาจจับ การใช้กำลังเพื่อป้องกันการถูกทำร้ายเป็นเหตุสมควร
คนยามไปรษณีย์ไม่มีอำนาจจับราษฎรที่พูดโต้เถียงกับพนักงานไปรษณีย์
จำเลยโต้เถียงกับพนักงานไปรษณีย์ แล้วมีพวกพนักงานไปรษณีย์ร้องบอกให้จับ คนยามไปรษณีย์เข้าจับจำเลย ๆ จึงต่อยเอา ดังนี้ เป็นป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 61/2492

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวจากการถูกทำร้ายโดยผู้ไม่มีอำนาจจับ และการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ
คนยามไปรษณีย์ไม่มีอำนาจจับราษฎรที่พูดโต้เถียงกับพนักงานไปรษณีย์
จำเลยโต้เถียงกับพนักงานไปรษณีย์ แล้วมีพวกพนักงานไปรษณีย์ร้องบอกให้จับ คนยามไปรษณีย์เข้าจับจำเลย จำเลยจึงต่อยเอาดังนี้ เป็นป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 56/2492

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทสัญญาเช่าหรือจ้างทำของ ศาลพิจารณาจากฝ่ายใดผิดสัญญาเป็นหลัก
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์ เพราะจำเลยผิดสัญญาที่โจทก์จ้างจำเลยไปพูดโฆษณาโดยใช้เครื่องวิทยุกระจายเสียงและเครื่องทำไฟฟ้าของจำเลย จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าเครื่องขยายเสียงเครื่องทำไฟฟ้าของจำเลย แล้วผิดสัญญาไม่จัดการนำเครื่องไปเองดังนี้ สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยจะเป็นสัญญาเช่าหรือสัญญาจ้างทำของ ไม่ใช่ข้อสำคัญ ข้อสำคัญในคดีอยู่ที่ว่าฝ่ายใดเป็นผู้ผิดสัญญา
การที่จำเลยค้านว่า ฟ้องของโจทก์กล่าวว่า โจทก์ว่าจ้างจำเลยให้ไปทำการโฆษณาเพื่อหาเสียงในการเลือกตั้ง แต่แล้วนำสืบเป็นเรื่องเช่าเครื่องขยายเสียงจากจำเลยไปโฆษณาด้วยตนเองเป็นการสืบไม่สมฟ้องนั้นแม้ฟ้องของโจทก์ตอนต้นจะกล่าวมีนัยดังจำเลยว่าก็ดี แต่ฟ้องตอนกล่าวถึงรายละเอียด โจทก์ได้บรรยายถึงรายละเอียดเป็นที่เข้าใจได้แล้วว่าโจทก์จำเลยตกลงกันอย่างไรและจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้แต่อย่างไร ดังนี้ ข้อค้านของจำเลยย่อมฟังไม่ขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 56/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นสำคัญของคดีอยู่ที่การผิดสัญญา ไม่ใช่ประเภทสัญญา (เช่าหรือจ้างทำของ) โดยการนำสืบไม่ขัดแย้งกับฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์ เพราะจำเลยผิดสัญญาที่โจทก์จ้างจำเลยไปพูดโฆษณาโดยใช้เครื่องวิทยุกระจายเสียงและเครื่องทำไฟฟ้าของจำเลย จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าเครื่องขยายเสียง เครื่องทำไฟฟ้าของจำเลย แล้วผิดสัญญาไม่จัดการนำเครื่องไปเอง ดังนี้ สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยจะเป็นสัญญาเช่าหรือสัญญาจ้างทำของ ไม่ใช่ข้อสำคัญ ข้อสำคัญในคดีอยู่ที่ว่าฝ่ายใดเป็นผู้ผิดสัญญา
การที่จำเลยค้านว่า ฟ้องของโจทก์กล่าวว่า โจทก์ว่าจ้างจำเลยให้ไปทำการโฆษณาเพื่อหาเสียงในการเลือกตั้ง แต่แล้วนำสืบเป็นเรื่องเช่าเครื่องขยายเสียงจากจำเลยไปโฆษณาด้วยตนเองเป็นการสืบไม่สมฟ้องนั้น แม้ฟ้องของโจทก์ตอนต้นจะกล่าวมีนัยดังจำเลยว่าก็ดี แต่ฟ้องตอนกล่าวถึงรายละเอียด โจทก์ได้บรรยายถึงรายละเอียดเป็นที่เข้าใจได้แล้วว่าโจทก์จำเลยตกลงกันอย่างไรและจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู่แต่อย่างใดดังนี้ ข้อค้านของจำเลยย่อมฟังไม่ขึ้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 47/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การผิดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและน้ำประปา โดยเทศบาลที่ไม่ได้สัมปทาน การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากตัวแทนย่อมไม่สำเร็จ
จำเลยที่ 1 เป็นเทศบาลได้รับสัมปทานจากรัฐบาลให้ตั้งโรงไฟฟ้ามีหน้าที่จำหน่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลผู้ร้องขอใช้ไฟฟ้าภายในเขตตฺ์สัมปทาน โจทก์เป็นราษฎรฟ้องหาว่าจำเลยทำผิดข้อสัญญากับโจทก์ในการจำหน่ายกระแสร์ไฟ มิได้ฟ้องโดยอาศัยสิทธิตาม ข้อกำหนดในสัมปทานประกอบกับบทบัญญัติมาตรา 374 ป.ม. แพ่งฯ ฉะนั้นปัญหาที่ว่าโจทก์จะได้สิทธิตามสัมปทานโดยอาศัย ป.ม. แพ่งฯ มาตรา 374 นี้หรือไม่ จึงไม่เกิดขึ้น
สัญญาซื้อกระแสไฟฟ้าไม่ปรากฎว่ามีกำหนดระยะเวลา อาจมีการเลิกกันเมื่อใดก็ได้ เมื่อผู้ซื้อไม่ชำระค่ากระแสร์ไฟ ผู้ขายก็ตัดสายไฟ ดังนี้ ผู้ซื้อจะมาฟ้องขอให้บังคับผู้ขายให้ต่อสายไฟและจ่ายกระแสร์ไฟให้ต่อไปสภาพย่อมไม่เปิดช่องให้บังคับได้ตามขอ
เมื่อเทศบาลซึ่งเป็นคู่สัญญากับโจทก์ ผิดสัญญาจะต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ แต่ฟ้องโจทก์ไม่เรียกค่าเสียหายจากเทศบาลซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 เป็นแต่เรียกจากจำเลยอื่น ๆ ซึ่งเป็นคนงานและตัวแทนของจำเลยที่ 1 ๆ จึงไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ ดังนี้ ก็ไม่มีทางให้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้
เทศบาลทำน้ำประปาโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือได้รับสัมปทานตาม พ.ร.บ.ควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุขของสาธารณะชนแล้ว การที่โจทก์ขอให้ศาลบังคับห้ามมิให้เทศบาลเรียกเก็บค่าน้ำประปานั้น ศาลจะบังคับให้ไม่ได้ เพราะเป็นการรับรองให้โจทก์ได้รับผลจากการกระทำอันไม่ถูกต้องกับกฎหมาย./

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 47/2492

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อไฟฟ้า/น้ำประปา, การผิดสัญญา, ละเมิด, การกระทำที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย, สิทธิของคู่สัญญา
จำเลยที่ 1 เป็นเทศบาลได้รับสัมปทานจากรัฐบาลให้ตั้งโรงไฟฟ้ามีหน้าที่จำหน่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลผู้ร้องขอใช้ไฟฟ้าภายในเขตสัมปทานโจทก์เป็นราษฎรฟ้องหาว่าจำเลยทำผิดข้อสัญญากับโจทก์ในการจำหน่ายกระแสไฟมิได้ฟ้องโดยอาศัยสิทธิตามข้อกำหนดในสัมปทานประกอบกับบทบัญญัติมาตรา 374 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฉะนั้นปัญหาที่ว่าโจทก์จะได้สิทธิตามสัมปทานโดยอาศัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 นี้หรือไม่ จึงไม่เกิดขึ้น
สัญญาซื้อกระแสไฟฟ้าไม่ปรากฏว่ามีกำหนดระยะเวลา อาจมีการเลิกกันเมื่อใดก็ได้ เมื่อผู้ซื้อไม่ชำระค่ากระแสไฟ ผู้ขายก็ตัดสายไฟ ดังนี้ ผู้ซื้อจะมาฟ้องขอให้บังคับผู้ขายให้ต่อสายไฟและจ่ายกระแสไฟให้ต่อไป
สภาพย่อมไม่เปิดช่องให้บังคับได้ตามขอ
เมื่อเทศบาลซึ่งเป็นคู่สัญญากับโจทก์ ผิดสัญญาจะต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ แต่ฟ้องโจทก์ไม่เรียกค่าเสียหายจากเทศบาลซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 เป็นแต่เรียกจากจำเลยอื่นๆ ซึ่งเป็นคนงานและตัวแทนของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ดังนี้ ก็ไม่มีทางให้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้
เทศบาลทำน้ำประปาโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือได้รับสัมปทานตาม พระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุขของสาธารณะชนแล้ว การที่โจทก์ขอให้ศาลบังคับห้ามมิให้เทศบาลเรียกเก็บค่าน้ำประปานั้น ศาลจะบังคับให้ไม่ได้เพราะเป็นการรับรองให้โจทก์ได้รับผลจากการกระทำอันไม่ถูกต้องกับกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 46/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้เรื่องสินเดิมในคดีสินสมรส จำเลยมีสิทธิยกเหตุผลโดยไม่ต้องระบุทรัพย์สินเฉพาะเจาะจงในคำให้การ
ประเด็นที่โจทก์ตั้งมาในคำฟ้องมีว่า ภริยาโจทก์ไม่มีสิทธิได้ส่วนแบ่งในสินสมรส เพราะไม่มีสินเดิม จำเลยให้การว่าภริยาโจทก์มีสิทธิได้ส่วนแบ่งเพราะไม่มีสินเดิม จำเลยให้การว่าภริยาโจทก์มีสิทธิได้ส่วนแบ่งเพราะมีสินเดิม ดังนี้ คำให้การของจำเลยเป็นการถูกต้องตาม ป.ม.วิ.แพ่ง มาตรา 177 วรรค 2 แล้ว จำเลยไม่จำเป็นต้องระบุลงไปในคำให้การว่ามีทรัพย์อะไรบ้างเป็นสินเดิมซึ่งผิดกับกรณีที่มีประเด็น ขอให้หักสินสมรสชดใช้สินเดิมด้วย เพราะในกรณีหลังนี้ ความสำคัญอยู่ที่ว่าอะไรเป็นสินเดิม ราคาเท่าใด มิฉะนั้นก็ใช้ชดใช้กันไม่ได้ การตั้งประเด็นจึงต้องระบุถึงทรัพย์ที่เป็นสินเดิมและราคา
หากโจทก์เห็นว่าข้อต่อสู้ของจำเลยยังไม่ชัด เพื่อที่โจทก์จะได้สืบหักล้างเสียก่อนในกรณีย์ที่โจทก์ เป็นฝ่ายนำสืบก่อนเช่นนี้โจทก์ชอบที่จะขอต่อศาสให้สอบถามจำเลยในชั้นชี้สองสถานเพื่อให้ได้ความชัดในประเด็นข้อพิพาทตาม ป.ม.วิ.แพ่ง มาตรา 183 ได้ เมื่อได้มีการสอบถามมัดประเด็นลงไปแน่นอนว่าสินเดิมเป็นทรัพย์อะไรแล้ว คู่ความก็ต้องดำเนินตามประเด็นที่มัดไว้./

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 46/2492

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้เรื่องสินเดิมและสิทธิในสินสมรส: การกำหนดประเด็นชัดเจนและการสืบพยาน
ประเด็นที่โจทก์ตั้งมาในคำฟ้องมีว่า ภริยาโจทก์ไม่มีสิทธิได้ส่วนแบ่งในสินสมรสเพราะไม่มีสินเดิม จำเลยให้การว่าภริยาโจทก์มีสิทธิได้ส่วนแบ่งเพราะมีสินเดิมดังนี้ คำให้การของจำเลยเป็นการถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองแล้วจำเลยไม่จำเป็นต้องระบุลงไปในคำให้การว่ามีทรัพย์อะไรบ้างเป็นสินเดิมซึ่งผิดกับกรณีที่มีประเด็น ขอให้หักสินสมรสชดใช้สินเดิมด้วย เพราะในกรณีหลังนี้ความสำคัญอยู่ที่ว่าอะไรเป็นสินเดิม ราคาเท่าใด มิฉะนั้นก็ให้ชดใช้กันไม่ได้การตั้งประเด็นจึงต้องระบุถึงทรัพย์ที่เป็นสินเดิมและราคา
หากโจทก์เห็นว่าข้อต่อสู้ของจำเลยยังไม่ชัด เพื่อที่โจทก์จะได้สืบหักล้างเสียก่อนในกรณีที่โจทก์เป็นฝ่ายนำสืบก่อนเช่นนี้โจทก์ชอบที่จะขอต่อศาลให้สอบถามจำเลยในชั้นชี้สองสถานเพื่อให้ได้ความชัดในประเด็นข้อพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 ได้ เมื่อได้มีการสอบถามมัดประเด็นลงไปแน่นอนว่าสินเดิมเป็นทรัพย์อะไรแล้วคู่ความก็ต้องดำเนินการตามประเด็นที่มัดไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38/2492

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองหุ้นเพื่อเอามาตรา 1382 และการนับระยะเวลาครอบครองที่ถูกต้อง
จำเลยฎีกา แต่ฝ่ายโจทก์มิได้ให้การแก้ฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น ศาลฎีกาย่อมฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างฟังมา
โจทก์สั่งให้จำเลยที่ 1 โอนหุ้นให้ ร.ต.อ.ประดิษฐ์เมื่อ วันที่ 27 ต.ค.79จำเลยที่ 1 จัดการโอนโดยแก้ทะเบียนให้ ต่อมา 11 ม.ค. 79 ร.ต.อ.ประดิษฐ์ได้เข้าประชุมในฐานะผู้ถือหุ้นเป็นครั้งแรก และได้เข้าประชุมต่อมาอีกหลายคราวร.ต.อ.ประดิษฐ์ตายเมื่อ 8 ธ.ค.84 ดังนี้ต้องถือว่า ร.ต.อ.ประดิษฐ์ได้เข้าครอบครองหุ้นตั้งแต่ 27 ต.ค.79 จนถึงวันตาย ครบ5 ปี ย่อมได้เป็นกรรมสิทธิ์ในหุ้นนั้นแล้วตามมาตรา 1382

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้กรรมสิทธิในหุ้นโดยการครอบครองปรปักษ์: ระยะเวลาเริ่มนับเมื่อใด
จำเลยฎีกา แต่ฝ่ายโจทก์มิได้ให้การแก้ฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น ศาลฎีกาย่อมฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างฟังมา
โจทก์สั่งให้จำเลยที่ 1 โอนหุ้นให้ ร.ต.อ. ประดิษฐ์ เมื่อวันที่ 27 ต.ค. 79 จำเลยที่ 1 จัดการโอนโดยแก้ทะเบียนให้ ต่อมา 11 ม.ค. 79 ร.ต.อ.ประดิษฐ์ได้เข้าประชุมในฐานะผู้ถือหุ้นเป็นครั้งแรกและได้เข้าประชุมต่อมาอีกหลายคราว ร.ต.อ.ประดิษฐ์ตายเมื่อ 8 ธ.ค. 84 ดังนี้ ต้องถือว่า ร.ต.อ.ประดิษฐ์ได้เข้าครอบครองหุ้นตั้งแต่ 27 ต.ค. 79 จนถึงวันตาย ครบ 5 ปี ย่อมได้เป็นกรรมสิทธิในหุ้นนั้นแล้วตามมาตรา 1382.
of 80