พบผลลัพธ์ทั้งหมด 798 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1043/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้คำให้การชั้นสอบสวนที่ไม่สามารถซักค้านได้เป็นหลักฐานลงโทษจำเลยไม่ได้
โจทก์มีเจ้าของทรัพย์คนเดียวที่รู้เห็นว่า ใครเป็นคนร้ายชิงทรัพย์แต่โจทก์อ้างมาสืบไม่ได้ จะใช้คำให้การชั้นสอบสวนมาฟังลงโทษจำเลยไม่ได้ เพราะจำเลยไม่มีโอกาสซักค้าน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1043/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้คำให้การชั้นสอบสวนลงโทษจำเลยต้องให้โอกาสซักค้านพยานหลักฐานอื่นไม่เพียงพอ
โจทก์มีเจ้าของทรัพย์คนเดียวที่รู้เห็นว่า ใครเป็นคนร้ายชิงทรัพย์ แต่โจทก์อ้างมาสืบไม่ได้ จะใช้คำให้การชั้นสิบสวนมาฟังลงโทษจำเลยไม่ได้ เพราะจำเลยไม่มีโอกาสซักค้าน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1037/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายจากผิดสัญญา: ผู้ผิดสัญญาต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงและค่าเสียหายตามที่ตกลงกันไว้
คดีเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญา เมื่อจำเลยรู้ดีว่า เมื่อตนผิดสัญญา โจทก์จะต้องเสียหาย ดังนี้จำเลยต้องรับผิดในค่าเสียหายตาม ป.ม.แพ่ง ฯ มาตรา 380 วรรค 2 ซึ่งศาลอาจจะให้ค่าเสียหายได้
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญา 1,000 บาท และค่าเสียหายจากการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง 7000 บาท ศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 1000 บาท โจทก์อุทธรณ์, ศาลอุทธรณ์เห็นควรให้ค่าเสียหายทั้งหมดรวมกัน 7,000 บาท ดังนี้ จะเรียกว่าศาลอุทธรณ์ไปวินิจฉัยในเรื่อง 1000 บาท ซึ่งโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ไม่ได้
เมื่อมีกรณีผิดสัญญาแล้ว ก็ย่อมเรียกค่าเสียหายแก่กันได้ ถ้าผู้ได้รับความเสียหายพิสูจน์ได้ว่าตนได้เสียหายจริงจังเป็นเงินเท่าใดแล้ว ศาลก็ให้ตามนั้น หากพิสูจน์ไม่ได้ ศาลก็ให้ค่าเสียหายตามควรแก่กรณีโดยศาลกำหนดให้เองแล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร และผู้เสียหายอาจได้รับค่าเสียหายทั้งสองประเภทก็ได้
คดีนี้โจทก์ต้องเสียหายเพราะต้องรื้อสิ่งปลูกสร้างไป และต้องเสียหายเพราะไม่ได้ที่ดิน โจทก์ชอบที่จะได้ค่าเสียหายทั้งสองรวมกันเป็น 8, 000 บาท
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญา 1,000 บาท และค่าเสียหายจากการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง 7000 บาท ศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 1000 บาท โจทก์อุทธรณ์, ศาลอุทธรณ์เห็นควรให้ค่าเสียหายทั้งหมดรวมกัน 7,000 บาท ดังนี้ จะเรียกว่าศาลอุทธรณ์ไปวินิจฉัยในเรื่อง 1000 บาท ซึ่งโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ไม่ได้
เมื่อมีกรณีผิดสัญญาแล้ว ก็ย่อมเรียกค่าเสียหายแก่กันได้ ถ้าผู้ได้รับความเสียหายพิสูจน์ได้ว่าตนได้เสียหายจริงจังเป็นเงินเท่าใดแล้ว ศาลก็ให้ตามนั้น หากพิสูจน์ไม่ได้ ศาลก็ให้ค่าเสียหายตามควรแก่กรณีโดยศาลกำหนดให้เองแล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร และผู้เสียหายอาจได้รับค่าเสียหายทั้งสองประเภทก็ได้
คดีนี้โจทก์ต้องเสียหายเพราะต้องรื้อสิ่งปลูกสร้างไป และต้องเสียหายเพราะไม่ได้ที่ดิน โจทก์ชอบที่จะได้ค่าเสียหายทั้งสองรวมกันเป็น 8, 000 บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1037/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายจากผิดสัญญา: ศาลให้ได้ทั้งค่าเสียหายจริงและค่าปรับตามสัญญา
คดีเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญา เมื่อจำเลยรู้ดีว่า เมื่อตนผิดสัญญาโจทก์จะต้องเสียหาย ดังนี้ จำเลยต้องรับผิดในค่าเสียหาย ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 380 วรรค2 ซึ่งศาลอาจจะให้ค่าเสียหายได้
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญา 1,000 บาทและค่าเสียหายจากการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง 7,000 บาทศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 1,000 บาท โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์เห็นควรให้ค่าเสียหายทั้งหมดรวมกัน 7,000 บาทดังนี้ จะเรียกว่าศาลอุทธรณ์ไปวินิจฉัยในเรื่อง 1,000 บาทซึ่งโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ไม่ได้
เมื่อมีกรณีผิดสัญญาแล้ว ก็ย่อมเรียกค่าเสียหายแก่กันได้ถ้าผู้ได้รับความเสียหายพิสูจน์ได้ว่าตนได้เสียหายจริงจังเป็นเงินเท่าใดแล้ว ศาลก็ให้ตามนั้น หากพิสูจน์ไม่ได้ ศาลก็ให้ค่าเสียหายตามควรแก่กรณีโดยศาลกำหนดให้เองแล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร และผู้เสียหายอาจได้รับค่าเสียหายทั้งสองประเภทก็ได้
คดีนี้ โจทก์ต้องเสียหายเพราะต้องรื้อสิ่งปลูกสร้างไป และต้องเสียหายเพราะไม่ได้ที่ดิน โจทก์จึงชอบที่จะได้ค่าเสียหายทั้งสองจำนวนรวมกันเป็น8,000 บาท
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญา 1,000 บาทและค่าเสียหายจากการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง 7,000 บาทศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 1,000 บาท โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์เห็นควรให้ค่าเสียหายทั้งหมดรวมกัน 7,000 บาทดังนี้ จะเรียกว่าศาลอุทธรณ์ไปวินิจฉัยในเรื่อง 1,000 บาทซึ่งโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ไม่ได้
เมื่อมีกรณีผิดสัญญาแล้ว ก็ย่อมเรียกค่าเสียหายแก่กันได้ถ้าผู้ได้รับความเสียหายพิสูจน์ได้ว่าตนได้เสียหายจริงจังเป็นเงินเท่าใดแล้ว ศาลก็ให้ตามนั้น หากพิสูจน์ไม่ได้ ศาลก็ให้ค่าเสียหายตามควรแก่กรณีโดยศาลกำหนดให้เองแล้วแต่ศาลจะเห็นสมควร และผู้เสียหายอาจได้รับค่าเสียหายทั้งสองประเภทก็ได้
คดีนี้ โจทก์ต้องเสียหายเพราะต้องรื้อสิ่งปลูกสร้างไป และต้องเสียหายเพราะไม่ได้ที่ดิน โจทก์จึงชอบที่จะได้ค่าเสียหายทั้งสองจำนวนรวมกันเป็น8,000 บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1036/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาขนส่ง: ผู้รับจ้างผิดสัญญาแม้ถูกปล้นกลางทาง เหตุสุดวิสัยใช้ไม่ได้ หากละเลยไม่จัดการขนส่งตามกำหนด และค่าเสียหายรวมค่าสินค้า
จำเลยทำสัญญารับจ้างขนสินค้าโดยการล่อแพ เมื่อจำเลยละเลยไม่จัดการขนส่งให้ทันกำหนดเวลา จนพ้นกำหนดเวลาตามสัญญาแล้วจึงมาถูกปล้นกลางทาง ดังนี้ ถือว่าจำเลยผิดสัญญา จะยกเอาข้อถูกปล้นเป็นเหตุแก้ตัวไม่ได้
ในสัญญาขนส่งกระเทียมมีว่า จำเลยยอมใช้ค่าเสียหายเป็นเงินแสนละ 100 บาท ดังนี้ ค่าเสียหายที่กำหนดไว้ในสัญญาย่อมรวมทั้งค่ากระเทียมด้วย
ในสัญญาขนส่งกระเทียมมีว่า จำเลยยอมใช้ค่าเสียหายเป็นเงินแสนละ 100 บาท ดังนี้ ค่าเสียหายที่กำหนดไว้ในสัญญาย่อมรวมทั้งค่ากระเทียมด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1036/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยผิดสัญญาขนส่งสินค้าแม้ถูกปล้นกลางทาง เหตุละเลยไม่รีบขนส่งตามกำหนด สัญญาครอบคลุมค่าเสียหายทั้งสินค้าและค่าเสียหาย
จำเลยทำสัญญารับจ้างขนสินค้าโดยการล่องแพ เมื่อจำเลยละเลยไม่จัดการขนส่งให้ทันกำหนดเวลา จนพ้นกำหนดเวลาตามสัญญาแล้วจึงมาถูกปล้นกลางทาง ดังนี้ ถือว่าจำเลยผิดสัญญา จะยกเอาข้อถูกปล้นเป็นเหตุแก้ตัวไม่ได้
ในสัญญาขนส่งกระเทียมมีว่า จำเลยยอมใช้ค่าเสียหายเป็นเงินแสนละ 100 บาท ดังนี้ค่าเสียหายที่กำหนดไว้ในสัญญาย่อมรวมทั้งค่ากระเทียมด้วย
ในสัญญาขนส่งกระเทียมมีว่า จำเลยยอมใช้ค่าเสียหายเป็นเงินแสนละ 100 บาท ดังนี้ค่าเสียหายที่กำหนดไว้ในสัญญาย่อมรวมทั้งค่ากระเทียมด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1034/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสอบสวนคดีอาญา: การมีเจ้าพนักงานสอบสวนร่วม และความสมบูรณ์ของการสอบสวน
คำสั่งข้าหลวงประจำจังหวัดมีข้อความว่า "ขอตั้งปลัดจังกวัดและผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต หรือผู้แทนนั่งทำการสอบสวนเรื่องนี้พร้อมด้วยนายอำเภอเมืองภูเก็ต สอบสวนดำเนินคดีตามหน้าที่พนักงานสอบสวน" ดังนี้ เป็นการสั่งให้ดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้เป็นคดีอาญาตาม ป.ม.วิ.อาญา
นายอำเภอเมืองซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสอบสวนอยู่ด้วยตนเองแล้ว แม้จะมีผู้อื่นมานั่งร่วมทำการสอบสวนด้วย การสอบสวนนั้นก็สมบูรณ์ใช้ได้ตามกฎหมาย
(อ้างฎีกา 45/2490)
นายอำเภอเมืองซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสอบสวนอยู่ด้วยตนเองแล้ว แม้จะมีผู้อื่นมานั่งร่วมทำการสอบสวนด้วย การสอบสวนนั้นก็สมบูรณ์ใช้ได้ตามกฎหมาย
(อ้างฎีกา 45/2490)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1034/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสอบสวนคดีอาญาโดยเจ้าพนักงานหลายคนยังคงชอบด้วยกฎหมาย แม้มีผู้ร่วมสอบสวน
คำสั่งข้าหลวงประจำจังหวัดมีข้อความว่า "ขอตั้งปลัดจังหวัดและผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตหรือผู้แทนนั่งทำการสอบสวนเรื่องนี้พร้อมด้วยนายอำเภอเมืองภูเก็ต สอบสวนดำเนินคดีตามหน้าที่พนักงานสอบสวน" ดังนี้ เป็นการสั่งให้ดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้เป็นคดีอาญาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
นายอำเภอเมืองซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสอบสวนอยู่ด้วยตนเองแล้ว แม้จะมีผู้อื่นมานั่งร่วมทำการสอบสวนด้วยการสอบสวนนั้นก็สมบูรณ์ใช้ได้ตามกฎหมาย(อ้างฎีกา45/2490)
นายอำเภอเมืองซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสอบสวนอยู่ด้วยตนเองแล้ว แม้จะมีผู้อื่นมานั่งร่วมทำการสอบสวนด้วยการสอบสวนนั้นก็สมบูรณ์ใช้ได้ตามกฎหมาย(อ้างฎีกา45/2490)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1025/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละเจตนาครอบครองที่ดินเกิน 10 ปี ทำให้เจ้าของที่ดินฟ้องขับไล่ผู้ครอบครองไม่ได้ แม้ไม่มีหลักฐานการซื้อขาย
เจ้าของที่ดินมีโฉนดได้สละเจตนาครอบครองที่ดินเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้วบุคคลอื่นหลายคนได้เข้าครอบครองสืบเนื่องกันมา แม้การซื้อขายที่เป็นหลั่นๆ กัน ไม่มีหนังสือเจ้าของที่ดินเดิมจะฟ้องขับไล่ผู้ครอบครองที่นั้นหาได้ไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดิน 2 แปลงทุนทรัพย์ 200 บาทศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากที่แปลงหนึ่ง ยกฟ้องที่อีกแปลงหนึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องทั้งสองแปลง ดังนี้ เป็นการแก้น้อย ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดิน 2 แปลงทุนทรัพย์ 200 บาทศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากที่แปลงหนึ่ง ยกฟ้องที่อีกแปลงหนึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องทั้งสองแปลง ดังนี้ เป็นการแก้น้อย ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1025/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของที่ดินสละเจตนาครอบครองเกิน 10 ปี และมีการครอบครองต่อเนื่องโดยผู้อื่น เจ้าของที่ดินไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่
เจ้าของที่ดินมีโฉนดได้สละเจตนาครอบครองที่ดินเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว บุคคลอื่นหลายคนได้เข้าครอบครองสืบเนื่องกันมา แม้การซื้อขายที่เป็นหลั่น ๆ กันไม่มีหนังสือ เจ้าของที่ดินเดิมจะฟ้องขับไล่ผู้ครอบครองที่นั้นหาได้ไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดิน 2 แปลง ทุนทรัพย์ 200 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากที่แปลงหนึ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องทั้งสองแปลง ดังนี้ เป็นการแก้น้อย ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดิน 2 แปลง ทุนทรัพย์ 200 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากที่แปลงหนึ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องทั้งสองแปลง ดังนี้ เป็นการแก้น้อย ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง