คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
นาถปริญญา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,190 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1592/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาในข้อเท็จจริงหลังศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น: ข้อจำกัดในการฎีกา
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ 7000 บาทจากจำเลยที่ 1 และอ้างว่าจำเลยที่ 1 ขายที่ดินแก่จำเลยที่ 2 เพื่อฉ้อโจทก์ จึงขอให้ทำลายนิติกรรมซื้อขายด้วย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินกู้ 7000 บาทแก่โจทก์ส่วนข้อขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขาย ยกเสีย โจทก์อุทธรณ์ในข้อขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขาย ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืนอีกดังนี้ โจทก์จะฎีกาในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายอีกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1551/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องร้องระหว่างบุตรกับบิดามารดา: ข้อห้ามผู้ฟ้องแทนบุพการี
บิดาฟ้องมารดาเป็นจำเลย หาว่าร้องเรียนเท็จแจ้งความเท็จระหว่างพิจารณาบิดาตาย บุตรจึงร้องขอรับมรดกความแทนบิดาดังนี้ นับได้ว่าอยู่ในฐานะเป็นผู้ฟ้องบุพการีของตนต้องด้วยข้อห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1534 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 11/2494)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1533/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการรับเงินสินบนนำจับ: ผู้นำจับมีสิทธิรับเองหรือมอบฉันทะ แต่ห้ามอัยการรับแทนโดยไม่มีฉันทะ
เงินค่าสินบนนำจับในคดีผิด พระราชบัญญัติการพนันนั้น ศาลพิพากษาให้แก่ผู้นำจับ ฉะนั้น ผู้นำจับมีสิทธิที่จะมารับเองหรือมอบฉันทะให้โจทก์หรือผู้ใดมารับแทนก็ได้ แต่อัยการโจทก์จะมาขอรับโดยลำพังตนเองโดยมิได้มีการมอบฉันทะจากผู้นำจับหาได้ไม่ เทียบได้กับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 11/2494)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1533/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิรับเงินสินบนนำจับ: เงินสินบนเป็นของผู้นำจับ โจทก์ไม่มีอำนาจรับแทน
เงินค่าสินบนนำจับในคดีผิด พ.ร.บ.การพนันนั้น ศาลพิพากษาให้แก่ผู้นำจับ ฉะนั้นผู้นำจับมีสิทธิที่จะมารับเองหรือมอบฉันทะให้โจทก์หรือผู้ใดมารับแทนก็ได้ แต่อัยการโจทก์จะมาขอรับโดยลำพังตนเองโดยมิได้มีการมอบฉันทะจากผู้นำจับหาได้ไม่ เทียบได้กับ ป.ม.วิ.อาญามาตรา 43

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1463/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์เมื่อไม่ใช่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบทรัพย์สิน
จำเลยเป็นเสมียนกรมรถไฟประจำสถานีหนึ่งมีหน้าที่ขายตั๋วรถไฟให้ผู้โดยสาร จำเลยใช้ตั๋วของกรมรถไฟซึ่งได้สูญหายไปในระหว่างทางและไม่ได้อยู่ในบัญชีสถานีที่จำเลยประจำอยู่ มาเขียนกรอกข้อความลงไปแล้วปลอมขายว่าเป็นตั๋วรถไฟที่แท้จริงให้แก่ผู้ซื้อไป ดังนี้ เงินที่จำเลยขายตั๋วปลอมได้มา จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องส่งให้นายสถานีนั้นจำเลยเอาเงินนั้นไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย จำเลยจึงไม่มีผิดฐานยักยอกตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 131 หรือ 319

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1463/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยขายตั๋วรถไฟปลอม เงินที่ได้ไม่ใช่เงินของสถานี ไม่ถือเป็นความผิดฐานยักยอก
จำเลยเป็นเสมียนกรมรถไฟประจำสถานีหนึ่งมีหน้าที่ขายตั๋วรถไฟให้ผู้โดยสาร จำเลยใช้ตั๋วของกรมรถไฟซึ่งได้ศูนย์หายไปในระหว่างทางและไม่ได้อยู่ในบัญชีสถานีที่จำเลยประจำอยู่ มาเขียนกรอกข้อความลงไปแล้วปลอมขายว่าเป็นตั๋วรถไฟที่แท้จริงให้แก่ผู้ซื้อไป ดังนี้ เงินที่จำเลยขายตั๋วปลอมได้มา จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องส่งให้นายสถานีนั้น จำเลยเอาเงินนั้นไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย จำเลยจึงไม่มีผิดฐานยักยอกตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 131 หรือ 319

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1444/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระการพิสูจน์สถานะผู้เช่า - การคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าของโจทก์ โดยอ้างว่าห้องเช่าอยู่ในทำเลการค้าได้บอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว
จำเลยต่อสู้ว่าเช่าห้องของโจทก์อยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ
และจำเลยยังแถลงรับอีกว่าการเช่าไม่มีหนังสือสัญญาต่อกัน ห้องเช่าอยู่ในทำเลการค้าขายจำเลยอยู่อาศัยและค้าขายของชำตลอดมา ดังนี้ จำเลยมีหน้าที่ต้องนำสืบว่า จำเลยมีเหตุอันควรได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯลฯ อย่างไร ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่สืบพยาน จำเลยไม่มีทางชนะคดีได้ ศาลต้องพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าของโจทก์ (อ้างฎีกาที่ 420/2494)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1444/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเช่าพื้นที่ค้าขายและการคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า จำเลยต้องพิสูจน์สิทธิ
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากฟ้องเช่าของโจทก์ โดยอ้างว่าห้องเช่าอยู่ในทำเลการค้าได้บอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว
จำเลยต่อสู้ว่าเช่าห้องของโจทก์อยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าฯ
และจำเลยยังแถลงรับอีกว่าการเช่าไม่มีหนังสือสัญญาต่อกันห้องเช่าอยู่ในทำเลยการค้าขายจำเลยอยู่อาศัยและค้าขายของชำตลอดมา ดังนี้ จำเลยมีหน้าที่ต้องนำสืบว่า จำเลยมีเหตุอันควรได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ อย่างไร ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่สืบพยาน จำเลยก็ไม่มีทางชนะคดีได้ ศาลต้องพิพากษาขับไล่จำเลยออกจากห้องเช่าของโจทก์
(อ้างฎีกาที่ 420/2494)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1412/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: การโต้แย้งคำพิพากษาเดิมในประเด็นส่วนแบ่งมรดก ถือเป็นการขอให้ลบล้างแก้ไขคำพิพากษาเดิม จึงต้องห้ามตามกฎหมาย
ศาลพิพากษาให้แบ่งที่ดินแปลงหนึ่งให้แก่โจทก์จำเลยและพี่น้องอีก 2 คน ๆ ละ 1 ส่วนเท่าเท่ากันโดยฟังว่า ที่แปลงนั้นเป็นมรดกของบิดาโจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์เห็นว่าจำเลยได้รับมรดกมากเกินไปเป็นเหตุให้โจทก์ขาดเงินไปจำนวนหนึ่ง โจทก์จึงมาฟ้องให้จำเลยใช้เงินจำนวนนั้นแก่โจทก์โดยอ้างว่าที่ดินมรดกแปลงที่กล่าวแล้วเป็นสินสมรสของบิดาและมารดา จำเลยได้รับส่วนแบ่งมรดกเกินไป ดังนี้ เป็นการฟ้องในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ซึ่งเท่ากับเป็นการโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาในคดีก่อนนั้นเองว่าพิพากษาไม่ถูกการฟ้องใหม่จึงเท่ากับขอให้ลบล้างแก้ไขคำพิพากษาของศาลในคดีเดิม จึงเป็นการฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1412/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำในประเด็นที่ศาลตัดสินเด็ดขาดแล้ว ถือเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาเดิม
ศาลพิพากษาให้แบ่งที่ดินแปลงหนึ่งให้แก่โจทก์จำเลยและพี่น้องอีก 2 คน คนละ 1 ส่วนเท่าเท่ากัน โดยฟังว่า ที่แปลงนั้นเป็นมรดกของบิดาโจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์เห็นว่าจำเลยได้รับมรดกมากเกินไป เป็นเหตุให้โจทก์ขาดเงินไปจำนวนหนึ่ง โจทก์จึงมาฟ้องให้จำเลยใช้เงินจำนวนนั้นแก่โจทก์โดยอ้างว่าที่ดินมรดกแปลงที่กล่าวแล้วเป็นสินสมรสของบิดาและมารดา จำเลยได้รับส่วนแบ่งมรดกเกินไป ดังนี้ เป็นการฟ้องในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ซึ่งเท่ากับเป็นการโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาในคดีก่อนนั้นเองว่าพิพากษาไม่ถูก การฟ้องใหม่จึงเท่ากับขอให้ลบล้างแก้ไขคำพิพากษาของศาลในคดีเดิม จึงเป็นการฟ้องซ้ำ
of 119