พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,190 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1266/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยกระทำผิดซ้ำหลังได้รับโทษรอการลงอาญา ศาลเพิ่มโทษตามกฎหมายและรวมโทษเดิม
จำเลยเคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกมีกำหนด 9 เดือนมาแล้วแต่ถูกรอการลงอาญาไว้ มากระทำผิดฐานฆ่าคนตายตามมาตรา 249 ขึ้นอีกภายใน 5 ปี ศาลพิพากษาจำคุก 15 ปี และเพิ่มโทษตามมาตรา 42,72 อีก 1 ใน 3 เป็นโทษให้จำคุก 20 ปี แล้วเอาโทษที่รอไว้ 9 เดือนมาลงแก่จำเลย รวมเป็นโทษจำคุก 20 ปี 9 เดือน ศาลฎีกาพิพากษายืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1259/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตคำขอห้ามบุกรุก: คำพิพากษาตามแผนที่พิพาท
โจทก์ฟ้องขอให้ห้ามจำเลยไม่ให้เกี่ยวข้องในที่ของโจทก์ซึ่งจำเลยบุกรุกเข้ามา กว้าง 1 วา ยาวประมาณ 3 เส้น ครั้นเมื่อเจ้าพนักงานไปทำแผนที่ โจทก์นำชี้ที่ที่จำเลยบุกรุกเข้ามาตามในวงเส้นสีแดง ซึ่งกว้างเพียง 3 ศอกยาว 3 เส้น 3 วา 2 ศอกเกินที่กล่าวในฟ้องไป 3 วา 2 ศอก ดังนี้ก็ต้องถือว่าโจทก์ฟ้องขอให้ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ของโจทก์ตามในวงเส้นสีแดงแห่งแผนที่พิพาทนั้นเอง ศาลพิพากษาห้ามจำเลยไม่ให้เกี่ยวข้องในที่พิพาทภายในวงเส้นสีแดงแห่งแผนที่พิพาทได้ ไม่เป็นการเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1259/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตคำขอในคดีบุกรุก: ศาลพิจารณาตามแผนที่พิพาท แม้เนื้อที่ต่างจากฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ห้ามจำเลยไม่ให้เกี่ยวข้องในที่ของโจทก์ ซึ่งจำเลยบุกรุกเข้ามา กว้าง 1 วา ยาวประมาณ 3 เส้น ครั้นเมื่อเจ้าพนักงานไปทำแผนที่โจทก์นำชี้ที่ที่จำเลยบุกรุกเข้ามาตามในวงเส้นสีแดง ซึ่งกว้างเพียง 3 ศอก ยาว 3 เส้น 3 วา 2 ศอกเกินที่กล่าวในฟ้องไป 3 วา 2 ศอก ดังนี้ ก็ต้องถือว่า โจทก์ฟ้องขอให้ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ของโจทก์ตามในวงเส้นสีแดงแห่งแผนที่พิพาทนั้นเอง ศาลพิพากษาห้ามจำเลยไม่ให้เกี่ยวข้องในที่พิพาทภายในวงเส้นสีแดงแห่งแผนที่พิพาทได้ ไม่เป็นการเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1258/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมรับสัญญายอมความและการโต้เถียงภายหลัง: ศาลฎีกาพิพากษายืนตามสัญญาที่จำเลยยอมรับ
โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ศาลบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความและเรียกค่าเสียหาย จำเลยต่อสู้ว่าสัญญาประนีประนอมนั้นไม่สมบูรณ์โดยเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลของโจทก์ และเถียงในเรื่องค่าเสียหาย ครั้นต่อมายอมรับในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลว่า โจทก์จำเลยยอมรับว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามสำเนาท้ายฟ้องจริง คู่ความคงโต้เถียงกันฉะเพาะราคานาพิพาทและค่าเสียหายเท่านั้น และในที่สุดไม่ติดใจโต้เถียงเรื่องราคานา+เสียหายจำเลยก็รับในที่สุดว่าคิดเป็นเงิน 800 บาท ดังนี้เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยไม่ได้โต้เถียงต่อไปแล้วว่าสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นไม่สมบูรณ์ และเมื่อเรื่องราคานาและจำนวนค่าเสียหายจำเลยก็ไม่เถียงต่อไปแล้ว คดีก็เป็นอันไม่มีประเด็นที่จะสืบกันต่อไป ศาลพิพากษาให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญายอมความนั้น และให้ใช้ค่าเสียหายตามจำนวนที่โจทก์จำเลยยอมรับกันได้ทีเดียว จำเลยจะมาเถียงในชั้นฎีกาว่าจำเลยไม่ได้รับในเรื่องความสมบูรณ์ของสัญญาประนีประนอมรายนี้ย่อมฟังไม่ได้
จำเลยรับว่าจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมตามที่โจทก์นำมาฟ้องจริง แต่ต่อสู้ว่าสัญญาไม่สมบูรณ์โดยเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลของโจทก์ ประเด็นข้อนี้จึงตกเป็นหน้าที่จำเลยจะต้องนำสืบให้ได้ความตามที่จำเลยกล่าวอ้างขึ้นมา
จำเลยรับว่าจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมตามที่โจทก์นำมาฟ้องจริง แต่ต่อสู้ว่าสัญญาไม่สมบูรณ์โดยเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลของโจทก์ ประเด็นข้อนี้จึงตกเป็นหน้าที่จำเลยจะต้องนำสืบให้ได้ความตามที่จำเลยกล่าวอ้างขึ้นมา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1258/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมรับสัญญายอมความและการสืบพยาน จำเลยต้องนำสืบหากกล่าวอ้างว่าสัญญาไม่สมบูรณ์
โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ศาลบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความและเรียกค่าเสียหาย จำเลยต่อสู้ว่าสัญญาประนีประนอมนั้นไม่สมบูรณ์โดยเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลของโจทก์ และเถียงในเรื่องค่าเสียหาย ครั้นต่อมายอมรับในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลว่า โจทก์จำเลยยอมรับว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามสำเนาท้ายฟ้องจริง คู่ความคงโต้เถียงกันเฉพาะราคานาพิพาทและค่าเสียหายเท่านั้น และในที่สุดไม่ติดใจโต้เถียงเรื่องราคานาเรื่องค่าเสียหาย จำเลยก็รับในที่สุดว่าคิดเป็นเงิน 800 บาท ดังนี้เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยไม่ได้โต้เถียงต่อไปแล้วว่าสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นไม่สมบูรณ์และเมื่อเรื่องราคานาและจำนวนค่าเสียหายจำเลยก็ไม่เถียงต่อไปแล้ว คดีก็เป็นอันไม่มีประเด็นที่จะสืบกันต่อไป ศาลพิพากษาให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญายอมความนั้น และให้ใช้ค่าเสียหายตามจำนวนที่โจทก์จำเลยยอมรับกันได้ทีเดียว จำเลยจะมาเถียงในชั้นฎีกาว่าจำเลยไม่ได้รับในเรื่องความสมบูรณ์ของสัญญาประนีประนอมรายนี้ย่อมฟังไม่ได้
จำเลยรับว่าจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมตามที่โจทก์นำมาฟ้องจริง แต่ต่อสู้ว่าสัญญาไม่สมบูรณ์โดยเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลของโจทก์ ประเด็นข้อนี้จึงตกเป็นหน้าที่จำเลยจะต้องนำสืบให้ได้ความตามที่จำเลยกล่าวอ้างขึ้นมา
จำเลยรับว่าจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมตามที่โจทก์นำมาฟ้องจริง แต่ต่อสู้ว่าสัญญาไม่สมบูรณ์โดยเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลของโจทก์ ประเด็นข้อนี้จึงตกเป็นหน้าที่จำเลยจะต้องนำสืบให้ได้ความตามที่จำเลยกล่าวอ้างขึ้นมา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1255/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตอำนาจควบคุมทรัพย์สินศัตรู: พ.ร.บ.ต้องให้อำนาจชัดเจน การงดชำระหนี้เกินขอบเขตเป็นโมฆะ
อำนาจออกพระราชกฤษฎีกาจนเป็นการขัดหรือฝ่าฝืนต่อกฎหมายทั่วๆ ไปของบ้านเมืองนั้น จักต้องมีการระบุมอบอำนาจไว้โดยชัดแจ้งในตัว พ.ร.บ.มิฉะนั้นพระราชกฤษฎีกาที่ออกมาเป็นการขัดหรือฝ่าฝืนกฎหมายทั่วไปของบ้านเมืองนั้น ก็จะบังคับใช้ไม่ได้
ข้อความในพระราชกฤษฎีกาควบคุมจัดกิจการหรือทรัพย์สินของบุคคลที่เป็นศัตรูต่อสหประชาชาติ พ.ศ. 2492 (ฉะบับที่ 2) มาตรา 3 ซึ่งให้ยกเลิกมาตรา 6 ในพระราชกฤษฎีกาฉะบับที่ 1 และใช้ความต่อไปนี้แทนว่า "มาตรา 6 ในการควบคุมจัดกิจการหรือทรัพย์สินตามความในพระราชกฤษฎีกานี้ให้คณะกรรมการรักษาเงินที่ได้จากการนั้น ไว้และในระหว่างที่ยังมิได้มีความตกลงของสหประชาชาติในเรื่องนี้ห้ามมิให้จ่ายเงินดังกล่าวแล้ว เว้นแต่ค่าใช้จ่ายดังบัญญัติไว้ในมาตรา 5" นั้น ถ้าจะแปลจนถึงว่าให้คณะกรรมการมีอำนาจงดการชำระหนี้อันถึงกำหนด แก่เจ้าหนี้ตลอดถึงไม่ต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาและทรัพย์สินของลูกหนี้ ไม่ต้องอยู่ในการบังคับชำระหนี้ของเจ้าหนี้แล้ว ก็จะเป็นอำนาจที่มิใช่อำนาจในหลักเกณฑ์และวิธีการควบคุมและจัดทรัพย์สิน เพราะเป็นอำนาจที่คณะกรรมการจะต้องกระทำการฝ่าฝืนขืนขัดต่อกฎหมายทั่วไปของบ้านเมือง โดยมิได้มี พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทำการเช่นนั้น หรือให้อำนาจที่จะให้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเช่นนั้นได้ ฉะนั้นศาลจึงมีอำนาจดำเนินการบังคับคดีแก่คณะกรรมการฯ ผู้เป็นจำเลยให้ชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลได้
ข้อความในพระราชกฤษฎีกาควบคุมจัดกิจการหรือทรัพย์สินของบุคคลที่เป็นศัตรูต่อสหประชาชาติ พ.ศ. 2492 (ฉะบับที่ 2) มาตรา 3 ซึ่งให้ยกเลิกมาตรา 6 ในพระราชกฤษฎีกาฉะบับที่ 1 และใช้ความต่อไปนี้แทนว่า "มาตรา 6 ในการควบคุมจัดกิจการหรือทรัพย์สินตามความในพระราชกฤษฎีกานี้ให้คณะกรรมการรักษาเงินที่ได้จากการนั้น ไว้และในระหว่างที่ยังมิได้มีความตกลงของสหประชาชาติในเรื่องนี้ห้ามมิให้จ่ายเงินดังกล่าวแล้ว เว้นแต่ค่าใช้จ่ายดังบัญญัติไว้ในมาตรา 5" นั้น ถ้าจะแปลจนถึงว่าให้คณะกรรมการมีอำนาจงดการชำระหนี้อันถึงกำหนด แก่เจ้าหนี้ตลอดถึงไม่ต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาและทรัพย์สินของลูกหนี้ ไม่ต้องอยู่ในการบังคับชำระหนี้ของเจ้าหนี้แล้ว ก็จะเป็นอำนาจที่มิใช่อำนาจในหลักเกณฑ์และวิธีการควบคุมและจัดทรัพย์สิน เพราะเป็นอำนาจที่คณะกรรมการจะต้องกระทำการฝ่าฝืนขืนขัดต่อกฎหมายทั่วไปของบ้านเมือง โดยมิได้มี พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทำการเช่นนั้น หรือให้อำนาจที่จะให้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเช่นนั้นได้ ฉะนั้นศาลจึงมีอำนาจดำเนินการบังคับคดีแก่คณะกรรมการฯ ผู้เป็นจำเลยให้ชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1255/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตอำนาจการควบคุมทรัพย์สินของศัตรูต่อสหประชาชาติ ต้องเป็นไปตามกฎหมายหลัก และพระราชกฤษฎีกาต้องไม่ขัดต่อกฎหมายทั่วไป
อำนาจออกพระราชกฤษฎีกาจนเป็นการขัดหรือฝ่าฝืนต่อกฎหมายทั่วๆ ไปของบ้านเมืองนั้น จักต้องมีการระบุมอบอำนาจไว้โดยชัดแจ้งในตัว พระราชบัญญัติ มิฉะนั้นพระราชกฤษฎีกาที่ออกมาเป็นการขัดหรือฝ่าฝืนกฎหมายทั่วไปของบ้านเมืองนั้นก็จะบังคับใช้ไม่ได้
ข้อความในพระราชกฤษฎีกาควบคุมจัดกิจการหรือทรัพย์สินของบุคคลที่เป็นศัตรูต่อสหประชาชาติ พ.ศ.2492(ฉบับ ที่ 2) มาตรา 3 ซึ่งให้ยกเลิกมาตรา 6 ในพระราชกฤษฎีกาฉบับ ที่1 และใช้ความต่อไปนี้แทนว่า "มาตรา 6 ในการควบคุมจัดกิจการหรือทรัพย์สินตามความในพระราชกฤษฎีกานี้ให้คณะกรรมการรักษาเงินที่ได้จากการนั้นไว้ และในระหว่างที่ยังมิได้มีความตกลงของสหประชาชาติในเรื่องนี้ ห้ามมิให้จ่ายเงินดังกล่าวแล้ว เว้นแต่ค่าใช้จ่ายดังบัญญัติไว้ในมาตรา 5" นั้น ถ้าจะแปลจนถึงว่าให้คณะกรรมการมีอำนาจงดการชำระหนี้อันถึงกำหนดแก่เจ้าหนี้ตลอดถึงไม่ต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาและทรัพย์สินของลูกหนี้ไม่ต้องอยู่ในการบังคับชำระหนี้ของเจ้าหนี้แล้วก็จะเป็นอำนาจที่มิใช่อำนาจในหลักเกณฑ์และวิธีการควบคุมและจัดทรัพย์สิน เพราะเป็นอำนาจที่คณะกรรมการจะต้องกระทำการฝ่าฝืนขืนขัดต่อกฎหมายทั่วไปของบ้านเมือง โดยมิได้มี พระราชบัญญัติให้อำนาจกระทำการเช่นนั้น หรือให้อำนาจที่จะให้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเช่นนั้นได้ ฉะนั้นศาลจึงมีอำนาจดำเนินการบังคับคดีแก่คณะกรรมการฯ ผู้เป็นจำเลยให้ชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 11,12,13,14/2493)
ข้อความในพระราชกฤษฎีกาควบคุมจัดกิจการหรือทรัพย์สินของบุคคลที่เป็นศัตรูต่อสหประชาชาติ พ.ศ.2492(ฉบับ ที่ 2) มาตรา 3 ซึ่งให้ยกเลิกมาตรา 6 ในพระราชกฤษฎีกาฉบับ ที่1 และใช้ความต่อไปนี้แทนว่า "มาตรา 6 ในการควบคุมจัดกิจการหรือทรัพย์สินตามความในพระราชกฤษฎีกานี้ให้คณะกรรมการรักษาเงินที่ได้จากการนั้นไว้ และในระหว่างที่ยังมิได้มีความตกลงของสหประชาชาติในเรื่องนี้ ห้ามมิให้จ่ายเงินดังกล่าวแล้ว เว้นแต่ค่าใช้จ่ายดังบัญญัติไว้ในมาตรา 5" นั้น ถ้าจะแปลจนถึงว่าให้คณะกรรมการมีอำนาจงดการชำระหนี้อันถึงกำหนดแก่เจ้าหนี้ตลอดถึงไม่ต้องชำระหนี้ตามคำพิพากษาและทรัพย์สินของลูกหนี้ไม่ต้องอยู่ในการบังคับชำระหนี้ของเจ้าหนี้แล้วก็จะเป็นอำนาจที่มิใช่อำนาจในหลักเกณฑ์และวิธีการควบคุมและจัดทรัพย์สิน เพราะเป็นอำนาจที่คณะกรรมการจะต้องกระทำการฝ่าฝืนขืนขัดต่อกฎหมายทั่วไปของบ้านเมือง โดยมิได้มี พระราชบัญญัติให้อำนาจกระทำการเช่นนั้น หรือให้อำนาจที่จะให้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเช่นนั้นได้ ฉะนั้นศาลจึงมีอำนาจดำเนินการบังคับคดีแก่คณะกรรมการฯ ผู้เป็นจำเลยให้ชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 11,12,13,14/2493)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1252/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสัมพันธ์บิดาเลี้ยง-บุตรติดแม่: สิทธิฟ้องร้องและการไม่เป็นบุพการี
บุตรที่ติดแม่มาอยู่กับบิดาเลี้ยงกับแม่นั้นเมื่อไม่มีการแสดงออกรับรองเป็นบุตรบุญธรรมต่อกันแต่อย่างใดแล้ว ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นบุตรบุญธรรมของบิดาเลี้ยง คงเป็นอย่างสามัญทั่วไป คือเป็นลูกติดแม่เท่านั้นเอง ดังนี้บิดาเลี้ยงนั้นจึงมิใช่เป็นบุพการีของบุตรๆ จึงมีสิทธิฟ้องบิดาเลี้ยงได้ ไม่เป็นอุทลุมตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1252/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสัมพันธ์บิดาเลี้ยง-บุตรติดแม่ ไม่ถือเป็นบุตรบุญธรรม สิทธิฟ้องร้องเป็นบุตรบุญธรรมไม่มี
บุตรที่ติดแม่มาอยู่กับบิดาเลี้ยง กับแม่นั้น เมื่อไม่มีการแสดงออกรับรองเป็นบุตรบุญธรรมต่อกันแต่อย่างใดแล้ว ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นบุตรบุญธรรมของบิดาเลี้ยง คงเป็นอย่างสามัญทั่วไป คือเป็นลูกติดแม่เท่านั้นเองดังนี้ บิดาเลี้ยงนั้นจึงมิใช่เป็นบุพการีของบุตรบุตรจึงมีสิทธิฟ้องบิดาเลี้ยงได้ ไม่เป็นอุทลุมตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1249/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการรับมรดกและการอ้างอายุความมรดก: ทายาทโดยธรรมและผู้รับมรดกแทนกัน
โจทก์และบิดาจำเลยเป็นทายาทของเจ้ามฤดกตามมาตรา 1629(4)ลำดับเดียวกัน บิดาจำเลยยังมีชีวิตอยู่ ตัวจำเลยจึงหาใช่เป็นทายาทของเจ้ามฤดกไม่จึงไม่มีสิทธิอ้างอายุความมฤดก 1 ปียกขึ้นต่อสู้แก่โจทก์ผู้เป็นทายาทของเจ้ามฤดกตามมาตรา 1755 ได้
ในกรณีเช่นนี้จำเลยจะรับมฤดกเจ้ามฤดกแทนที่บิดาจำเลยได้แต่เมื่อบิดาได้ถึงแก่ความตายแล้ว หรือถูกจำกัดมิให้รับมฤดกมิฉะนั้นจะเข้ามารับมฤดกแทนที่บิดาไม่ได้
ในกรณีเช่นนี้จำเลยจะรับมฤดกเจ้ามฤดกแทนที่บิดาจำเลยได้แต่เมื่อบิดาได้ถึงแก่ความตายแล้ว หรือถูกจำกัดมิให้รับมฤดกมิฉะนั้นจะเข้ามารับมฤดกแทนที่บิดาไม่ได้