คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
กฎหมายลักษณะอาญา ม. 304

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 173 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 656/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร้องทุกข์ในคดีฉ้อโกง: ผู้ว่าฯ คนใหม่มีอำนาจร้องทุกข์แทนผู้เสียหายเดิม
ผู้ว่าราชการจังหวัดถูกฉ้อโกงหลงเชื่อสั่งจ่ายเงินซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ไป เมื่อย้ายผู้ว่าราชการคนเก่าไปแล้วผู้ว่าราชการจังหวัดคนใหม่โดยตำแหน่งย่อมเป็นผู้เสียหายมีสิทธิร้องทุกข์ให้เอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้
การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีนั้นถือได้ว่าเป็นการร้องทุกข์แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 574/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลอมแปลงเอกสารและฉ้อโกง: การพิสูจน์การร้องทุกข์ของผู้เสียหายเป็นสาระสำคัญในการลงโทษ
อัยการโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดหลายบทหลายกระทงคือปลอมหนังสือและฉ้อโกงนายเจียมพลฯ บรรจง ผู้เสียหาย ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ให้พนักงานดำเนินคดีแล้ว
แม้ศาลล่างทั้งสองฟังว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องและพิพากษาลงโทษจำเลยตาม มาตรา 224,227,304 ฯลฯ กับให้คืนเงินจำเลย
ในชั้นฎีกาเมื่อคดีนี้ฟังได้ว่าไม่มีการร้องทุกข์ก็ลงโทษจำเลยตาม มาตรา 304 ไม่ได้ จึงชอบที่จะพิพากษาแก้เฉพาะที่เกี่ยวกับมาตรา 304 และเรื่องการใช้เงิน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 491/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฉ้อโกงทรัพย์: เจตนาทุจริตรับว่าตัดเสาได้แต่ไม่ส่งมอบและปฏิเสธความรับผิด
การที่จำเลยไม่มีอาชีพในทางค้าเสาไม้เคยขออนุญาตตัดฟันไม้ แต่รับจะจัดการตัดเสาอ้างว่ามีโควต้าทำไม้ผู้เสียหายยอมให้เงิน 3,600 บาทค่าลูกจ้างและค่าเข็นโดยจำเลยว่าเสาตามที่สั่งตัดไว้ครบแล้วหลังจากนั้นอีกนานก็ไม่มีเสามา เมื่อถูกจับก็บอกกับตำรวจว่าหาเสาไม่ได้ แต่กลับปฏิเสธต่อผู้เสียหายว่าไม่รู้เรื่องไม่ได้รับเงิน พฤติการณ์ดั่งกล่าวย่อมแสดงว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตคิดฉ้อโกงทรัพย์ของผู้เสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1728/2498

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หลักฐานทางอ้อมพิสูจน์ความผิดฐานลักทรัพย์ และการขาดการร้องทุกข์ทำให้ฟ้องฐานฉ้อโกงไม่ได้
ที่จะมีความผิดฐานลักทรัพย์นั้นแม้ไม่มีประจักษ์พยานเห็นว่าจำเลยเป็นคนร้ายเข้าไปลักกระบือ แต่ได้ความว่ากระบือหายเวลาก่อนแจ้ง กำนันจับจำเลยได้ขณะขี่กระบือในวันรุ่งขึ้นเวลาบ่าย จำเลยก็รับว่าไม่รู้จักเจ้าทรัพย์ แม้บ้านก็ไม่รู้จัก ครั้นจำเลยได้ประกันตัวไปจากอำเภอเพื่อนำหลักฐานมาแสดง จำเลยก็ตรงไปหาเจ้าทรัพย์ถูก ซ้ำยังหลอกลวงว่าจะไปไถ่กระบือคืนให้ให้เจ้าทรัพย์มอบตั๋วพิมพ์รูปพรรณไป พฤติการณ์ดังนี้เป็นเหตุแวดล้อมให้เห็นว่าจำเลยนั่นเองเป็นผู้เข้าไปลักกระบือรายนี้
อันความผิดฐานฉ้อโกงนั้นแม้ในฟ้องจะกล่าวว่า เจ้าทุกข์ได้ร้องทุกข์ให้เจ้าพนักงานสอบสวนจัดการดำเนินคดีแก่จำเลยก็ดีแต่เวลาโจทก์นำสืบไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานขอให้ดำเนินคดีในความผิดฐานนี้เลยทั้งหลักฐานการร้องทุกข์ก็ไม่ปรากฏ ฉะนั้นจะฟังว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานขอให้ดำเนินคดีแก่จำเลยหาได้ไม่ โจทก์จึงฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงยังไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1728/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หลักฐานแวดล้อมบ่งชี้การลักทรัพย์ & การขาดการร้องทุกข์ในคดีฉ้อโกง
ที่จะมีความผิดฐานลักทรัพย์นั้นแม้ไม่มีประจักษ์พยานเห็นว่าจำเลยเป็นคนร้ายเข้าไปลักกระบือ แต่ได้ความว่ากระบือหายเวลาก่อนแจ้ง กำนันจับจำเลยได้ขณะขี่กระบือในวันรุ่งขึ้นเวลาบ่าย จำเลยก็รับว่าไม่รู้จักเจ้าทรัพย์ แม้บ้านก็ไม่รู้จัก ครั้นจำเลยได้ประกันตัวไปจากอำเภอเพื่อนำหลักฐานมาแสดง จำเลยก็ตรงไปหาเจ้าทรัพย์ถูก ซ้ำยังหลอกลวงว่าจะไปไถ่กระบือคืนให้ให้เจ้าทรัพย์มอบตั๋วพิมพ์รูปพรรณไป พฤติการณ์ดังนี้เป็นเหตุแวดล้อมให้เห็นว่าจำเลยนั่นเองเป็นผู้เข้าไปลักกระบือรายนี้
อันความผิดฐานฉ้อโกงนั้นแม้ในฟ้องจะกล่าวว่า เจ้าทุกข์ได้ร้องทุกข์ให้เจ้าพนักงานสอบสวนจัดการดำเนินคดีแก่จำเลยก็ดีแต่เวลาโจทก์นำสืบไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานขอให้ดำเนินคดีในความผิดฐานนี้เลยทั้งหลักฐานการร้องทุกข์ก็ไม่ปรากฏ ฉะนั้นจะฟังว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานขอให้ดำเนินคดีแก่จำเลยหาได้ไม่ โจทก์จึงฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงยังไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1666/2498

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฉ้อโกง: เริ่มนับแต่วันรู้เรื่องความผิดและตัวผู้กระทำผิด แม้มีการผัดผ่อน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้อุบายหลอกลวงว่าที่ดินเป็นของจำเลยจะจำนองโจทก์โจทก์หลงเชื่อจ่ายเงินมัดจำล่วงหน้าไป ครั้นต่อมาปรากฏว่าที่ดินมีชื่อบุตรจำเลยเป็นเจ้าของ จำเลยได้หลอกลวงว่าจะขออนุญาตศาลจำนอง ในคำร้องจำเลยอ้างว่าจะเอาเงินไปซื้อที่ดินใหม่และใช้จ่ายการศึกษาของบุตร แต่จำเลยรับกับเจ้าพนักงานศาลว่าเอาไปใช้หนี้ส่วนตัว ศาลจึงยกคำร้อง โจทก์จึงทราบชัดว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตฉ้อโกงโจทก์ เช่นนี้ต้องถือว่าโจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดตั้งแต่วันที่โจทก์รู้ว่าที่ดินมีชื่อบุตรในโฉนด นับจากวันนั้นพ้นสามเดือนโจทก์จึงไปร้องทุกข์ คดีโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1666/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฉ้อโกง: เริ่มนับแต่รู้เรื่องความผิดและตัวผู้กระทำผิด
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้อุบายหลอกลวงว่าที่ดินเป็นของจำเลยจะจำนองโจทก์โจทก์หลงเชื่อจ่ายเงินมัดจำล่วงหน้าไป ครั้นต่อมาปรากฏว่าที่ดินมีชื่อบุตรจำเลยเป็นเจ้าของ จำเลยได้หลอกลวงว่าจะขออนุญาตศาลจำนอง ในคำร้องจำเลยอ้างว่าจะเอาเงินไปซื้อที่ดินใหม่และใช้จ่ายการศึกษาของบุตร แต่จำเลยรับกับเจ้าพนักงานศาลว่าเอาไปใช้หนี้ส่วนตัว ศาลจึงยกคำร้อง โจทก์จึงทราบชัดว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตฉ้อโกงโจทก์ เช่นนี้ต้องถือว่าโจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดตั้งแต่วันที่โจทก์รู้ว่าที่ดินมีชื่อบุตรในโฉนด นับจากวันนั้นพ้นสามเดือนโจทก์จึงไปร้องทุกข์ คดีโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1201-1203/2498

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฉ้อโกงลงทุน-ผลตอบแทนสูงเกินจริง-เพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบ
จำเลยตั้งสำนักงานขึ้นให้ชื่อว่าบริษัทชัยวัฒนา มีวัตถุประสงค์ทำการค้าและชักชวนให้ประชาชนนำเงินมาฝากเป็นการเข้าหุ้น แต่การเข้าหุ้นนี้จำเลยคิดผลประโยชน์ให้ร้อยละ 50 ต่อเดือนเป็นรายเดือน มีประชาชนหลายจังหวัดนำเงินมามอบให้จำเลยเป็นจำนวนมากมายหลายสิบล้านบาทเพราะหวังประโยชน์ตอบแทนอันสูง ดังนี้เมื่อคำนวณอัตราผลประโยชน์ร้อยละ 50 ต่อเดือนที่จำเลยคิดให้แล้วในต้นเงินเพียง100 บาท ถ้าฝากจำเลยสมทบทั้งต้นและผลประโยชน์ ในปีหนึ่งจำเลยจะต้องจ่ายเป็นเงินหนึ่งหมื่นเศษ ถ้าถึงปีที่ 2 ก็เป็นจำนวนเกินล้านบาท ซึ่งเป็นที่เห็นได้ชัดว่าจำเลยจะไปหาผลกำไรจากที่ไหนมาจ่ายให้ได้ แม้จำเลยเองก็ว่าหุ้นส่วนมีกำไรเท่าใดไม่อาจรู้ได้ แต่กระนั้นจำเลยก็ยังคงจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ฝากไปได้ เหตุที่จำเลยจ่ายเงินปันผลทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ามีกำไรเท่าใดนั้น ย่อมประกอบให้เห็นเจตนาจำเลยในการลวงให้เขาหลงเชื่อโดยแท้การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใช้อุบายเป็นทำนองว่าตนทำการค้าใหญ่โตให้เขานำเงินมาฝากเข้าเป็นหุ้นส่วน โดยสัญญาจะจ่ายเงินปันผลให้ร้อยละ 50 ต่อเดือนทั้งๆ ที่ตนเองก็รู้ดีว่าไม่สามารถจะจ่ายให้เขาได้จึงนับว่าเป็นความเท็จและคนหลงเชื่อนำเงินมาฝากมากมายเช่นนี้ย่อมเข้าเกณฑ์ความผิดฐานฉ้อโกงตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 304 และการกระทำดังกล่าวไม่เป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติธนาคารพานิชย์ เพราะไม่ใช่ทำการเป็นธนาคารพานิชย์ และไม่มีสภาพคล้ายคลึงกับกิจการธนาคารตาม พระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุขแห่งสาธารณะชน พ.ศ.2471 มาตรา 7
โจทก์กล่าวฟ้องว่าก่อนคดีนี้จำเลยที่ 1 เคยต้องโทษฐานไม่ทำบัญชีแสดงรายการรับและจำหน่ายน้ำตาลมาครั้งหนึ่ง ศาลพิพากษาปรับ 50 บาท ดังปรากฏในคดีแดงที่ 178/2489 พ้นโทษยังไม่เกิน 5 ปีจำเลยแถลงรับว่าเคยต้องโทษจริงตามฟ้อง แล้วโจทก์ขอเพิ่มเติมฟ้องว่าความผิดฐานไม่ทำบัญชีซึ่งจำเลยเคยต้องโทษนั้นเป็นความผิด ซึ่งไม่ใช่เป็นส่วนลหุโทษ และมิใช่ความผิดที่เกิดขึ้นด้วยประมาท ศาลสอบจำเลย จำเลยไม่คัดค้านศาลอนุญาตและปรากฏว่าในสำนวนเลขแดงที่ 178/2489 ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พระราชบัญญัติภาษีการซื้อน้ำตาล มาตรา 26 ที่บัญญัติให้มีโทษปรับไม่เกิน 2000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน2 ปีหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งมิใช่ความผิดฐานลหุโทษดังนี้แม้ในฟ้องจะมิได้ระบุว่าโทษครั้งก่อนเนื่องจากความผิดต่อ กฎหมาย ใดเลยก็เพิ่มโทษจำเลยฐานไม่เข็ดหลาบตามกฎหมายอาญา มาตรา 72 ตามฟ้องของโจทก์ได้
ถ้าคดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย นั้นศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1201-1203/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฉ้อโกงจากการระดมทุนลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง และการเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบ
จำเลยตั้งสำนักงานขึ้นให้ชื่อว่าบริษัทชัยวัฒนา มีวัตถุประสงค์ทำการค้าและชักชวนให้ประชาชนนำเงินมาฝากเป็นการเข้าหุ้น แต่การเข้าหุ้นนี้จำเลยคิดผลประโยชน์ให้ร้อยละ 50 ต่อเดือนเป็นรายเดือน มีประชาชนหลายจังหวัดนำเงินมามอบให้จำเลยเป็นจำนวนมากมายหลายสิบล้านบาทเพราะหวังประโยชน์ตอบแทนอันสูง ดังนี้เมื่อคำนวณอัตราผลประโยชน์ร้อยละ 50 ต่อเดือนที่จำเลยคิดให้แล้วในต้นเงินเพียง100 บาท ถ้าฝากจำเลยสมทบทั้งต้นและผลประโยชน์ ในปีหนึ่งจำเลยจะต้องจ่ายเป็นเงินหนึ่งหมื่นเศษ ถ้าถึงปีที่ 2 ก็เป็นจำนวนเกินล้านบาท ซึ่งเป็นที่เห็นได้ชัดว่าจำเลยจะไปหาผลกำไรจากที่ไหนมาจ่ายให้ได้ แม้จำเลยเองก็ว่าหุ้นส่วนมีกำไรเท่าใดไม่อาจรู้ได้ แต่กระนั้นจำเลยก็ยังคงจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ฝากไปได้ เหตุที่จำเลยจ่ายเงินปันผลทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ามีกำไรเท่าใดนั้น ย่อมประกอบให้เห็นเจตนาจำเลยในการลวงให้เขาหลงเชื่อโดยแท้การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใช้อุบายเป็นทำนองว่าตนทำการค้าใหญ่โตให้เขานำเงินมาฝากเข้าเป็นหุ้นส่วน โดยสัญญาจะจ่ายเงินปันผลให้ร้อยละ 50 ต่อเดือนทั้งๆ ที่ตนเองก็รู้ดีว่าไม่สามารถจะจ่ายให้เขาได้จึงนับว่าเป็นความเท็จและคนหลงเชื่อนำเงินมาฝากมากมายเช่นนี้ย่อมเข้าเกณฑ์ความผิดฐานฉ้อโกงตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 304 และการกระทำดังกล่าวไม่เป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติธนาคารพานิชย์ เพราะไม่ใช่ทำการเป็นธนาคารพานิชย์ และไม่มีสภาพคล้ายคลึงกับกิจการธนาคารตาม พระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุขแห่งสาธารณะชน พ.ศ.2471 มาตรา 7
โจทก์กล่าวฟ้องว่าก่อนคดีนี้จำเลยที่ 1 เคยต้องโทษฐานไม่ทำบัญชีแสดงรายการรับและจำหน่ายน้ำตาลมาครั้งหนึ่ง ศาลพิพากษาปรับ 50 บาท ดังปรากฏในคดีแดงที่ 178/2489 พ้นโทษยังไม่เกิน 5 ปีจำเลยแถลงรับว่าเคยต้องโทษจริงตามฟ้อง แล้วโจทก์ขอเพิ่มเติมฟ้องว่าความผิดฐานไม่ทำบัญชีซึ่งจำเลยเคยต้องโทษนั้นเป็นความผิด ซึ่งไม่ใช่เป็นส่วนลหุโทษ และมิใช่ความผิดที่เกิดขึ้นด้วยประมาท ศาลสอบจำเลย จำเลยไม่คัดค้านศาลอนุญาตและปรากฏว่าในสำนวนเลขแดงที่ 178/2489 ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พระราชบัญญัติภาษีการซื้อน้ำตาล มาตรา 26 ที่บัญญัติให้มีโทษปรับไม่เกิน 2000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน2 ปีหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งมิใช่ความผิดฐานลหุโทษดังนี้แม้ในฟ้องจะมิได้ระบุว่าโทษครั้งก่อนเนื่องจากความผิดต่อ กฎหมาย ใดเลยก็เพิ่มโทษจำเลยฐานไม่เข็ดหลาบตามกฎหมายอาญา มาตรา 72 ตามฟ้องของโจทก์ได้
ถ้าคดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย นั้นศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1043/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การให้เงินเจ้าพนักงานเพื่อช่วยเหลือทางกฎหมายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ขาดอำนาจฟ้องฐานฉ้อโกง
การที่โจทก์ให้เงินแก่จำเลยผู้เป็นเจ้าพนักงานเพื่อจัดการให้คืนไม้ของกลางซึ่งถูกยึดไปนั้น ย่อมมีวัตถุประสงค์ผิด กฎหมายไม่สุจริต ฉะนั้นจะถือว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายโดยชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหรือร้องทุกข์ในฐานฉ้อโกงนี้ (อ้างฎีกาที่771/2492)
of 18