คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 1381

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 491 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5527/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ต้องแจ้งเปลี่ยนเจตนา หากครอบครองแทนเจ้าของเดิมสิทธิยังไม่เกิด
ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของ ย. ผู้เป็นเจ้าของเท่ากับผู้ร้องถือแทน ย. ตลอดมาเมื่อ ย. ถึงแก่กรรมก็ต้องถือว่าถือแทนผู้คัดค้านซึ่งเป็นทายาทของ ย. เมื่อไม่ได้ความว่าผู้ร้องได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือเป็นการครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1381ก็ต้องถือว่าผู้ร้องยังคงครอบครองที่ดินพิพาทแทน ย.แม้ผู้ร้องจะครอบครองที่ดินพิพาทติดต่อกันมาเกินกว่า10ปีแล้วผู้ร้องก็หาได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5527/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ต้องแจ้งให้เจ้าของทราบ การครอบครองแทนมิอาจเป็นเจ้าของได้แม้เวลาเกิน 10 ปี
ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของ ย. ผู้เป็นเจ้าของเท่ากับผู้ร้องถือแทน ย.ตลอดมาเมื่อย. ถึงแก่กรรมก็ต้องถือว่าถือแทนผู้คัดค้าน ซึ่งเป็นทายาทของ ย. เมื่อไม่ได้ความว่าผู้ร้องได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือเป็นการครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1381 ก็ต้องถือว่า ผู้ร้องยังคงครอบครองที่ดินพิพาทแทน ย.แม้ผู้ร้องจะครอบครองที่ดินพิพาทติดต่อกันมาเกินกว่า 10 ปีแล้วผู้ร้องก็หาได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5527/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ต้องแจ้งให้เจ้าของทราบ การครอบครองแทนไม่ถือเป็นการครอบครองปรปักษ์
ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของ ย. ผู้เป็นเจ้าของเท่ากับผู้ร้องถือแทน ย. ตลอดมาเมื่อ ย. ถึงแก่กรรมก็ต้องถือว่าถือแทนผู้คัดค้านซึ่งเป็นทายาทของ ย. เมื่อไม่ได้ความว่าผู้ร้องได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือเป็นการครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1381ก็ต้องถือว่าผู้ร้องยังคงครอบครองที่ดินพิพาทแทน ย.แม้ผู้ร้องจะครอบครองที่ดินพิพาทติดต่อกันมาเกินกว่า10ปีแล้วผู้ร้องก็หาได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3421/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองหลังสัญญาขายฝากครบกำหนด สิทธิของโจทก์ในการฟ้องขับไล่
จำเลยขายฝากที่ดินและบ้านพิพาทแก่โจทก์ หลังจากครบกำหนดไถ่ถอนแล้วได้ทำสัญญาเช่าบ้านพิพาทกับโจทก์ การที่จำเลยอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทต่อมาหลังจากพ้นกำหนดไถ่ถอนการขายฝาก จึงเป็นการครอบครองแทนโจทก์ หาได้สิทธิครอบครองไม่ แม้จำเลยมีหนังสือขอระงับการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนเกี่ยวกับที่ดินต่อนายอำเภอก็ไม่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนลักษณะการยึดถือตาม ป.พ.พ.มาตรา 1381 เพราะจำเลยมิได้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังโจทก์ผู้ครอบครองว่า ไม่มีเจตนาจะยึดถือกรรมสิทธิ์แทนโจทก์ต่อไป โจทก์ไม่ได้ถูกแย่งการครอบครอง จึงไม่ต้องฟ้องคดีภายใน 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยได้ใช้สิทธิขอไถ่ถอนที่ดินและบ้านพิพาทภายในกำหนดเวลาตามสัญญาขายฝากแก่โจทก์แล้ว โจทก์ขอผัดผ่อนเรื่อยมาจนพ้นกำหนดเวลาตามสัญญา จำเลยไม่ได้ฟ้องแย้งขอใช้สิทธิไถ่คืนที่ดินและบ้านพิพาท แม้จะพิจารณาได้ความจริงตามคำให้การจำเลย กรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทก็ยังเป็นของโจทก์อยู่ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3372/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินช่วงห้ามโอนเป็นโมฆะ การครอบครองเป็นแทนเจ้าของ และการสละเจตนาครอบครอง
ที่ดินพิพาทมีน.ส.3ก.ที่ทางราชการออกให้แก่มารดาโจทก์โดยมีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน5ปีตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ.2511มาตรา12ก่อนพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวมารดาโจทก์ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยและมอบการครอบครองให้แล้วแต่การซื้อขายมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และเป็นที่ดินที่ทางราชการห้ามโอนภายใน5ปีการซื้อขายจึงไม่ถูกต้องตามแบบและเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามชัดแจ้งตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา113เดิม ส่วนการครอบครองที่ดินพิพาทของผู้รับโอนดังกล่าวต้องถือว่าเป็นการครอบครองไว้แทนเจ้าของแม้พ้นกำหนดเวลาห้ามโอนแล้วก็ยังคงถือว่าการครอบครองไว้แทนตลอดมาจนกว่าจะมีการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1381หรือจนกว่าเจ้าของที่ดินพิพาทจะแสดงเจตนาสละการครอบครองให้ตามมาตรา1377,1379 การที่โจทก์รื้อบ้านไปในระยะเวลาห้ามโอนผลก็เท่ากับการสละเจตนาครอบครองเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่ห้ามโอนตกเป็นโมฆะเช่นกัน เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเป็นการครอบครองแทนจึงไม่อยู่ในบังคับต้องฟ้องคดีเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนภายใน1ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1374 ฎีกาของจำเลยที่คัดค้านว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับหนังสือมอบอำนาจให้โอนที่ดินไม่ถูกต้องไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค1ว่าไม่ถูกต้องผิดพลาดอย่างไรเป็นฎีกาไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3372/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินช่วงติดเงื่อนไขห้ามโอน และผลของการครอบครองที่ดินหลังสัญญาเป็นโมฆะ
ที่ดินพิพาทมี น.ส.3 ก.ที่ทางราชการออกให้แก่มารดาโจทก์โดยมีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน 5 ปี ตาม พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 มาตรา 12 ก่อนพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวมารดาโจทก์ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยและมอบการครอบครองให้แล้ว แต่การซื้อขายมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และเป็นที่ดินที่ทางราชการห้ามโอนภายใน 5 ปี การซื้อขายจึงไม่ถูกต้องตามแบบและเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามชัดแจ้งตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ.มาตรา 113 เดิม
ส่วนการครอบครองที่ดินพิพาทของผู้รับโอนดังกล่าวต้องถือว่าเป็นการครอบครองไว้แทนเจ้าของ แม้พ้นกำหนดเวลาห้ามโอนแล้ว ก็ยังคงถือว่าการครอบครองไว้แทนตลอดมาจนกว่าจะมีการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 หรือจนกว่าเจ้าของที่ดินพิพาทจะแสดงเจตนาสละการครอบครองให้ตามมาตรา 1377, 1379
การที่โจทก์รื้อบ้านไปในระยะเวลาห้ามโอน ผลก็เท่ากับการสละเจตนาครอบครองเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่ห้ามโอนตกเป็นโมฆะเช่นกัน
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเป็นการครอบครองแทน จึงไม่อยู่ในบังคับต้องฟ้องคดีเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนภายใน 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1374
ฎีกาของจำเลยที่คัดค้านว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับหนังสือมอบอำนาจให้โอนที่ดินไม่ถูกต้อง ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่าไม่ถูกต้องผิดพลาดอย่างไร เป็นฎีกาไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2749/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินที่เจตนาลวงและผลกระทบต่อบุคคลภายนอกที่ไม่สุจริต รวมถึงอายุความการฟ้องแย่งการครอบครอง
โจทก์มิได้มีเจตนาจะโอนขายที่ดินพิพาทให้ ส.แต่ได้ทำพินัยกรรมขายเพียงเพื่อให้ ส. นำไปเป็นหลักทรัพย์ประกันเงินกู้ของธนาคารเท่านั้น นิติกรรมขายระหว่างโจทก์และ ส.จึงเป็นการแสดงเจตนาลวง จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของส.ทราบถึงการแสดงเจตนาลวงระหว่างโจทก์กับส. การที่จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2ทราบว่าโจทก์ไม่ได้โอนขายที่ดินพิพาทให้ ส. และยอมให้โจทก์ไถ่ถอน จำเลยที่ 2 จึงไม่ใช่บุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตโจทก์อ้างโมฆะกรรมต่อสู้จำเลยที่ 2 ได้ ท. ได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ตลอดมา เพิ่งมาบอกโจทก์ว่าจะไม่ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์โดยครอบครองแทนจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2533 โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 15 กรกฎาคม2534 จึงเป็นการฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่จำเลยที่ 2 แย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2749/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินโดยมีเจตนาลวงและผลกระทบต่อบุคคลภายนอกที่ไม่สุจริต
โจทก์มิได้มีเจตนาจะโอนขายที่ดินพิพาทให้ส.แต่ได้ทำพินัยกรรมขายเพียงเพื่อให้ส. นำไปเป็นหลักทรัพย์ประกันเงินกู้ของธนาคารเท่านั้นนิติกรรมขายระหว่างโจทก์และส.จึงเป็นการแสดงเจตนาลวงจำเลยที่1ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของส. ทราบถึงการแสดงเจตนาลวงระหว่างโจทก์กับส. การที่จำเลยที่2ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่1โดยจำเลยที่2ทราบว่าโจทก์ไม่ได้โอนขายที่ดินพิพาทให้ส. และยอมให้โจทก์ไถ่ถอนจำเลยที่2จึงไม่ใช่บุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตโจทก์อ้างโมฆะกรรมต่อสู้จำเลยที่2ได้ ท. ได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ตลอดมาเพิ่งมาบอกโจทก์ว่าจะไม่ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์โดยครอบครองแทนจำเลยที่2ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1381เมื่อวันที่21กันยายน2533โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่15กรกฎาคม2534จึงเป็นการฟ้องภายใน1ปีนับแต่จำเลยที่2แย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2749/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนขายที่ดินโดยมีเจตนาลวงและผลกระทบต่อบุคคลภายนอกที่สุจริต การฟ้องเพิกถอนภายในอายุความ
โจทก์มิได้มีเจตนาจะโอนขายที่ดินพิพาทให้ส. แต่ได้ทำนิติกรรมขายเพียงเพื่อให้ส. นำไปเป็นหลักทรัพย์ประกันเงินกู้ของธนาคารเท่านั้นนิติกรรมขายระหว่างโจทก์และส. จึงเป็นการแสดงเจตนาลวงจำเลยที่1ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของส. ทราบถึงการแสดงเจตนาลวงระหว่างโจทก์กับส. การที่จำเลยที่2ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่1โดยจำเลยที่2ทราบว่าโจทก์ไม่ได้โอนขายที่ดินพิพาทให้ส. และยอมให้โจทก์ไถ่ถอนจำเลยที่2จึงไม่ใช่บุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตโจทก์อ้างโมฆะกรรมต่อสู้จำเลยที่2ได้ ท. ได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ตลอดมาเพิ่งมาบอกโจทก์ว่าจะไม่ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์โดยครอบครองแทนจำเลยที่2ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1381เมื่อวันที่21กันยายน2533โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่15กรกฎาคม2534จึงเป็นการฟ้องภายใน1ปีนับแต่จำเลยที่2แย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2432/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท: การฟ้องคืนสิทธิระหว่างราษฎร แม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
จำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยเช่าจากโจทก์ จึงเป็นการครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิครอบครอง
โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่พ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่จำเลยเปลี่ยนเจตนาในการครอบครองที่ดินพิพาทมาเป็นของจำเลย โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกคืนที่ดินพิพาทจากจำเลย
พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 บัญญัติห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือครอบครองหรืออาศัยอยู่ในที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ และมาตรา 12 บัญญัติให้บุคคลผู้อ้างว่ามีสิทธิหรือได้ทำประโยชน์ในป่าสงวนแห่งชาติอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงกำหนดป่าสงวนแห่งชาตินั้นใช้บังคับ ยื่นคำร้องภายในกำหนด90 วัน มิฉะนั้นถือว่าสละสิทธิหรือประโยชน์นั้น เป็นเพียงบทบัญญัติที่ใช้บังคับระหว่างรัฐกับราษฎร ซึ่งเป็นผลให้ราษฎรไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ยันต่อรัฐได้ แต่ระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นราษฎรด้วยกัน เมื่อจำเลยรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ แม้อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยได้
of 50