พบผลลัพธ์ทั้งหมด 491 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3830/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่และการคำนวณทุนทรัพย์คดี: การพิจารณาแยกส่วนการครอบครองที่ดินของจำเลยแต่ละคน
ตามฟ้องและแผนที่พิพาทไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งแปดร่วมกันละเมิดในที่ดินของโจทก์ ปรากฏแต่เพียงว่าจำเลยทั้งแปดเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของโจทก์คนละส่วนต่างหากจากกัน ซึ่งโจทก์ย่อมฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคนละคดีได้ แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยทั้งแปดเข้ามาเป็นคดีเดียวกันก็ตาม แต่การพิจารณาว่าคดีมีทุนทรัพย์เท่าใดนั้นย่อมจะต้องถือตามราคาที่ดินที่จำเลยแต่ละคนต่างเข้าไปยึดถือครอบครอง มิใช่นับรวมกัน เมื่อที่ดินที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลยที่ 5ถึงที่ 8 ยึดถือครอบครองปรากฎว่ามีเนื้อที่ไม่ถึงคนละ 50 ไร่ คำนวณเป็นราคาไม่เกินคนละสองแสนบาท คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลยที่ 5ถึงที่ 8 แต่ละคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินคนละสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา 248 วรรคแรก แห่ง ป.วิ.พ.
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และ ม. โดยโจทก์ที่ 3 ผู้จัดการมรดกของ ม. เป็นผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาท แต่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลยที่ 5 ถึงที่ 8 ได้ครอบครองและแสดงเจตนาครอบครองที่พิพาทเป็นของตนเองมาเกินกว่า 1 ปีแล้ว จำเลยทั้งเจ็ดจึงได้สิทธิครอบครอง โจทก์ทั้งสามไม่มีอำนาจฟ้อง ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาท จำเลยทั้งเจ็ดเพิ่งแสดงเจตนายึดถือที่พิพาทเพื่อตนมาจนถึงวันฟ้องไม่เกิน1 ปี โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง
ฎีกาโจทก์ที่ว่า การที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์ที่ 1 และสามีเคยขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทเป็นการไม่ชอบ เพราะจำเลยมิได้ถามค้านพยานโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อนนั้น แม้จะเป็นข้อกฎหมายแต่โจทก์มิได้ยกเป็นประเด็นให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และ ม. โดยโจทก์ที่ 3 ผู้จัดการมรดกของ ม. เป็นผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาท แต่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และจำเลยที่ 5 ถึงที่ 8 ได้ครอบครองและแสดงเจตนาครอบครองที่พิพาทเป็นของตนเองมาเกินกว่า 1 ปีแล้ว จำเลยทั้งเจ็ดจึงได้สิทธิครอบครอง โจทก์ทั้งสามไม่มีอำนาจฟ้อง ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาท จำเลยทั้งเจ็ดเพิ่งแสดงเจตนายึดถือที่พิพาทเพื่อตนมาจนถึงวันฟ้องไม่เกิน1 ปี โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง
ฎีกาโจทก์ที่ว่า การที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์ที่ 1 และสามีเคยขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทเป็นการไม่ชอบ เพราะจำเลยมิได้ถามค้านพยานโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อนนั้น แม้จะเป็นข้อกฎหมายแต่โจทก์มิได้ยกเป็นประเด็นให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3455/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองมรดก การขายทรัพย์ส่วนหนึ่ง และสิทธิในการแบ่งทรัพย์ของทายาทที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
การที่เจ้ามรดกทำพินัยกรรมยกที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตร กับจำเลยที่ 2 และโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นหลาน โดยโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 2 ยังไม่บรรลุนิติภาวะนั้น เมื่อเจ้ามรดกตายที่พิพาทจึงตกได้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1745 เมื่อจำเลยที่ 1 ได้ขอออก น.ส.3 ก. สำหรับที่พิพาท โดยใส่ชื่อจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเป็นผู้รับมรดกคนหนึ่งและเป็นพี่ของโจทก์ทั้งสองร่วมด้วย อันเป็นการเข้ารับมรดกแสดงว่าจำเลยที่ 1 เข้าครอบครองที่พิพาทในฐานะทายาทตามพินัยกรรมและเป็นการเข้าครอบครองแทนโจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหลานที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยเมื่อจำเลยที่ 1 มิได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือจึงยังคงเป็นการครอบครองทรัพย์มรดกร่วมกัน การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2ขายที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 จึงเป็นการขายเฉพาะในส่วนของจำเลยที่ 1และที่ 2 เท่านั้นจำเลยที่ 3 ได้สิทธิไปเท่าที่จำเลยที่ 1 และที่ 2มีอยู่การครอบครองที่พิพาทในส่วนของโจทก์ทั้งสองจะถือว่าเป็นการแย่งการครอบครองไม่ได้ โจทก์ทั้งสองย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้แบ่งทรัพย์นั้นได้และจะนำอายุความตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754มาใช้บังคับแก่โจทก์ทั้งสองไม่ได้ คดีของโจทก์ทั้งสองจึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2445/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดิน: การครอบครองแทน การบอกเลิกสัญญาเช่า และการได้มาซึ่งสิทธิครอบครอง
เดิมจำเลยทำสัญญาเช่าที่พิพาทมี ส.ค.1 จาก ล. ผู้มีสิทธิครอบครองครั้นสัญญาสิ้นสุด จำเลยได้ทำสัญญาเช่ากับส. ซึ่งเป็นบุตรของ ล. จำเลยจึงอยู่ในฐานะครอบครองแทนล. ต่อมา ล. บอกเลิกการเช่ากับจำเลยอ้างว่า ส. ให้เช่าโดยไม่ได้รับความยินยอม และจำเลยก็มิได้บอกกล่าว ล. ว่าไม่เจตนายึดถือที่พิพาทแทน ล. ต่อไป ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริตอาศัยอำนาจใหม่จากบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 การครอบครอง ของจำเลยจึงหาได้เป็นการแย่งการครอบครองไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 945/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินร่วม เจ้าของรวมต้องไม่เปลี่ยนลักษณะการยึดถือโดยไม่บอกกล่าวเจ้าของรวมคนอื่น
ตราบใดที่ยังไม่มีการแบ่งแยกที่ดินกันเป็นส่วนสัด การที่ผู้ถือกรรมสิทธิ์คนหนึ่งคนใดเข้าครอบครองส่วนหนึ่งส่วนใดของที่ดินก็ต้องถือว่าครอบครองที่ดินส่วนนั้น ๆ ในฐานะเจ้าของรวมคนหนึ่งเท่านั้น หาก่อให้เกิดสิทธิที่จะอ้างว่าตนครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเสียแต่คนเดียวไม่ เว้นเสียแต่จะได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังเจ้าของรวมคนอื่น ๆ ว่าไม่มีเจตนาจะยึดถือทรัพย์แทนเจ้าของรวมคนอื่นอีกต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 96/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ แม้การซื้อขายไม่สมบูรณ์ แต่เจตนาสละการครอบครองทำให้เกิดกรรมสิทธิ์ได้
ม. และ ส.ซึ่งมีชื่อในโฉนดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับผู้ร้อง ได้ขายที่ดินส่วนของตนและส่งมอบการครอบครองที่ดินให้ผู้ร้อง แม้การซื้อขายมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตกเป็นโมฆะก็ตาม แต่การครอบครองของ ม. และ ส.ก็สิ้นสุดลงโดยถือว่าบุคคลทั้งสองได้แสดงเจตนาสละการครอบครองให้แก่ผู้ร้องผู้ร้องครอบครองโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อมาเกินกว่าสิบปีแล้ว ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนของ ม.และ ส. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 96/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ แม้การซื้อขายไม่สมบูรณ์
ม.และ ส.ซึ่งมีชื่อในโฉนดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับผู้ร้อง ได้ขายที่ดินส่วนของตนและส่งมอบการครอบครองที่ดินให้ผู้ร้อง แม้การซื้อขายมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตกเป็นโมฆะก็ตาม แต่การครอบครองของ ม.และ ส.ก็สิ้นสุดลงโดยถือว่าบุคคลทั้งสองได้แสดงเจตนาสละการครอบครองให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องครอบครองโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อมาเกินกว่าสิบปีแล้ว ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนของ ม.และ ส. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 42/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินหลังทำสัญญาประนีประนอมยอมความ การครอบครองแทนโจทก์ การได้มาซึ่งสิทธิครอบครอง
คดีก่อนจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความรับว่า บางส่วนของที่ดินพิพาทในคดีนี้เป็นของโจทก์ทั้งสี่ การครอบครองที่ดินพิพาทบางส่วนตั้งแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงเป็นการครอบครองแทนโจทก์ทั้งสี่ เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้บอกกล่าวไปยังโจทก์ทั้งสี่ว่าไม่เจตนายึดถือทรัพย์สินแทนโจทก์ต่อไป หรือตนเองเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381การครอบครองของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการครอบครองแทนโจทก์ตลอดมา จำเลยที่ 1 นำที่พิพาทไปออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และได้แบ่งแยกให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ทางราชการได้ประกาศให้บุคคลภายนอกทั่วไปทราบ โจทก์ทั้งสี่ไม่ไปคัดค้าน เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นเจ้าของที่พิพาทรู้เห็นการกระทำดังกล่าวจึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะการครอบครองต่อโจทก์ทั้งสี่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5586/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินของทายาทและอายุความฟ้องเรียกคืน
พ. เจ้ามรดกมิได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ พ. จึงอยู่ในฐานะเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์ทั้งสี่และว.พี่สาวของโจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทของเจ้ามรดก แม้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกตายหรือนับแต่โจทก์ทั้งสี่ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก คดีโจทก์ทั้งสี่ก็ไม่ขาดอายุความ
เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่พิพาทไปยังโจทก์ทั้งสี่และ ว.พี่สาวโจทก์ทั้งสี่ผู้เป็นทายาทของเจ้ามรดกว่าไม่มีเจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนอีกต่อไป จำเลยจะอ้างว่าโจทก์ทั้งสี่ไม่ได้ฟ้องเรียกที่พิพาทคืนภายใน 1 ปี นับแต่จำเลยแย่งการครอบครอง จึงขาดสิทธิฟ้องเรียกคืนหาได้ไม่
เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่พิพาทไปยังโจทก์ทั้งสี่และ ว.พี่สาวโจทก์ทั้งสี่ผู้เป็นทายาทของเจ้ามรดกว่าไม่มีเจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนอีกต่อไป จำเลยจะอ้างว่าโจทก์ทั้งสี่ไม่ได้ฟ้องเรียกที่พิพาทคืนภายใน 1 ปี นับแต่จำเลยแย่งการครอบครอง จึงขาดสิทธิฟ้องเรียกคืนหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5586/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิทายาทและการครอบครองมรดก: อายุความฟ้องเรียกคืน และการเปลี่ยนแปลงลักษณะการครอบครอง
พ. เจ้ามรดกมิได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ พ. จึงอยู่ในฐานะเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์ทั้งสี่และว. พี่สาวของโจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทของเจ้ามรดก แม้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกตายหรือนับแต่โจทก์ทั้งสี่ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายเจ้าของมรดกคดีโจทก์ทั้งสี่ก็ ไม่ขาดอายุความ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้บอกกล่าวเปลี่ยนเป็นลักษณะแห่งการยึดถือที่พิพาทไปยังโจทก์ทั้งสี่และว.พี่สาวโจทก์ทั้ง สี่ผู้เป็นทายาทของเจ้ามรดกว่าไม่มีเจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนอีกต่อไป จำเลยจะอ้างว่าโจทก์ทั้งสี่ไม่ได้ฟ้องเรียกที่พิพาทคืนภายใน 1 ปี นับแต่จำเลยแย่งการครอบครอง จึงขาดสิทธิฟ้องเรียกคืนหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4762/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินจากการทำเหมืองแร่: การครอบครองไม่สมบูรณ์แม้ทำประโยชน์ต่อเนื่อง
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า เดิมเป็นที่ดินของ ข.และ บ. เป็นผู้ได้ประทานบัตรทำเหมืองแร่ในที่ดินพิพาท โจทก์เป็นผู้ซื้อประทานบัตรเหมืองแร่จาก บ. แม้โจทก์จะเป็นผู้ทำเหมืองแร่และครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา แต่ตามสัญญาซื้อขายประทานบัตรก็ระบุให้โจทก์ได้สิทธิผิวดินตามประทานบัตรเหมืองแร่ คือสิทธิที่จะทำเหมืองแร่ในที่ดินพิพาทเท่านั้น บ. ไม่ได้โอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แต่ประการใด ดังนั้นสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทยังคงเป็นของ บ. เจ้าของเดิมหรือทายาทผู้สืบสิทธิทางมรดกสืบต่อกันมา ส่วนการที่จำเลยไปสอบเขตที่ดินพิพาท และโจทก์ยื่นคำคัดค้านว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของตลอดมาก็ตาม แต่คัดค้านของโจทก์ก็อ้างสิทธิที่โจทก์พึงมีอยู่ตามประทานบัตรเหมืองแร่เท่านั้น โจทก์มิได้กล่าวอ้างสิทธิอื่นใดนอกเหนือไปจากสิทธิตามประทานบัตรเหมืองแร่ดังนั้น จะถือว่าคำคัดค้านของโจทก์เป็นการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือโดยแจ้งไปยัง บ. หรือทายาทผู้ครอบครองว่าไม่เจตนายึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1381 หาได้ไม่