คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 1381

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 491 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 609/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อที่ดินจากผู้ไม่มีสิทธิ การครอบครองปรปักษ์ และผลของการโอนที่ดินนอกระบบทะเบียน
ถึงจำเลยจะซื้อที่พิพาทซึ่งเป็นที่มือเปล่ามาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนจาก ว. ผู้อาศัยโจทก์ จำเลยก็ไม่ได้สิทธิเพราะ ว.ไม่มีอำนาจเอาที่ดินของโจทก์ไปขายให้จำเลยกรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ซึ่งเป็นเรื่องการโอนทางทะเบียนและผู้โอนมีชื่ออยู่ในทะเบียนเช่นโฉนดตราจอง
การที่จำเลยครอบครองที่พิพาท 28-29 ปี โดยไม่ได้ขออาศัยจากโจทก์ก็ไม่ทำให้จำเลยมีกรรมสิทธิ์ครอบครอง เพราะ ว. อยู่ในที่พิพาทฐานะผู้อาศัยจึงเป็นผู้ครอบครองแทนโจทก์ เมื่อ ว. ขายให้จำเลย จำเลยย่อมได้สิทธิไปเพียงเท่าที่ ว.มีอยู่ คือเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทแทนเจ้าของเท่านั้น เว้นแต่จำเลยจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381
การแจ้งการครอบครองของจำเลยไม่ก่อให้เกิดสิทธิขึ้นใหม่ตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 5

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 609/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อที่ดินจากผู้ไม่มีสิทธิ การครอบครองโดยไม่สุจริต และผลของการแจ้งการครอบครอง
ถึงจำเลยจะซื้อที่พิพาทซึ่งเป็นที่มือเปล่ามาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนจาก ว. ผู้อาศัยโจทก์ จำเลยก็ไม่ได้สิทธิเพราะ ว. ไม่มีอำนาจเอาที่ดินของโจทก์ไปขายให้จำเลยกรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 ซึ่งเป็นเรื่องการโอนทางทะเบียนและผู้โอนมีชื่ออยู่ในทะเบียนเช่นโฉนดตราจอง
การที่จำเลยครอบครองที่พิพาทมา 28-29 ปี โดยไม่ได้ขออาศัยจากโจทก์ก็ไม่ทำให้จำเลยมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง เพราะ ว. อยู่ในที่พิพาทฐานะผู้อาศัยจึงเป็นผู้ครอบครองแทนโจทก์เมื่อ ว. ขายให้จำเลย จำเลยย่อมได้สิทธิไปเพียงเท่าที่ ว. มีอยู่คือเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทแทนเจ้าของเท่านั้น เว้นแต่จำเลยจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381
การแจ้งการครอบครองของจำเลยไม่ก่อให้เกิดสิทธิขึ้นใหม่ตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 5

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1854/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องแย่งการครอบครอง: เริ่มนับเมื่อมีการโต้แย้งสิทธิชัดเจน ไม่ใช่วันจดทะเบียนซื้อขาย
จำเลยยื่นเรื่องราวต่อทางอำเภอขอขายที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์ร้องคัดค้านว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ครึ่งหนึ่ง ให้จำเลยครอบครองไว้แทน อำเภอจึงทำการเปรียบเทียบ จำเลยว่าที่พิพาทเป็นของตนทั้งแปลง ได้รับมรดกและได้ครอบครองทำประโยชน์ติดต่อกันประมาณ 45 ปีแล้ว โจทก์ไม่เคยเกี่ยวข้อง อำเภอจึงสั่งให้โจทก์นำคดีไปฟ้องต่อศาลภายใน 40 วัน แต่โจทก์ไม่ฟ้องภายในกำหนดดังกล่าว อำเภอจึงจดทะเบียนซื้อขายให้ ดังนี้ ถือว่าจำเลยได้โต้แย้งสิทธิโจทก์นับตั้งแต่วันที่จำเลยได้อ้างในการเปรียบเทียบของอำเภอ โดยแสดงออกต่อโจทก์แล้วว่าจะเอาที่พิพาทเป็นของตน มิได้ยึดถือแทนโจทก์ต่อไป อันเป็นการแย่งการครอบคอรง หาใช่นับตั้งแต่วันที่อำเภอได้ทำการจดทะเบียนขายที่พิพาทไม่ เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องเกินกว่าหนึ่งปีนับแต่วันถูกแย่งการครอบครองโจกท์จึงขาดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครอง โจทก์จึงขาดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 วรรค 2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1054/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินหลังสัญญาเช่าสิ้นสุด การแจ้งการครอบครองและการยื่นคำขอทำประโยชน์ ไม่ถือเป็นการบอกกล่าวเจตนาที่จะยึดถือแทนเจ้าของ
จำเลยทั้งสองทำสัญญาเช่าที่พิพาทบางส่วนของโจทก์ได้ 1 เดือน 4 วัน แล้วจำเลยที่ 1 ไปแจ้งการครอบครองว่าที่พิพาทเป็นของตน ต่อมาอีก 1 เดือน 8 วัน จำเลยที่ 1 ยื่นคำของรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาท การยื่นคำขอต่อนายอำเภอเพียงเท่านี้แม้โจทก์ทราบและคัดค้าน ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้บอกกล่าวไปยังโจทก์แล้วว่าจำเลยที่ 1 ไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนโจทก์ในฐานะผู้เช่าต่อไป จำเลยหาได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือเพื่อตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 ไม่
เมื่อโจทก์คัดค้านว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้งคำคัดค้านของโจทก์หรือได้กระทำอย่างใดในทางที่เป็นปรปักษ์ต่อโจทก์ แม้จำเลยทั้งสองจะยังคงครอบครองที่พิพาทเรื่อยมาก็ถือว่า จำเลยได้ครอบครองแทนโจทก์ตามสัญญาเช่า ซึ่งยังไม่สิ้นอายุการเช่านั้นเอง ไม่ถือว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองอันจะต้องฟ้องเพื่อเอาคืนภายใน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 675/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งมรดก, สิทธิในทรัพย์สินก่อนสมรส, การเพิกถอนการโอน, และการพิพากษาตามประมวลกฎหมายแพ่ง
โจทก์ยื่นคำร้องซึ่งเป็นเพียงแสดงให้ปรากฏต่อศาลชั้นต้นว่าหากศาลเห็นเป็นการสมควรหรือจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมก็ขอให้เรียกจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 เข้ามาเป็นจำเลย ศาลชั้นต้นจึงใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) ข เรียกเข้ามา กรณีดังนี้ไม่อยู่ในบังคับว่าคำร้องดังกล่าวจะต้องยื่นพร้อมกับคำฟ้องเพื่อหมายเรียกตามมาตรา 57(3)
ผัวเมียที่แต่งงานกันก่อนวันใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 ทรัพย์สินซึ่งแม้จะเป็นเครื่องประดับใช้สำหรับแต่งตัวที่ผัวหรือเมียมีอยู่ก่อนแต่งงานที่มีราคาย่อมนำไปใช้เป็นทุนสำหรับประกอบการทำมาหาเลี้ยงชีพเกิดผลประโยชน์ได้ จึงเป็นสินเดิมของฝ่ายนั้น จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 มาใช้บังคับไม่ได้จึงอ้างว่าเป็นของใช้ประจำตัวพอเหมาะสมกับฐานะของผัวหรือเมียผู้มีทรัพย์สินนั้นและถือว่าเป็นสินส่วนตัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1464(2) หาได้ไม่ ต้องถือว่ามีสินเดิม
บิดาครอบครองมรดกของมารดาแทนบุตรผู้เยาว์ แล้วบิดาแบ่งขายที่ดินมรดกไปบางส่วน ดังนี้ไม่เป็นพฤติการณ์ที่ถือว่าบิดาได้บอกกล่าวเปลี่ยนเจตนาแห่งการยึดถือทรัพย์ว่าจะไม่ยึดถือทรัพย์แทนบุตรต่อไปอันจะทำให้คดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754
ทรัพย์มรดกย่อมตกทอดแก่ทายาททันทีเมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตายจำเลยที่ 1 เอามรดกของ ย. ภริยาเดิมส่วนที่ตกได้แก่บุตรซึ่งเป็นทายาทของ ย. ไปจดทะเบียนยกให้จำเลยที่ 2,3,4 บุตรซึ่งเกิดจากภรรยาคนใหม่โดยไม่มีสิทธิหรืออำนาจที่จะทำได้ตามกฎหมายพนักงานอัยการเพื่อประโยชน์แก่บุตรของ ย. ฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนเสียได้ กรณีไม่ใช่เรื่องจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเสียเปรียบแก่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน
ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 แบ่งที่ดินพร้อมด้วยส่วนควบให้ทายาทของ ย. คนละ 1 ใน 30 ส่วน หากแบ่งไม่ได้ให้ประมูลระหว่างกันเองถ้าไม่ตกลงกันให้เอาออกขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันตามส่วนโดยไม่กำหนดจำนวนเงินขึ้นสูงที่โจทก์ตีราคามาในฟ้อง ดังนี้เป็นการพิพากษาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 ซึ่งการที่ศาลไม่กำหนดจำนวนเงินตามที่ระบุในคำขอท้ายฟ้องก็เพราะราคาที่กล่าวในฟ้องเป็นเพียงการกำหนดราคาเพื่อคิดค่าธรรมเนียมศาล หาใช่ราคาที่ดินที่ขายทอดตลาดได้ไม่จึงไม่เป็นการพิพากษานอกคำขอหรือไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 524/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการครอบครองที่ดินหลังคำพิพากษาถึงที่สุด การโอนสิทธิ และการฟ้องขับไล่
คดีก่อนจำเลยฟ้องมารดาโจทก์ว่า บิดาจำเลยกู้เงินมารดาโจทก์ แล้วมอบที่นาพิพาทให้มารดาโจทก์ยึดถือทำกินต่างดอกเบี้ย บิดาจำเลยตายแล้ว จำเลยเป็นผู้รับมรดก จึงขอให้มารดาโจทก์คืนที่นาพิพาทแก่จำเลย ศาลพิพากษาถึงที่สุดฟังตามที่มารดาโจทก์ต่อสู้คดีว่า บิดาจำเลยขายที่นาพิพาทให้มารดาโจทก์ จำเลยครอบครองที่พิพาทอยู่โดยอาศัยสิทธิมารดาโจทก์ พิพากษายกฟ้อง ปรากฏว่าระหว่างพิจารณาคดีก่อน มารดาโจทก์ยกที่นาพิพาทให้โจทก์ และเมื่อคดีก่อนถึงที่สุดแล้วโจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีนี้ อ้างว่าจำเลยอาศัย จำเลยต่อสู้ว่า การที่จำเลยฟ้องมารดาโจทก์ในคดีก่อนเป็นการแสดงเจตนาแย่งการครอบครอง โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อเกิน 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครอง ไม่มีอำนาจฟ้อง ดังนี้เมื่อคำพิพากษาคดีก่อนซึ่งถึงที่สุดแล้วฟังว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทอยู่โดยอาศัยสิทธิมารดาโจทก์ จำเลยจะโต้เถียงฝ่าฝืนคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วว่าจำเลยได้แสดงเจตนาแย่งการครอบครองที่พิพาทอีกไม่ได้ โจทก์ได้รับโอนที่นาพิพาทมา ถือได้ว่าได้รับโอนมาทั้งสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับที่พิพาทด้วย การที่จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อมาต้องถือว่าจำเลยอยู่โดยอาศัยสิทธิของโจทก์ แม้นานเท่าใดก็หาเป็นการแย่งการครอบครองไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2128/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์: ผู้แทนต้องบอกกล่าวทายาทก่อนอ้างกรรมสิทธิ์
ผู้ร้องซื้อที่ดินมีโฉนดใส่ชื่อ ส.ซึ่งเป็นบุตรเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ แล้วส่ง ส.ไปเล่าเรียน ณ ต่างประเทศตั้งแต่ พ.ศ. 2491 และผู้ร้องครอบครองที่ดินนี้แทน ส. ต่อมาประมาณ พ.ศ. 2495 ผู้ร้องเข้าใจว่า ส.ถึงแก่กรรม ดังนี้ แม้ได้ความว่า ส.ถึงแก่กรรมจริง ที่ดินนี้ย่อมเป็นมรดกตกทอดไปยังทายาทของ ส. ซึ่งผู้ร้องยังมีหน้าที่ต้องครอบครองในฐานะเป็นผู้แทนของทายาท ส. ต่อไป ถ้าหากผู้ร้องประสงค์จะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือมาเป็นการครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ ก็ต้องบอกกล่าวไปยังทายาทของ ส.เสียก่อน เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงในคำร้องและในการนำสืบว่า ส.ถึงแก่กรรมไปโดยไม่มีทายาท แม้ผู้ร้องจะครอบครองที่ดินนี้มาด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตั้งแต่ พ.ศ. 2495 จนบัดนี้เกินกว่า 10 ปีแล้ว ผู้ร้องก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1263/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินมรดกของภริยาที่ไม่จดทะเบียน และการครอบครองปรปักษ์
สามีภริยาไม่จดทะเบียน สามีรับมรดกที่ดิน ภริยาไม่มีสิทธิร่วมด้วย และถือว่าอาศัยสิทธิของสามีอยู่ในที่ดินจนสามีตาย ต่อมาภริยารื้อเรือนเดิมปลูกขึ้นใหม่ในรั้วเดียวกันโดยไม่ขออนุญาตทายาทอื่น แต่มิได้โต้แย้งสิทธิกับทายาทหรือครอบครองมีเขตเป็นส่วนสัด ทายาทอื่นเสียภาษีบำรุงท้องที่แต่ผู้เดียว ไม่เป็นการที่ภริยาครอบครองปรปักษ์ เจ้าหนี้ของภริยายึดที่พิพาทบังคับคดีไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 596-597/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองทรัพย์มรดก การแบ่งมรดก และสิทธิในการโอนทรัพย์มรดกของทายาท
เจ้ามรดกมีทายาท 9 คนรวมทั้งโจทก์และ พ. กับ น.จำเลยในคดีนี้ด้วย ทายาทอื่น 3 คน เคยฟ้องโจทก์ขอแบ่งที่พิพาทอันเป็นที่ดินมรดกซึ่งโจทก์มีชื่อใน น.ส.3 แทน ทายาทจำเลยให้การสู้คดีโดยอ้างว่าได้ครอบครองเพื่อตนคดีนั้นศาลพิพากษาถึงที่สุดให้แบ่งที่พิพาทเป็น 9 ส่วน ให้ทายาทที่ฟ้องคนละ 1 ส่วน การที่โจทก์ถูกฟ้องและให้การต่อสู้คดีโดยอ้างว่าได้ครอบครองเพื่อตนนั้นหาใช่เป็นการบอกกล่าวไปยังทายาทอื่นที่ไม่ได้ฟ้องด้วยว่าโจทก์จะไม่เจตนายึดถือที่พิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกไว้แทนต่อไปไม่ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้บอกกล่าวไปยังทายาทอื่นว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนต่อไป ก็ต้องถือว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทแทนทายาทอื่นด้วยดังเดิม พ. และ น. จำเลยคดีนี้ยังคงเป็นเจ้าของรวมในที่พิพาทในส่วนที่ยังมิได้โต้แย้งกัน ทั้งการฟ้องคดีขอแบ่งที่พิพาทอันเป็นมรดกนั้น ทายาทอื่นซึ่งมีส่วนอยู่ด้วยไม่จำต้องฟ้องคดีหมดทุกคนก็ย่อมได้สิทธิตามส่วนที่จะรับมรดกตามคำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงส่วนของทายาทนั้นๆ โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทแทนทายาทอื่นจะอ้างเอาการต่อสู้คดีดังกล่าวว่าเป็นการเข้าแย่งการครอบครองเองหาได้ไม่ และไม่อยู่ในบังคับของเวลาสำหรับเรียกร้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง เมื่อคดีก่อนนั้นศาลวินิจฉัยว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทไว้แทนทายาทอื่นซึ่งรวมถึง พ. และ น. จำเลยคดีนี้ด้วย พ. และน. ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่ออำเภอขอให้ใส่ชื่อของตนใน น.ส.3 ตามสิทธิของตนได้เมื่อใส่แล้วก็มีความชอบธรรมที่จะโอนขายส่วนของตนให้ผู้อื่นไปโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์
จำเลยลงลายพิมพ์นิ้วมือตั้ง พ. เป็นทนายความแม้จะมีพยานลงชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือเพียงคนเดียว แต่ พ. ก็ได้ว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาในฐานะทนายของจำเลยมาตั้งแต่ศาลชั้นต้นจนถึงชั้นอุทธรณ์ โดยจำเลยยอมรับเอาผลของการดำเนินกระบวนพิจารณานั้นตลอดมา และโจทก์ก็มิได้คัดค้านประการใดมาแต่ต้นดังนี้ พ. จึงมีอำนาจที่จะฎีกาในฐานะทนายของจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 596-597/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาท การโอนสิทธิ และการเรียกร้องสิทธิในที่ดินมรดก
เจ้ามรดกมีทายาท 9 คนรวมทั้งโจทก์และ พ.กับ น.จำเลยในคดีนี้ด้วย ทายาทอื่น 3 คนเคยฟ้องโจทก์ขอแบ่งที่พิพาทอันเป็นที่ดินมรดกซึ่งโจทก์มีชื่อใน น.ส.3 แทนทายาท จำเลยให้การสู้คดีโดยอ้างว่าได้ครอบครองเพื่อตน คดีนั้นศาลพิพากษาถึงที่สุดให้แบ่งที่พิพาทเป็น 9 ส่วน ให้ทายาทที่ฟ้องคนละ 1 ส่วน การที่โจทก์ถูกฟ้องและให้การต่อสู้คดีโดยอ้างว่าได้ครอบครองเพื่อตนนั้น หาใช่เป็นการบอกกล่าวไปยังทายาทอื่นที่ไม่ได้ฟ้องด้วยว่าโจทก์จะไม่เจตนายึดถือที่พิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกไว้แทนต่อไปไม่ ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้บอกกล่าวไปยังบทายาทอื่นว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนต่อไป ก็ต้องถือว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทแทนทายาทอื่นด้วยดังเดิม พ.และ น.จำเลยคดีนี้ยังคงเป็นเจ้าของรวมในที่พิพาทในส่วนที่ยังมิได้โต้แย้งกัน ทั้งการฟ้องคดีขอแบ่งที่พิพาทอันเป็นมรดกนั้นทายาทอื่นซึ่งมีส่วนอยู่ด้วยไม่จำต้องฟ้องคดีหมดทุกคนก็ย่อมได้สิทธิ ตามส่วนที่จะรับมรดกตามคำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงส่วนของทายาทนั้น ๆ โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทแทนทายาทอื่นจะอ้างเอาการต่อสู้คดีดังกล่าวว่าเป็นการเข้าแย่งการครอบครองเองหาได้ไม่ และไม่อยู่ในบังคับของเวลาสำหรับเรียกร้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง เมื่อคดีก่อนนั้นศาลวินิจฉัยว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทไว้แทนทายาทอื่นซึ่งรวมถึง พ. และ น.จำเลยคดีนี้ด้วย พ. และ น. ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องต่ออำเภอขอให้ใส่ชื่อของตนใน น.ส.3 ตามสิทธิของตนได้ เมื่อใส่แล้วก็มีความชอบธรรมที่จะโอนขายส่วนของตนให้ผู้อื่นไปโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์
จำเลยลงลายพิมพ์นิ้วมือตั้ง พ.เป็นทนายความ แม้จะมีพยานลงชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือเพียงคนเดียว แต่ พ.ก็ได้ว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาในฐานะทนายของจำเลยมาตั้งแต่ศาลชั้นต้นจนถึงชั้นอุทธรณ์ โดยจำเลยยอมรับเอาผลของการดำเนินกระบวนพิจารณานั้นตลอดมาและโจทก์ก็มิได้คัดค้านประการใดมาแต่ต้น ดังนี้ พ.จึงมีอำนาจที่จะฎีกาในฐานะทนายของจำเลยได้
of 50