พบผลลัพธ์ทั้งหมด 491 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1651-1652/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดิน: การครอบครองเพื่อรักษาไว้เป็นของกลาง ไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ
โจทก์จำเลยพิพาทเป็นคดีสองเรื่อง ๆ หนึ่งเป็นคดีมีทุนทรัพย์เกิน 2,000 บาท อีกคดีหนึ่งเป็นคดีพิพาทกันโดยไม่มีทุนทรัพย์ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน ศาลอุทธรณ์คงพิพากษาแก้เฉพาะสำนวนมีทุนทรัพย์ให้แบ่งทรัพย์ที่ฟ้องคนละครึ่ง จำเลยเป็นฝ่ายฎีกาขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้โต้เถียงอะไร ในคดีพิพาทไม่มีทุนทรัพย์ทั้งไม่มีเหตุสำหรับฎีกา ประกอบทั้งคดีที่พิพาทกันโดยไม่มีทุนทรัพย์ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามวิ.แพ่ง ม. 248 และถือว่าจำเลยฎีกาขึ้นมาเพียงคดีมีทุนทรัพย์เกิน 2,000 บาทคดีเดียว
ฟ้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยผู้มีชื่อยกให้โจทก์เข้าปกครองมา 25 ปีแล้ว เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าผู้มีชื่อหาได้ยกที่ให้โจทก์ไม่ เป็นแต่มมอบให้โจทก์และผู้อื่นปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้นโจทก์จึงไม่มีกรรมสิทธิในที่ และจะขอศาลสั่งว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ไม่ได้
การปกครองรักษาที่พิพาทไว้ในฐานะของกลางตามคำสั่งของผู้ตายโดยไม่ปรากฎว่าผู้ครอบครองจะไม่ปกครองที่พิพาทไว้ตามคำสั่งของผู้ตาย ภายหลังจากผู้ตายได้ตายแล้ว กับทั้งผู้ครอบครองไม่เคยแสดงตัวก่อนเจ้าหน้าที่ว่าตนเป็นเจ้าของที่พิพาทรายนี้ การเสียภาษีบำรุงท้องที่ผู้อื่นก็เป็นผู้เสีย ดังนี้ ถือว่าเป็นการปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้น มิใช่เป็นการปกครองเพื่อเอากรรมสิทธิ์
ฟ้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยผู้มีชื่อยกให้โจทก์เข้าปกครองมา 25 ปีแล้ว เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าผู้มีชื่อหาได้ยกที่ให้โจทก์ไม่ เป็นแต่มมอบให้โจทก์และผู้อื่นปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้นโจทก์จึงไม่มีกรรมสิทธิในที่ และจะขอศาลสั่งว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ไม่ได้
การปกครองรักษาที่พิพาทไว้ในฐานะของกลางตามคำสั่งของผู้ตายโดยไม่ปรากฎว่าผู้ครอบครองจะไม่ปกครองที่พิพาทไว้ตามคำสั่งของผู้ตาย ภายหลังจากผู้ตายได้ตายแล้ว กับทั้งผู้ครอบครองไม่เคยแสดงตัวก่อนเจ้าหน้าที่ว่าตนเป็นเจ้าของที่พิพาทรายนี้ การเสียภาษีบำรุงท้องที่ผู้อื่นก็เป็นผู้เสีย ดังนี้ ถือว่าเป็นการปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้น มิใช่เป็นการปกครองเพื่อเอากรรมสิทธิ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1651-1652/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดินจากการครอบครอง: การครอบครองเพื่อรักษาเป็นของกลาง ไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ์
โจทก์จำเลยพิพาทเป็นคดีสองเรื่อง เรื่องหนึ่งเป็นคดีมีทุนทรัพย์เกิน 2,000 บาท อีกคดีหนึ่งเป็นคดีพิพาทกันโดยไม่มีทุนทรัพย์ ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน ศาลอุทธรณ์คงพิพากษาแก้เฉพาะสำนวนมีทุนทรัพย์ให้แบ่งทรัพย์ที่ฟ้องคนละครึ่ง จำเลยเป็นฝ่ายฎีกาขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้โต้เถียงอะไร ในคดีพิพาทไม่มีทุนทรัพย์ทั้งไม่มีเหตุสำหรับฎีกา ประกอบทั้งคดีที่พิพาทกันโดยไม่มีทุนทรัพย์ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 และถือว่าจำเลยฎีกาขึ้นมาเพียงคดีมีทุนทรัพย์เกิน 2,000 บาทคดีเดียว
ฟ้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยผู้มีชื่อยกให้โจทก์เข้าปกครองมา 25 ปีแล้ว เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าผู้มีชื่อหาได้ยกที่ให้โจทก์ไม่ เป็นแต่มอบให้โจทก์และผู้อื่นปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้น โจทก์จึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ และจะขอศาลสั่งว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ไม่ได้
การปกครองรักษาที่พิพาทไว้ในฐานะของกลางตามคำสั่งของผู้ตายโดยไม่ปรากฏว่าผู้ครอบครองจะไม่ปกครองที่พิพาทไว้ตามคำสั่งของผู้ตาย ภายหลังจากผู้ตายได้ตายแล้ว กับทั้งผู้ครอบครองไม่เคยแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่ว่าตนเป็นเจ้าของที่พิพาทรายนี้ การเสียภาษีบำรุงท้องที่ผู้อื่นก็เป็นผู้เสีย ดังนี้ ถือว่าเป็นการปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้น มิใช่เป็นการปกครองเพื่อเอากรรมสิทธิ์
ฟ้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยผู้มีชื่อยกให้โจทก์เข้าปกครองมา 25 ปีแล้ว เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าผู้มีชื่อหาได้ยกที่ให้โจทก์ไม่ เป็นแต่มอบให้โจทก์และผู้อื่นปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้น โจทก์จึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ และจะขอศาลสั่งว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ไม่ได้
การปกครองรักษาที่พิพาทไว้ในฐานะของกลางตามคำสั่งของผู้ตายโดยไม่ปรากฏว่าผู้ครอบครองจะไม่ปกครองที่พิพาทไว้ตามคำสั่งของผู้ตาย ภายหลังจากผู้ตายได้ตายแล้ว กับทั้งผู้ครอบครองไม่เคยแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่ว่าตนเป็นเจ้าของที่พิพาทรายนี้ การเสียภาษีบำรุงท้องที่ผู้อื่นก็เป็นผู้เสีย ดังนี้ ถือว่าเป็นการปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้น มิใช่เป็นการปกครองเพื่อเอากรรมสิทธิ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1651-1652/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในที่ดิน: การครอบครองเพื่อรักษาไว้เป็นของกลาง ไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ์, การยกให้และการครอบครอง
โจทก์จำเลยพิพาทเป็นคดีสองเรื่อง เรื่องหนึ่งเป็นคดีมีทุนทรัพย์เกิน 2,000 บาท อีกคดีหนึ่งเป็นคดีพิพาทกันโดยไม่มีทุนทรัพย์ ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน ศาลอุทธรณ์คงพิพากษาแก้เฉพาะสำนวนมีทุนทรัพย์ให้แบ่งทรัพย์ที่ฟ้องคนละครึ่ง จำเลยเป็นฝ่ายฎีกาขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้โต้เถียงอะไร ในคดีพิพาทไม่มีทุนทรัพย์ทั้งไม่มีเหตุสำหรับฎีกา ประกอบทั้งคดีที่พิพาทกันโดยไม่มีทุนทรัพย์ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 และถือว่าจำเลยฎีกาขึ้นมาเพียงคดีมีทุนทรัพย์เกิน 2,000 บาทคดีเดียว
ฟ้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยผู้มีชื่อยกให้โจทก์เข้าปกครองมา 25 ปีแล้ว เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าผู้มีชื่อหาได้ยกที่ให้โจทก์ไม่ เป็นแต่มอบให้โจทก์และผู้อื่นปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้น โจทก์จึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ และจะขอศาลสั่งว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ไม่ได้
การปกครองรักษาที่พิพาทไว้ในฐานะของกลางตามคำสั่งของผู้ตายโดยไม่ปรากฏว่าผู้ครอบครองจะไม่ปกครองที่พิพาทไว้ตามคำสั่งของผู้ตาย ภายหลังจากผู้ตายได้ตายแล้ว กับทั้งผู้ครอบครองไม่เคยแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่ว่าตนเป็นเจ้าของที่พิพาทรายนี้ การเสียภาษีบำรุงท้องที่ผู้อื่นก็เป็นผู้เสีย ดังนี้ ถือว่าเป็นการปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้น มิใช่เป็นการปกครองเพื่อเอากรรมสิทธิ์
ฟ้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยผู้มีชื่อยกให้โจทก์เข้าปกครองมา 25 ปีแล้ว เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าผู้มีชื่อหาได้ยกที่ให้โจทก์ไม่ เป็นแต่มอบให้โจทก์และผู้อื่นปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้น โจทก์จึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ และจะขอศาลสั่งว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ไม่ได้
การปกครองรักษาที่พิพาทไว้ในฐานะของกลางตามคำสั่งของผู้ตายโดยไม่ปรากฏว่าผู้ครอบครองจะไม่ปกครองที่พิพาทไว้ตามคำสั่งของผู้ตาย ภายหลังจากผู้ตายได้ตายแล้ว กับทั้งผู้ครอบครองไม่เคยแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่ว่าตนเป็นเจ้าของที่พิพาทรายนี้ การเสียภาษีบำรุงท้องที่ผู้อื่นก็เป็นผู้เสีย ดังนี้ ถือว่าเป็นการปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้น มิใช่เป็นการปกครองเพื่อเอากรรมสิทธิ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1606/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาเปลี่ยนลักษณะการยึดถือจากเช่าเป็นครอบครอง: การแจ้งให้เจ้าของทราบและอายุความ
ผู้เช่าเช่านาซึ่งไม่มีหนังสือสำคัญต่อมาได้ฟ้องเจ้าของนาต่อสู้กรรมสิทธิคดีถึงที่สุด ผู้เช่าแพ้คดี ศาลฟังว่าเป็นการเช่านากัน เจ้าของนาจึงฟ้องขอให้ขับไล่ ผู้เช่าจะอ้างว่าได้มีเจตนาถือสิทธิในที่พิพาทแล้วตั้งแต่วันฟ้องคดีแรกเจ้าของนามิได้ฟ้องผู้เช่าเสียภายใน 1 ปี จึงขาดอายุแล้ว เช่นนี้มิได้เพราะผู้เช่าจะต้องแจ้งให้ผู้ให้เช่ารู้เสียก่อนว่าตนได้เปลี่ยนลักษณะการยึดถือไม่ยึดถือไว้แทนผู้ให้เช่าต่อไป จึงจะยกอายุความขึ้นต่อสู้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1606/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงลักษณะการยึดถือจากเช่าเป็นครอบครองปรปักษ์ ต้องแจ้งให้เจ้าของทราบก่อนจึงจะเริ่มนับอายุความได้
ผู้เช่าเช่านาซึ่งไม่มีหนังสือสำคัญแล้วต่อมาได้ฟ้องเจ้าของนาต่อสู้กรรมสิทธิคดีถึงที่สุด ผู้เช่าแพ้คดี ศาลฟังว่าเป็นการเช่านากัน เจ้าของนาจึงฟ้องขอให้ขับไล่ ผู้เช่าจะอ้างว่าได้มีเจตนาถือสิทธิในที่พิพาทแล้วตั้งแต่วันฟ้องคดีแรกเจ้าของนามิได้ฟ้องผู้เช่าเสียภายใน 1 ปีจึงขาดอายุแล้ว เช่นนี้มิได้ เพราะผู้เช่าจะต้องแจ้งให้ผู้ให้เช่ารู้เสียก่อนว่าตนได้เปลี่ยนลักษณะการยึดถือไม่ยึดถือไว้แทนผู้ให้เช่าต่อไป จึงจะยกอายุความขึ้นต่อสู้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1606/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงลักษณะการยึดถือจากเช่าเป็นครอบครองปรปักษ์ จำเป็นต้องแจ้งให้เจ้าของทราบ อายุความเริ่มนับเมื่อแจ้ง
ผู้เช่าเช่านาซึ่งไม่มีหนังสือสำคัญแล้วต่อมาได้ฟ้องเจ้าของนาต่อสู้กรรมสิทธิคดีถึงที่สุด ผู้เช่าแพ้คดี ศาลฟังว่าเป็นการเช่านากัน เจ้าของนาจึงฟ้องขอให้ขับไล่ ผู้เช่าจะอ้างว่าได้มีเจตนาถือสิทธิในที่พิพาทแล้วตั้งแต่วันฟ้องคดีแรกเจ้าของนามิได้ฟ้องผู้เช่าเสียภายใน 1 ปีจึงขาดอายุแล้ว เช่นนี้มิได้ เพราะผู้เช่าจะต้องแจ้งให้ผู้ให้เช่ารู้เสียก่อนว่าตนได้เปลี่ยนลักษณะการยึดถือไม่ยึดถือไว้แทนผู้ให้เช่าต่อไป จึงจะยกอายุความขึ้นต่อสู้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 952/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความครอบครองปรปักษ์: การแสดงเจตนาเป็นเจ้าของตัดสิทธิผู้ให้เช่า แม้จะเคยเช่ามาก่อน
โจทก์เถียงว่าจำเลยทำนาโจทก์โดยการเช่า แม้สัญญาเช่าจะสิ้นแล้วแต่จำเลยยังคงทำต่อมาเช่นนี้ต้องถือว่าจำเลยได้เช่าต่อมาโดยไม่มีกำหนดและจำเลยครอบครองไว้แทนโจทก์ไม่ใช่เพื่อตนเอง จะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิ แต่คดีได้ความว่าชั้นต้นจำเลยเช่าแต่ตอนหลังโจทก์จะไปเก็บค่าเช่าจำเลยไม่ยอมให้ ทั้งบอกว่าเป็นที่ของจำเลยมิได้เช่าจากโจทก์แล้ว ดังนี้ก็เป็นการแสดงว่าจำเลยถือตนว่าเป็่นเจ้าของนานั้น และไม่ยอมตนว่าเป็นผู้ครอบครองแทนโจทก์ฐานผู้เช่าต่อไปแล้ว (ป.พ.พ.ม. 1381) โจทก์ต้องฟ้องภายใน 1 ปี ตาม ป.พ.พ.ม. 1375 เมื่อโจทก์ไม่ฟ้องภายในกำหนดคดีโจทก์จึงขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 952/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความครอบครองปรปักษ์: การเปลี่ยนแปลงสถานะจากผู้เช่าเป็นผู้ครอบครองปรปักษ์และการขาดอายุความฟ้อง
โจทก์เถียงว่าจำเลยทำนาโจทก์โดยการเช่า แม้สัญญาเช่าจะสิ้นแล้วแต่จำเลยยังคงทำต่อมา เช่นนี้ต้องถือว่าจำเลยได้เช่าต่อมาโดยไม่มีกำหนดและจำเลยครอบครองไว้แทนโจทก์ไม่ใช่เพื่อตนเอง จะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิ แต่คดีได้ความว่าชั้นต้นจำเลยเช่าแต่ตอนหลังโจทก์จะไปเก็บค่าเช่า จำเลยไม่ยอมให้ทั้งบอกว่าเป็นที่ของจำเลยมิได้เช่าจากโจทก์แล้ว ดังนี้ก็เป็นการแสดงว่าจำเลยถือตนว่าเป็นเจ้าของนานั้น และไม่ยอมตนว่าเป็นผู้ครอบครองแทนโจทก์ฐานผู้เช่าต่อไปแล้ว (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381) โจทก์ต้องฟ้องภายใน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 เมื่อโจทก์ไม่ฟ้องภายในกำหนดคดีโจทก์จึงขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1835/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับโอนที่ดินโดยรู้ว่าเป็นของผู้อื่น ไม่อาจอ้างการครอบครองปรปักษ์ได้
ผู้ซื้อรับโอนการครอบครองที่ดินมาโดยรู้ว่าที่ดินที่ตนซื้อนั้นเป็นของผู้อื่นไม่ใช่ของผู้ที่โอนขายให้แก่ตน ผู้โอนเป็นแต่เพียงผู้ครอบครองแทนเจ้าของอันแท้จริงเท่านั้น เช่นนี้ผู้รับโอนย่อมจะอ้างการครอบครองปรปักษ์ยันเจ้าของอันแท้จริงหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1835/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับโอนที่ดินโดยรู้ว่าเป็นของผู้อื่น ย่อมไม่อ้างการครอบครองปรปักษ์ได้
ผู้ซื้อรับโอนการครอบครองที่ดินมาโดยรู้ว่าที่ดินที่ตนซื้อนั้นเป็นของผู้อื่น ไม่ใช่ของผู้ที่โอนขายให้แก่ตน ผู้โอนเป็นแต่เพียงผู้ครอบครองแทนเจ้าของอันแท้จริงเท่านั้น เช่นนี้ผู้รับโอนย่อมจะอ้างการครอบครองปรปักษ์ยันเจ้าของอันแท้จริงหาได้ไม่