พบผลลัพธ์ทั้งหมด 53 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 991/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งสินสมรสหลังการร้าง และการเปลี่ยนแปลงทรัพย์สินระหว่างการร้าง โดยใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5
สมรสกันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ขณะจะขาดจากการสมรสใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 แล้ว เหตุที่จะขาดจากการสมรสต้องใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 บังคับ และการที่สามีภริยามาร้างกันระหว่างใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 สามีขายทรัพย์สินสมรสไปแล้วซื้อทรัพย์อื่นมาแทนทรัพย์นั้นก็ต้องเป็นสินสมรส แต่ทรัพย์ที่สามีหาได้มาระหว่างร้างกันไม่เป็นสินสมรส
ในชั้นฎีกา ผู้ฎีกาต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในชั้นฎีกา ถ้าทรัพย์ที่เรียกร้องมีหลายอย่างตีราคารวมกันมา แต่ผู้ฎีกาฎีกาเฉพาะทรัพย์บางอย่างการคำนวณค่าขึ้นศาลศาลควรจัดการตีราคาทรัพย์แยกจากกันก่อนแล้วจึงเรียกค่าขึ้นศาล
ในชั้นฎีกา ผู้ฎีกาต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในชั้นฎีกา ถ้าทรัพย์ที่เรียกร้องมีหลายอย่างตีราคารวมกันมา แต่ผู้ฎีกาฎีกาเฉพาะทรัพย์บางอย่างการคำนวณค่าขึ้นศาลศาลควรจัดการตีราคาทรัพย์แยกจากกันก่อนแล้วจึงเรียกค่าขึ้นศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 991/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งสินสมรสหลังการแยกกันอยู่และการซื้อทรัพย์สินแทนเดิมตาม ป.พ.พ. บรรพ 5
สมรสก่อนใช้ ป.พ.พ.บรรพ 5 ขณะจะขาดจากการสมรสใช้ ป.พ.พ.บรรพ 5 แล้ว เหตุที่จะขาดจากการสมรสต้องใช้ ป.พ.พ.บรรพ 5 บังคับและการที่สามีภริยามาร้างกันระหว่างใช้ ป.พ.พ.บรรพ 5 สามีขายทรัพย์สินสมรสไปแล้วซื้อทรัพย์อื่นมาแทน ทรัพย์นั้นก็ต้องเป็นสินสมรส แต่ทรัพย์ที่สามีหาได้มาระหว่างร้างกันไม่เป็นสินสมรส
ในชั้นฎีกา ผู้ฎีกาต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในชั้นฎีกา ถ้าทรัพย์ที่เรียกร้องมีหลายอย่างตีราคารวมกันมา แต่ผู้ฎีกา ๆ เฉพาะทรัพย์บางอย่าง การคำนวณค่าขึ้นศาลศาลควรจัดการตีราคาทรัพย์แยกจากกันก่อน แล้วจึงเรียกค่าขึ้นศาล
ในชั้นฎีกา ผู้ฎีกาต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในชั้นฎีกา ถ้าทรัพย์ที่เรียกร้องมีหลายอย่างตีราคารวมกันมา แต่ผู้ฎีกา ๆ เฉพาะทรัพย์บางอย่าง การคำนวณค่าขึ้นศาลศาลควรจัดการตีราคาทรัพย์แยกจากกันก่อน แล้วจึงเรียกค่าขึ้นศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1251/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
มรดก: สิทธิทายาทตามคำพิพากษาศาลฎีกา & การเป็นคู่สมรสโดยชอบด้วยกฎหมายก่อนใช้ ป.พ.พ.
ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อนว่าที่สวนยางรายนี้เป็นมรดกของนายนวล ซึ่งทายาทของนายนวลมีสิทธิที่จะได้รับการแบ่งทรัพย์รายนี้ตามกฎหมาย จำเลยในคดีหลังนี้ ซึ่งเป็นคู่ความในคดีก่อนนั้นด้วย จะกลับมาโต้แย้งคัดค้านในคดีหลังนี้ว่าที่สวนยางรายเดียวกันนั้น เป็นทรัพย์ของตนฝืนคำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าว ไม่ได้
ก่อนใช้ป.พ.พ.เมื่อชายหญิงอยู่กินด้วยกันฉันท์ผัวเมียโดยเปิดเผย ก็เป็นผัวเมียกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่จำต้องจดทะเบียนการสมรส บุตรที่เกิดแต่ชายหญิงเป็นทายาทโดยธรรมของชายหญิงนั้นตามป.พ.พ.
ก่อนใช้ป.พ.พ.เมื่อชายหญิงอยู่กินด้วยกันฉันท์ผัวเมียโดยเปิดเผย ก็เป็นผัวเมียกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่จำต้องจดทะเบียนการสมรส บุตรที่เกิดแต่ชายหญิงเป็นทายาทโดยธรรมของชายหญิงนั้นตามป.พ.พ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1251/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลคำพิพากษาฎีกามีผลผูกพันคู่ความเดิม สิทธิมรดกเป็นของทายาทโดยชอบด้วยกฎหมาย
ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อนว่าที่สวนยางรายนี้เป็นมรดกของนายนวล.ซึ่งทายาทของนายนวลมีสิทธิที่จะได้รับการแบ่งทรัพย์รายนี้ตามกฎหมายจำเลยในคดีหลังนี้ซึ่งเป็นคู่ความในคดีก่อนนั้นด้วยจะกลับมาโต้แย้งคัดค้านในคดีหลังนี้ว่าที่สวนยางรายเดียวกันนั้นเป็นทรัพย์ของตนฝืนคำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าว ไม่ได้
ก่อนใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เมื่อชายหญิงอยู่กินด้วยกันฉันผัวเมียโดยเปิดเผย ก็เป็นผัวเมียกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่จำต้องจดทะเบียนการสมรส บุตรที่เกิดแต่ชายหญิงนั้นย่อมเป็นทายาทโดยธรรมของชายหญิงนั้นตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ก่อนใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เมื่อชายหญิงอยู่กินด้วยกันฉันผัวเมียโดยเปิดเผย ก็เป็นผัวเมียกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่จำต้องจดทะเบียนการสมรส บุตรที่เกิดแต่ชายหญิงนั้นย่อมเป็นทายาทโดยธรรมของชายหญิงนั้นตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการวินิจฉัยคดี: ศาลมิได้จำกัดการพิพากษาเฉพาะประเด็นที่คู่ความจำกัดขอบเขตไว้ แต่ต้องวินิจฉัยตามบทกฎหมายและข้อเท็จจริง
โจทก์จำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดาแต่ต่างมารดากันโจทก์ฟ้องขอแบ่งส่วนมรดกของบิดาครึ่งหนึ่ง จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์มีส่วนไม่ถึงครึ่ง เพราะควรตกเป็นของมารดาจำเลย 2 ใน 3 ที่เหลืออีก 1 ใน 3 จึงเป็นของโจทก์เพียง 1 ใน 3
ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาเรื่องฟ้องและคำให้การโดยย่อ ข้อที่คู่ความรับกัน และต่างไม่ติดใจสืบพยาน แล้วศาลจดรายงานกระบวนพิจารณาต่อไปว่า 'ประเด็นมีเฉพาะข้อที่ว่าโจทก์ควรได้ส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งตามฟ้องหรือควรได้ส่วนแต่เท่าที่จำเลยต่อสู้'
ดังนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ไม่ใช่เรื่องที่คู่ความท้ากันโดยจำกัดให้ศาลชี้ขาดเพียง 2 ทางว่าส่วนแบ่งนั้นถ้าโจทก์ไม่ได้ครึ่งหนึ่งตามฟ้องแล้ว จักต้องเป็นไปดังจำเลยให้การต่อสู้หากแต่เป็นเรื่องที่คู่ความขอให้ศาลวินิจฉัยไปตามประเด็นที่ฟ้องและต่อสู้ซึ่งศาลจะต้องพิพากษาไปตามบทกฎหมายและรูปคดี ฉะนั้นศาลมีอำนาจพิพากษาแบ่งส่วนเป็นอย่างอื่นได้
ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาเรื่องฟ้องและคำให้การโดยย่อ ข้อที่คู่ความรับกัน และต่างไม่ติดใจสืบพยาน แล้วศาลจดรายงานกระบวนพิจารณาต่อไปว่า 'ประเด็นมีเฉพาะข้อที่ว่าโจทก์ควรได้ส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งตามฟ้องหรือควรได้ส่วนแต่เท่าที่จำเลยต่อสู้'
ดังนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ไม่ใช่เรื่องที่คู่ความท้ากันโดยจำกัดให้ศาลชี้ขาดเพียง 2 ทางว่าส่วนแบ่งนั้นถ้าโจทก์ไม่ได้ครึ่งหนึ่งตามฟ้องแล้ว จักต้องเป็นไปดังจำเลยให้การต่อสู้หากแต่เป็นเรื่องที่คู่ความขอให้ศาลวินิจฉัยไปตามประเด็นที่ฟ้องและต่อสู้ซึ่งศาลจะต้องพิพากษาไปตามบทกฎหมายและรูปคดี ฉะนั้นศาลมีอำนาจพิพากษาแบ่งส่วนเป็นอย่างอื่นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการวินิจฉัยของศาล: ประเด็นที่จำกัด vs. ประเด็นตามฟ้องและต่อสู้
โจทก์จำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดาแต่ต่างมารดากัน โจทก์ฟ้องขอแบ่งส่วนมรดกของบิดาครึ่งหนึ่ง จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์มีส่วนไม่ถึงครึ่ง เพราะควรตกเป็นของมารดาจำเลย 2 ใน 3 ที่เหลืออีก 1 ใน 3 จึงเป็นของโจทก์เพียง 1 ใน 3
ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาเพรื่องฟ้องและทำให้การโดยย่อ ข้อที่คู่ความรับกัน และต่างไม่ติดใจสืบพยาน แล้วศาลจดรายงานกระบวนพิจารณาต่อไปว่า ประเด็นมีเฉพาะข้อที่ว่าโจทก์ควรได้ส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งตามฟ้องหรือควรได้ส่วนแต่เท่าที่จำเลยต่อสู้
ดังนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ไม่ใช่เรื่องที่คู่ความท้ากันโดยจำกัดให้ศาลชี้ขาดเพียง 2 ทางว่าส่วนแบ่งนั้นถ้าโจทก์ไม่ได้ครึ่งหนึ่งตามฟ้องแล้ว จักต้องเป็นไปดังจำเลยให้การต่อสู้ หากแต่เป็นเรื่องที่คู่ความขอให้ศาลวินิจฉัยไปตามประเด็นที่ฟ้องและต่อสู้ซึ่งศาลจะต้องพิพากษาไปตามบทกฎหมายและรูปคดี ฉะนั้นศาลมีอำนาจพิพากษาแบ่งส่วนเป็นอย่างอื่นได้
ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาเพรื่องฟ้องและทำให้การโดยย่อ ข้อที่คู่ความรับกัน และต่างไม่ติดใจสืบพยาน แล้วศาลจดรายงานกระบวนพิจารณาต่อไปว่า ประเด็นมีเฉพาะข้อที่ว่าโจทก์ควรได้ส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งตามฟ้องหรือควรได้ส่วนแต่เท่าที่จำเลยต่อสู้
ดังนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ไม่ใช่เรื่องที่คู่ความท้ากันโดยจำกัดให้ศาลชี้ขาดเพียง 2 ทางว่าส่วนแบ่งนั้นถ้าโจทก์ไม่ได้ครึ่งหนึ่งตามฟ้องแล้ว จักต้องเป็นไปดังจำเลยให้การต่อสู้ หากแต่เป็นเรื่องที่คู่ความขอให้ศาลวินิจฉัยไปตามประเด็นที่ฟ้องและต่อสู้ซึ่งศาลจะต้องพิพากษาไปตามบทกฎหมายและรูปคดี ฉะนั้นศาลมีอำนาจพิพากษาแบ่งส่วนเป็นอย่างอื่นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 135/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของการบวชต่อสถานะการสมรสภายหลังใช้ ป.พ.พ. และการกำหนดทรัพย์สินสมรส
เป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วย ก.ม.ตั้งแต่ก่อนใช้ ป.พ.พ. บรรพ 5 และคงเป็นสามีภรรยากันตลอดมา จนใช้ ป.พ.พ.บรรพ 5 แล้ว ในชั้นหลังนี้เมื่อมีปัญหาว่าสามีภรรยาจะขาดจากกันหรือไม่ย่อมจะต้องใช้ ก.ม.ที่มีอยู่ในขณะที่เหตุที่อ้างนั้นเกิดขึ้นบังคับแก่กรณี คือ ป.พ.พ. บรรพ 5 จะใช้ ก.ม. เก่าหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 135/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลกระทบการบวชต่อสถานะสมรสและการเป็นสินสมรสภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
เป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่ก่อนใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 และคงเป็นสามีภรรยากันตลอดมาจนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 แล้วในชั้นหลังนี้เมื่อมีปัญหาว่าสามีภรรยาจะขาดจากกันหรือไม่ย่อมจะต้องใช้กฎหมายที่มีอยู่ในขณะที่เหตุที่อ้างนั้นเกิดขึ้นบังคับแก่กรณีคือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 จะใช้กฎหมายเก่าหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1182/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิมรดกบุตรบุญธรรมที่ไม่ได้จดทะเบียน vs สิทธิครอบครองที่ดิน
บุตรบุญธรรมตาม ก.ม.เก่า ไม่ได้จดทะเบียนเป็นบุตรบุญธรรมตาม ป.ม.แพ่งฯ บรรพ 5 นั้น ไม่มีสิทธิรับมฤดกของผู้รับบุตรบุญธรรม (ประชุมใหญ่)
ฟ้องบรรยายว่าเป็นบุตรบุญธรรมของเจ้ามฤดก เจ้ามฤดกตายแล้วทรัพย์สินตกทอดมายังตนกับสามี ได้ครอบครองมาโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมา 6 ปี จำเลยเข้ามาไถหว่านในนาพิพาทนี้ จึงขอให้ขับไล่นั้น ถือว่าโจกท์ได้อ้างสิทธิครอบครองทรัพย์พิพาทเป็นหลักแห่งขอ้หาในการขอให้บังคับจำเลยด้วย มิใช่อ้างสิทธิรับมฤดกแต่อย่างเดียว
ฟ้องบรรยายว่าเป็นบุตรบุญธรรมของเจ้ามฤดก เจ้ามฤดกตายแล้วทรัพย์สินตกทอดมายังตนกับสามี ได้ครอบครองมาโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมา 6 ปี จำเลยเข้ามาไถหว่านในนาพิพาทนี้ จึงขอให้ขับไล่นั้น ถือว่าโจกท์ได้อ้างสิทธิครอบครองทรัพย์พิพาทเป็นหลักแห่งขอ้หาในการขอให้บังคับจำเลยด้วย มิใช่อ้างสิทธิรับมฤดกแต่อย่างเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1182/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บุตรบุญธรรมตามกฎหมายเก่า: สิทธิรับมรดก vs. สิทธิครอบครอง
บุตรบุญธรรมตามกฎหมายเก่า ไม่ได้จดทะเบียนเป็นบุตรบุญธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 นั้น ไม่มีสิทธิรับมรดกของผู้รับบุตรบุญธรรม (ประชุมใหญ่)
ฟ้องบรรยายว่าเป็นบุตรบุญธรรมของเจ้ามรดก เจ้ามรดกตายแล้วทรัพย์สินตกทอดมายังตนกับสามี ได้ครอบครองมาโดย ความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมา 6 ปี จำเลยเข้ามาไถหว่านในนาพิพาทนี้ จึงขอให้ขับไล่นั้นถือว่า โจทก์ได้อ้างสิทธิครอบครองทรัพย์พิพาทเป็นหลักแห่งข้อหาในการขอให้บังคับจำเลยด้วย มิใช่อ้างสิทธิรับมรดกแต่อย่างเดียว
ฟ้องบรรยายว่าเป็นบุตรบุญธรรมของเจ้ามรดก เจ้ามรดกตายแล้วทรัพย์สินตกทอดมายังตนกับสามี ได้ครอบครองมาโดย ความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมา 6 ปี จำเลยเข้ามาไถหว่านในนาพิพาทนี้ จึงขอให้ขับไล่นั้นถือว่า โจทก์ได้อ้างสิทธิครอบครองทรัพย์พิพาทเป็นหลักแห่งข้อหาในการขอให้บังคับจำเลยด้วย มิใช่อ้างสิทธิรับมรดกแต่อย่างเดียว