พบผลลัพธ์ทั้งหมด 21 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4299/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปิดอากรแสตมป์สัญญา, การรับรองสำเนาเอกสารราชการ, และความรับผิดของทายาทในหนี้สินของเจ้ามรดก
สัญญากู้เป็นแบบพิมพ์มีสองหน้า ด้านหน้าเป็นแบบพิมพ์สัญญากู้ด้านหลังเป็นแบบพิมพ์สัญญาค้ำประกันเงินกู้ซึ่งไม่มีการกรอกข้อความดังนี้การปิดอากรแสตมป์ที่แบบพิมพ์สัญญาค้ำประกันเป็นการปิดอากรแสตมป์สำหรับสัญญากู้ด้วย เมื่อรวมอากรแสตมป์ที่ปิดด้านหน้าและด้านหลังครบถ้วนตามที่ระบุในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากรแล้ว ย่อมอ้างสัญญากู้ดังกล่าวเป็นพยานได้ โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 และนาง ค. ในฐานะเป็นผู้ร่วมกันกู้เงินโจทก์ ชดใช้เงินกู้ และขอให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ในฐานะทายาทผู้รับมรดกของนาง ค.รับผิดหนี้เงินกู้ที่นางค. ต้องใช้คืนแก่โจทก์ จำเลยที่ 3 ที่ 4 ให้การว่าลายมือชื่อจำเลยที่ 1ในสัญญากู้ปลอม ดังนี้ไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 ที่ 4 เพราะไม่ว่าลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 ในสัญญากู้จะปลอมหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ที่ 4 ซึ่งต้องรับผิดในฐานะทายาทของนาง ค. ผู้กู้ร่วม พยานผู้เชี่ยวชาญเป็นพยานแสดงความคิดเห็นตามหลักวิชาการซึ่งปกติศาลก็รับฟังแต่มิใช่ว่าจะต้องเชื่อพยานผู้เชี่ยวชาญเสมอไป คำพยานผู้เชี่ยวชาญจะมีน้ำหนักกว่าประจักษ์พยานหรือไม่ก็ต้องพิจารณาตามรูปเรื่องและต้องอาศัยเหตุผลและพยานหลักฐานอื่นประกอบ ซึ่งผิดกับประจักษ์พยานซึ่งเป็นผู้ได้ยินกับหูเห็นด้วยตาของ ตนเองจึงน่าเชื่อว่าพยานผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะการที่อ้างแต่เพียงรายงานผลการตรวจพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญโดยมิได้นำตัวผู้เชี่ยวชาญมาเบิกความอธิบายประกอบรายงานนั้นว่ามีความเป็นมาอย่างไรกับทั้งทำให้อีกฝ่ายไม่มีโอกาสถามค้านผู้เชี่ยวชาญด้วยดังนี้ ลำพังรายการการตรวจพิสูจน์ดังกล่าวจึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะหักล้างประจักษ์พยานอีกฝ่ายได้ สำเนาหนังสือราชการที่เจ้าหน้าที่รับรองความถูกต้อง ซึ่งส่งเข้ามาในคดีตามที่คู่ความอ้างเป็นพยานไว้โดยชอบแล้ว ดังนี้คู่ความที่อ้างไม่จำต้องสืบพยานบุคคลประกอบ สำเนาหนังสือราชการดังกล่าวรับฟังได้เหมือนต้นฉบับ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 93(3) โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 ที่ 4 ในฐานะทายาทโดยธรรมของนาง ค. เจ้ามรดกซึ่งเป็นหนี้เงินกู้โจทก์อยู่และได้ถึงแก่กรรมลง ดังนี้ โจทก์มีเพียงสิทธิเรียกร้องบังคับชำระหนี้เอาจากจำเลยที่ 3 ที่ 4 ได้เท่าที่ไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกที่จำเลยที่ 3 ที่ 4 ได้รับศาลจึงไม่จำต้องกล่าวไว้ในคำพิพากษาว่าให้จำเลยที่ 3 ที่ 4รับผิดต่อโจทก์ไม่เกินจำนวนทรัพย์มรดกที่ได้รับจากเจ้ามรดกเพราะเป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากันในชั้นบังคับคดี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1183/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานนอกประเด็น และการพิพากษาตามข้อต่อสู้ของจำเลยในคดีสัญญากู้ยืม
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตาม สัญญากู้ยืม จำเลยให้การต่อสู้ คดีว่าโจทก์ให้จำเลยลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์สัญญากู้ที่ยังไม่ได้กรอกข้อความ ดังนี้จำเลยจึงมีสิทธินำสืบว่า พยานในแบบพิมพ์ดังกล่าวยังไม่มี ก. พยานโจทก์มิได้ลงลายมือชื่อและมิได้รู้เห็นเหตุการณ์ทั้งศาลกำหนดให้จำเลยนำสืบก่อนจำเลยจึงไม่อาจถามค้านโจทก์ไว้ก่อนได้ การนำสืบของจำเลยดังกล่าวจึงไม่ เป็นการนำสืบนอกคำคู่ความและนอกประเด็น โจทก์ฟ้องเรียกหนี้ 14,000 บาท ได้ความว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์3,532.25 บาท ดังนี้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตาม ที่ได้ความได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1100/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำท้าพิสูจน์ลายมือชื่อในสัญญากู้: ผลตรวจผู้เชี่ยวชาญเพียงพอต่อการวินิจฉัยคดี
โจทก์จำเลยท้ากันให้ผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์ลายมือชื่อในช่องผู้กู้ในสัญญาว่าเป็นลายมือของจำเลยหรือไม่ ถ้าเป็นลายมือชื่อของจำเลย จำเลยยอมแพ้คดี ผู้เชี่ยวชาญได้ตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อจำเลยและลายมือชื่อผู้กู้ในสัญญากู้แล้วมีความเห็นว่าน่าจะเป็นลายมือชื่อของบุคคลเดียวกัน ดังนี้ ถือได้ว่าผู้เชี่ยวชาญมี ความเห็นว่าลายมือชื่อในสัญญากู้เป็นลายมือชื่อของจำเลยตรงตาม คำท้าอันเป็นเหตุให้จำเลยแพ้คดีตามคำท้าแล้วหาจำต้องเอาข้อเท็จจริง อื่นมาฟังประกอบอีกไม่ ดังนั้น ปัญหาที่ว่าศาลอุทธรณ์นำคำรับ ในคำให้การของจำเลยมาวินิจฉัยร่วมกับผลการตรวจพิสูจน์ของ ผู้เชี่ยวชาญให้จำเลยแพ้คดีเป็นการชอบหรือไม่ จึงไม่จำเป็นต่อ รูปคดีที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยอีกต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2501/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของผู้รับประกันภัยเมื่อเกิดความเสียหายจากการขนส่ง และขอบเขตความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย
โจทก์ฟ้องให้จำเลยร่วมกันรับผิดในความเสียหายอันเนื่องจากการขนส่งสินค้าของบริษัท ท. ที่ได้เอาประกันภัยไว้แก่โจทก์ โดยโจทก์อ้างว่าได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัท ท. แล้ว จึงได้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้เรียกร้องให้จำเลยร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้คดีตอนหนึ่งว่าจำเลยรับจ้าง ต. ขนสินค้าไปส่งให้แก่บริษัท ท. จำเลยไม่มีความผิดต่อบริษัทดังกล่าว แม้โจทก์จะรับช่วงสิทธิมาก็ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ดังนี้ คดีจึงมีประเด็นข้อโต้เถียงเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ว่าจำเลยรับจ้างขนสินค้าให้แก่บริษัท ท. หรือ ต.
ฟ้องของโจทก์มีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือให้จำเลยทั้งหกในฐานะผู้ขนส่งร่วมกันรับผิดในความเสียหายอันเนื่องมาจากการขนส่งสินค้า กับระบุว่าจำเลยทั้งหกเป็นผู้ว่าจ้างและรับจ้างทำการในหน้าที่รับขนส่งสินค้าและดำเนินงานร่วมกันในทางการที่ว่าจ้างให้ลุประสงค์ในการนำส่งสินค้าให้แก่บริษัท ท. โดยจำเลยทั้งหกมีหน้าที่ร่วมกันในการจัดการและการรับขนส่งอันเป็นการที่จะให้จำเลยทั้งหกรับผิดตามสัญญารับขนส่ง แม้จะระบุด้วยว่าจำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างและกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ก็มิได้หมายความว่าจะให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดต่อโจทก์ในฐานะนายจ้างกับลูกจ้าง. และการที่โจทก์อ้างถึงความประมาทเลินเล่อของจำเลยมาด้วยก็เพื่อจะให้จำเลยทั้งหกรับผิดตามสัญญารับขนส่ง มิใช่ให้รับผิดในฐานะละเมิด. ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616 ขึ้นมาปรับแก่คดีของจำเลยที่ 3 จึงหาใช่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นไม่
การรับประกันภัยสินค้ารายนี้แม้ตามกรมธรรม์ประกันภัยจะระบุว่าเป็นการรับประกันจากเมืองแชมเปอริโก ประเทศกัวเตมาลา ถึงกรุงเทพมหานคร แต่ก็มีเงื่อนไขให้ถือตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ด้านหลังของสัญญาหรือกรมธรรม์ประกันภัยด้วย เมื่อข้อกำหนดดังกล่าวระบุว่าการประกันภัยนี้ใช้บังคับเริ่มจากเวลาที่สินค้าออกจากคลังสินค้าหรือสถานที่เก็บสินค้าเพื่อเริ่มการขนส่ง และสืบเนื่องต่อไประหว่างสายการขนส่งตามปกติ และสิ้นสุดลงเมื่อได้ส่งมอบถึงคลังสินค้าของผู้รับ ณ ปลายทางที่ระบุไว้ในกรมธรรม์เช่นนี้ความรับผิดของโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อได้ส่งมอบสินค้าถึงคลังสินค้าของบริษัท ท. ซึ่งเป็นผู้รับแล้ว
แม้บริษัท น.จะมิใช่ผู้เชี่ยวชาญของศาล แต่ก็ได้ประกอบวิชาชีพเกี่ยวกับการตรวจสอบสินค้าทั่วไปที่ได้รับความเสียหายอันเนื่องจากภัยทางทะเล ป.เจ้าหน้าที่ของบริษัทดังกล่าวซึ่งเป็นผู้สำรวจความเสียหายและทำรายงานโดยให้กรรมการผู้จัดการของบริษัทลงลายมือชื่อกำกับไว้ได้ปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบความเสียหายมาเป็นเวลา 11 ปีแล้ว ศาลรับฟังรายงานดังกล่าวประกอบคำเบิกความของ ป.เพื่อคำนวณความเสียหายได้
ฟ้องของโจทก์มีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือให้จำเลยทั้งหกในฐานะผู้ขนส่งร่วมกันรับผิดในความเสียหายอันเนื่องมาจากการขนส่งสินค้า กับระบุว่าจำเลยทั้งหกเป็นผู้ว่าจ้างและรับจ้างทำการในหน้าที่รับขนส่งสินค้าและดำเนินงานร่วมกันในทางการที่ว่าจ้างให้ลุประสงค์ในการนำส่งสินค้าให้แก่บริษัท ท. โดยจำเลยทั้งหกมีหน้าที่ร่วมกันในการจัดการและการรับขนส่งอันเป็นการที่จะให้จำเลยทั้งหกรับผิดตามสัญญารับขนส่ง แม้จะระบุด้วยว่าจำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างและกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ก็มิได้หมายความว่าจะให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดต่อโจทก์ในฐานะนายจ้างกับลูกจ้าง. และการที่โจทก์อ้างถึงความประมาทเลินเล่อของจำเลยมาด้วยก็เพื่อจะให้จำเลยทั้งหกรับผิดตามสัญญารับขนส่ง มิใช่ให้รับผิดในฐานะละเมิด. ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616 ขึ้นมาปรับแก่คดีของจำเลยที่ 3 จึงหาใช่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นไม่
การรับประกันภัยสินค้ารายนี้แม้ตามกรมธรรม์ประกันภัยจะระบุว่าเป็นการรับประกันจากเมืองแชมเปอริโก ประเทศกัวเตมาลา ถึงกรุงเทพมหานคร แต่ก็มีเงื่อนไขให้ถือตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ด้านหลังของสัญญาหรือกรมธรรม์ประกันภัยด้วย เมื่อข้อกำหนดดังกล่าวระบุว่าการประกันภัยนี้ใช้บังคับเริ่มจากเวลาที่สินค้าออกจากคลังสินค้าหรือสถานที่เก็บสินค้าเพื่อเริ่มการขนส่ง และสืบเนื่องต่อไประหว่างสายการขนส่งตามปกติ และสิ้นสุดลงเมื่อได้ส่งมอบถึงคลังสินค้าของผู้รับ ณ ปลายทางที่ระบุไว้ในกรมธรรม์เช่นนี้ความรับผิดของโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อได้ส่งมอบสินค้าถึงคลังสินค้าของบริษัท ท. ซึ่งเป็นผู้รับแล้ว
แม้บริษัท น.จะมิใช่ผู้เชี่ยวชาญของศาล แต่ก็ได้ประกอบวิชาชีพเกี่ยวกับการตรวจสอบสินค้าทั่วไปที่ได้รับความเสียหายอันเนื่องจากภัยทางทะเล ป.เจ้าหน้าที่ของบริษัทดังกล่าวซึ่งเป็นผู้สำรวจความเสียหายและทำรายงานโดยให้กรรมการผู้จัดการของบริษัทลงลายมือชื่อกำกับไว้ได้ปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบความเสียหายมาเป็นเวลา 11 ปีแล้ว ศาลรับฟังรายงานดังกล่าวประกอบคำเบิกความของ ป.เพื่อคำนวณความเสียหายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2501/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขนส่งและผู้รับประกันภัย กรณีสินค้าเสียหายระหว่างขนส่ง การรับช่วงสิทธิเรียกร้อง
โจทก์ฟ้องให้จำเลยร่วมกันรับผิดในความเสียหายอันเนื่องจากการขนส่งสินค้าของบริษัท ท. ที่ได้เอาประกันภัยไว้แก่โจทก์ โดยโจทก์อ้างว่าได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัท ท. แล้ว จึงได้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้เรียกร้องให้จำเลยร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้คดีตอนหนึ่งว่าจำเลยรับจ้าง ต. ขนสินค้าไปส่งให้แก่บริษัท ท. จำเลยไม่มีความผิดต่อบริษัทดังกล่าว แม้โจทก์จะรับช่วงสิทธิมาก็ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ดังนี้ คดีจึงมีประเด็นข้อโต้เถียงเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ว่าจำเลยรับจ้างขนสินค้าให้แก่บริษัท ท. หรือ ต.
ฟ้องของโจทก์มีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือให้จำเลยทั้งหกในฐานะผู้ขนส่งร่วมกันรับผิดในความเสียหายอันเนื่องมาจากการขนส่งสินค้า กับระบุว่าจำเลยทั้งหกเป็นผู้ว่าจ้างและรับจ้างทำการในหน้าที่รับขนส่งสินค้าและดำเนินงานร่วมกันในทางการที่ว่าจ้างให้ลุประสงค์ในการนำส่งสินค้าให้แก่บริษัท ท. โดยจำเลยทั้งหกมีหน้าที่ร่วมกันในการจัดการและการรับขนส่งอันเป็นการที่จะให้จำเลยทั้งหกรับผิดตามสัญญารับขนส่ง แม้จะระบุด้วยว่าจำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างและกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ก็มิได้หมายความว่าจะให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดต่อโจทก์ในฐานะนายจ้างกับลูกจ้าง. และการที่โจทก์อ้างถึงความประมาทเลินเล่อของจำเลยมาด้วยก็เพื่อจะให้จำเลยทั้งหกรับผิดตามสัญญารับขนส่ง มิใช่ให้รับผิดในฐานะละเมิด. ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616 ขึ้นมาปรับแก่คดีของจำเลยที่ 3 จึงหาใช่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นไม่
การรับประกันภัยสินค้ารายนี้แม้ตามกรมธรรม์ประกันภัยจะระบุว่าเป็นการรับประกันจากเมืองแชมเปอริโก ประเทศกัวเตมาลา ถึงกรุงเทพมหานคร แต่ก็มีเงื่อนไขให้ถือตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ด้านหลังของสัญญาหรือกรมธรรม์ประกันภัยด้วยเมื่อข้อกำหนดดังกล่าวระบุว่า การประกันภัยนี้ใช้บังคับเริ่มจากเวลาที่สินค้าออกจากคลังสินค้าหรือสถานที่เก็บสินค้าเพื่อเริ่มการขนส่ง และสืบเนื่องต่อไประหว่างสายการขนส่งตามปกติ และสิ้นสุดลงเมื่อได้ส่งมอบถึงคลังสินค้าของผู้รับ ณ ปลายทางที่ระบุไว้ในกรมธรรม์เช่นนี้ ความรับผิดของโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อได้ส่งมอบสินค้าถึงคลังสินค้าของบริษัท ท. ซึ่งเป็นผู้รับแล้ว
แม้บริษัท น.จะมิใช่ผู้เชี่ยวชาญของศาล แต่ก็ได้ประกอบวิชาชีพเกี่ยวกับการตรวจสอบสินค้าทั่วไปที่ได้รับความเสียหายอันเนื่องจากภัยทางทะเล ป.เจ้าหน้าที่ของบริษัทดังกล่าวซึ่งเป็นผู้สำรวจความเสียหายและทำรายงานโดยให้กรรมการผู้จัดการของบริษัทลงลายมือชื่อกำกับไว้ได้ปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบความเสียหายมาเป็นเวลา 11 ปีแล้ว ศาลรับฟังรายงานดังกล่าวประกอบคำเบิกความของ ป.เพื่อคำนวณความเสียหายได้
ฟ้องของโจทก์มีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือให้จำเลยทั้งหกในฐานะผู้ขนส่งร่วมกันรับผิดในความเสียหายอันเนื่องมาจากการขนส่งสินค้า กับระบุว่าจำเลยทั้งหกเป็นผู้ว่าจ้างและรับจ้างทำการในหน้าที่รับขนส่งสินค้าและดำเนินงานร่วมกันในทางการที่ว่าจ้างให้ลุประสงค์ในการนำส่งสินค้าให้แก่บริษัท ท. โดยจำเลยทั้งหกมีหน้าที่ร่วมกันในการจัดการและการรับขนส่งอันเป็นการที่จะให้จำเลยทั้งหกรับผิดตามสัญญารับขนส่ง แม้จะระบุด้วยว่าจำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างและกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ก็มิได้หมายความว่าจะให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดต่อโจทก์ในฐานะนายจ้างกับลูกจ้าง. และการที่โจทก์อ้างถึงความประมาทเลินเล่อของจำเลยมาด้วยก็เพื่อจะให้จำเลยทั้งหกรับผิดตามสัญญารับขนส่ง มิใช่ให้รับผิดในฐานะละเมิด. ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616 ขึ้นมาปรับแก่คดีของจำเลยที่ 3 จึงหาใช่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นไม่
การรับประกันภัยสินค้ารายนี้แม้ตามกรมธรรม์ประกันภัยจะระบุว่าเป็นการรับประกันจากเมืองแชมเปอริโก ประเทศกัวเตมาลา ถึงกรุงเทพมหานคร แต่ก็มีเงื่อนไขให้ถือตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ด้านหลังของสัญญาหรือกรมธรรม์ประกันภัยด้วยเมื่อข้อกำหนดดังกล่าวระบุว่า การประกันภัยนี้ใช้บังคับเริ่มจากเวลาที่สินค้าออกจากคลังสินค้าหรือสถานที่เก็บสินค้าเพื่อเริ่มการขนส่ง และสืบเนื่องต่อไประหว่างสายการขนส่งตามปกติ และสิ้นสุดลงเมื่อได้ส่งมอบถึงคลังสินค้าของผู้รับ ณ ปลายทางที่ระบุไว้ในกรมธรรม์เช่นนี้ ความรับผิดของโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อได้ส่งมอบสินค้าถึงคลังสินค้าของบริษัท ท. ซึ่งเป็นผู้รับแล้ว
แม้บริษัท น.จะมิใช่ผู้เชี่ยวชาญของศาล แต่ก็ได้ประกอบวิชาชีพเกี่ยวกับการตรวจสอบสินค้าทั่วไปที่ได้รับความเสียหายอันเนื่องจากภัยทางทะเล ป.เจ้าหน้าที่ของบริษัทดังกล่าวซึ่งเป็นผู้สำรวจความเสียหายและทำรายงานโดยให้กรรมการผู้จัดการของบริษัทลงลายมือชื่อกำกับไว้ได้ปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบความเสียหายมาเป็นเวลา 11 ปีแล้ว ศาลรับฟังรายงานดังกล่าวประกอบคำเบิกความของ ป.เพื่อคำนวณความเสียหายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1292-1293/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตรวจพิสูจน์ลายมือ, ฟ้องเคลือบคลุม, การแก้ไขฟ้อง, บัญชีทรัพย์มรดก, ผู้เชี่ยวชาญที่ศาลตั้ง
การส่งเอกสารไปให้ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจพิสูจน์ลายมือนั้น เมื่อผู้เชี่ยวชาญคนใดของกองพิสูจน์หลักฐานทำการตรวจพิสูจน์ได้ผลประการใดและทำรายงานความเห็นส่งมายังศาลแล้ว ก็เป็นการเพียงพอสำหรับปัญหาที่โต้เถียงกัน ไม่จำต้องส่งไปให้ตรวจพิสูจน์ใหม่ เพราะเป็นการตรวจพิสูจน์ซ้ำ และไม่น่าจะมีผลเปลี่ยนแปลงจากเดิม
ผู้ตายกู้เงินโจทก์ไปหลายคราว แต่ทำสัญญากู้รวมกันให้โจทก์ไว้ฉบับเดียวตามที่โจทก์นำมาฟ้อง ดังนี้ โจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายฟ้องว่าผู้ตายกู้เงินโจทก์ไปกี่คราวคราวละเท่าใด ทำหนังสือกู้ลงวันเดือนปีใด เพียงแต่บรรยายฟ้องเกี่ยวกับสัญญากู้ฉบับที่นำมาฟ้องก็พอ
เมื่อศาลอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้อง ย่อมเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา หากจำเลยจะอุทธรณ์คัดค้าน ต้องยื่นคำแถลงคัดค้านไว้
บัญชีทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564วรรค 1 ซึ่งนำมาใช้กับการจัดการมรดกตามมาตรา 1730 ย่อมหมายถึงบัญชีทรัพย์มรดกซึ่งได้จัดทำขึ้นโดยผู้จัดการมรดก ภายหลังที่ได้รับแต่งตั้งจากศาลให้เป็นผู้จัดการมรดกแล้ว หาได้หมายถึงบัญชีทรัพย์มรดกที่ทำยื่นพร้อมคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกไม่
เมื่อคู่ความฝ่ายใดร้องขอให้ศาลตั้งผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจเอกสารและศาลมีคำสั่งตั้งตามขอแล้ว ผู้เชี่ยวชาญนั้นจึงเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ศาลตั้ง ศาลย่อมรับฟังรายงานความเห็นของผู้เชี่ยวชาญนั้นได้ โดยไม่ต้องเรียกให้มาสาบานหรือปฏิญาณรับรองรายงานนั้นอีก
ผู้ตายกู้เงินโจทก์ไปหลายคราว แต่ทำสัญญากู้รวมกันให้โจทก์ไว้ฉบับเดียวตามที่โจทก์นำมาฟ้อง ดังนี้ โจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายฟ้องว่าผู้ตายกู้เงินโจทก์ไปกี่คราวคราวละเท่าใด ทำหนังสือกู้ลงวันเดือนปีใด เพียงแต่บรรยายฟ้องเกี่ยวกับสัญญากู้ฉบับที่นำมาฟ้องก็พอ
เมื่อศาลอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้อง ย่อมเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา หากจำเลยจะอุทธรณ์คัดค้าน ต้องยื่นคำแถลงคัดค้านไว้
บัญชีทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564วรรค 1 ซึ่งนำมาใช้กับการจัดการมรดกตามมาตรา 1730 ย่อมหมายถึงบัญชีทรัพย์มรดกซึ่งได้จัดทำขึ้นโดยผู้จัดการมรดก ภายหลังที่ได้รับแต่งตั้งจากศาลให้เป็นผู้จัดการมรดกแล้ว หาได้หมายถึงบัญชีทรัพย์มรดกที่ทำยื่นพร้อมคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกไม่
เมื่อคู่ความฝ่ายใดร้องขอให้ศาลตั้งผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจเอกสารและศาลมีคำสั่งตั้งตามขอแล้ว ผู้เชี่ยวชาญนั้นจึงเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ศาลตั้ง ศาลย่อมรับฟังรายงานความเห็นของผู้เชี่ยวชาญนั้นได้ โดยไม่ต้องเรียกให้มาสาบานหรือปฏิญาณรับรองรายงานนั้นอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1292-1293/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตรวจลายมือเอกสาร, การแก้ไขฟ้อง, บัญชีทรัพย์มรดก, และการรับฟังรายงานผู้เชี่ยวชาญ
การส่งเอกสารไปให้ผู้เชียวชาญกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจพิสูจน์ลายมือนั้น เมื่อผู้เชียวชาญคนใดของกองพิสูจน์หลักฐานทำการตรวจพิสูจน์ได้ผลประการใดและทำรายงานความเห็นส่งมายังศาลแล้ว ก็เป็นการเพียงพอสำหรับปัญหาที่โต้เถียงกัน ไม่จำต้องส่งไปให้ตรวจพิสูจน์ใหม่ เพราะเป็นการเพียงพอสำหรับปัญหาที่โต้เถียงกัน ไม่จำต้องส่งไปให้ตรวจพิสูจน์ใหม่ เพราะเป็นการตรวจพิสูจน์ซ้ำและไม่น่าจะมีผลเปลี่ยนแปลงจากเดิม
ผู้ตายกู้เงินโจทก์ไปหลายคราว แต่ทำสัญญากู้รวมกันให้โจทก์ไว้ฉบับเดียวตามที่โจทก์นำมาฟ้อง ดังนี้ โจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายฟ้องว่าผู้ตายกู้เงินโจทก์ไปกี่คราว คราวละเท่าใด ทำหนังสือกู้ลงวันเดือนปี เพียงแต่บรรยายฟ้องเกี่ยวกับสัญญากู้ฉบับที่นำมาฟ้องก็พอ
เมื่อศาลอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้อง ย่อมเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา หากจำเลยจะอุทธรณ์คัดค้าน ต้องยื่นคำแถลงคัดค้านไว้
บัญชีทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564 วรรค 1 ซึ่งนำมารใช้กับการจัดการมรดกตามมาตรา 1730 ย่อมหมายถึงบัญชีทรัพย์มรดกซึ่งได้จัดทำขึ้น โดยผู้จัดการมรดก ภายหลังที่ได้รับแต่งตั้งจากศาลให้เป็นผู้จัดการมรดกแล้ว หาได้หมายถึงบัญชีทรัพย์มรดกที่ทำยื่นพร้อมคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกไม่
เมื่อคู่ความฝ่ายใดร้องขอให้ศาลตั้งผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจเอกสารและศาลมีคำสั่งตั้งตามขอแล้ว ผู้เชี่ยวชาญนั้นจึงเป็นผู้เชียวชาญที่ศาลตั้ง ศาลย่อมรับฟังรายงานความเห็นของผู้เชียวชาญนั้นได้ โดยไม่ต้องเรียกให้มาสาบานหรือปฏิญาณรับรองรายงานนั้นอีก
ผู้ตายกู้เงินโจทก์ไปหลายคราว แต่ทำสัญญากู้รวมกันให้โจทก์ไว้ฉบับเดียวตามที่โจทก์นำมาฟ้อง ดังนี้ โจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายฟ้องว่าผู้ตายกู้เงินโจทก์ไปกี่คราว คราวละเท่าใด ทำหนังสือกู้ลงวันเดือนปี เพียงแต่บรรยายฟ้องเกี่ยวกับสัญญากู้ฉบับที่นำมาฟ้องก็พอ
เมื่อศาลอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้อง ย่อมเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา หากจำเลยจะอุทธรณ์คัดค้าน ต้องยื่นคำแถลงคัดค้านไว้
บัญชีทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564 วรรค 1 ซึ่งนำมารใช้กับการจัดการมรดกตามมาตรา 1730 ย่อมหมายถึงบัญชีทรัพย์มรดกซึ่งได้จัดทำขึ้น โดยผู้จัดการมรดก ภายหลังที่ได้รับแต่งตั้งจากศาลให้เป็นผู้จัดการมรดกแล้ว หาได้หมายถึงบัญชีทรัพย์มรดกที่ทำยื่นพร้อมคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกไม่
เมื่อคู่ความฝ่ายใดร้องขอให้ศาลตั้งผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจเอกสารและศาลมีคำสั่งตั้งตามขอแล้ว ผู้เชี่ยวชาญนั้นจึงเป็นผู้เชียวชาญที่ศาลตั้ง ศาลย่อมรับฟังรายงานความเห็นของผู้เชียวชาญนั้นได้ โดยไม่ต้องเรียกให้มาสาบานหรือปฏิญาณรับรองรายงานนั้นอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1292-1293/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตรวจพิสูจน์เอกสาร, ฟ้องเคลือบคลุม, การแก้ไขฟ้อง, บัญชีทรัพย์มรดก, และการรับฟังความเห็นผู้เชี่ยวชาญ
การส่งเอกสารไปให้ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจพิสูจน์ลายมือนั้น. เมื่อผู้เชี่ยวชาญคนใดของกองพิสูจน์หลักฐานทำการตรวจพิสูจน์ได้ผลประการใดและทำรายงานความเห็นส่งมายังศาลแล้ว ก็เป็นการเพียงพอสำหรับปัญหาที่โต้เถียงกัน. ไม่จำต้องส่งไปให้ตรวจพิสูจน์ใหม่. เพราะเป็นการตรวจพิสูจน์ซ้ำ.และไม่น่าจะมีผลเปลี่ยนแปลงจากเดิม.
ผู้ตายกู้เงินโจทก์ไปหลายคราว แต่ทำสัญญากู้รวมกันให้โจทก์ไว้ฉบับเดียวตามที่โจทก์นำมาฟ้อง. ดังนี้ โจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายฟ้องว่าผู้ตายกู้เงินโจทก์ไปกี่คราวคราวละเท่าใด ทำหนังสือกู้ลงวันเดือนปีใด. เพียงแต่บรรยายฟ้องเกี่ยวกับสัญญากู้ฉบับที่นำมาฟ้องก็พอ.
เมื่อศาลอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้อง ย่อมเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา หากจำเลยจะอุทธรณ์คัดค้าน ต้องยื่นคำแถลงคัดค้านไว้.
บัญชีทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564วรรค 1 ซึ่งนำมาใช้กับการจัดการมรดกตามมาตรา 1730.ย่อมหมายถึงบัญชีทรัพย์มรดกซึ่งได้จัดทำขึ้นโดยผู้จัดการมรดก ภายหลังที่ได้รับแต่งตั้งจากศาลให้เป็นผู้จัดการมรดกแล้ว. หาได้หมายถึงบัญชีทรัพย์มรดกที่ทำยื่นพร้อมคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกไม่.
เมื่อคู่ความฝ่ายใดร้องขอให้ศาลตั้งผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจเอกสารและศาลมีคำสั่งตั้งตามขอแล้ว. ผู้เชี่ยวชาญนั้นจึงเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ศาลตั้ง ศาลย่อมรับฟังรายงานความเห็นของผู้เชี่ยวชาญนั้นได้. โดยไม่ต้องเรียกให้มาสาบานหรือปฏิญาณรับรองรายงานนั้นอีก.
ผู้ตายกู้เงินโจทก์ไปหลายคราว แต่ทำสัญญากู้รวมกันให้โจทก์ไว้ฉบับเดียวตามที่โจทก์นำมาฟ้อง. ดังนี้ โจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายฟ้องว่าผู้ตายกู้เงินโจทก์ไปกี่คราวคราวละเท่าใด ทำหนังสือกู้ลงวันเดือนปีใด. เพียงแต่บรรยายฟ้องเกี่ยวกับสัญญากู้ฉบับที่นำมาฟ้องก็พอ.
เมื่อศาลอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้อง ย่อมเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา หากจำเลยจะอุทธรณ์คัดค้าน ต้องยื่นคำแถลงคัดค้านไว้.
บัญชีทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564วรรค 1 ซึ่งนำมาใช้กับการจัดการมรดกตามมาตรา 1730.ย่อมหมายถึงบัญชีทรัพย์มรดกซึ่งได้จัดทำขึ้นโดยผู้จัดการมรดก ภายหลังที่ได้รับแต่งตั้งจากศาลให้เป็นผู้จัดการมรดกแล้ว. หาได้หมายถึงบัญชีทรัพย์มรดกที่ทำยื่นพร้อมคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกไม่.
เมื่อคู่ความฝ่ายใดร้องขอให้ศาลตั้งผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจเอกสารและศาลมีคำสั่งตั้งตามขอแล้ว. ผู้เชี่ยวชาญนั้นจึงเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ศาลตั้ง ศาลย่อมรับฟังรายงานความเห็นของผู้เชี่ยวชาญนั้นได้. โดยไม่ต้องเรียกให้มาสาบานหรือปฏิญาณรับรองรายงานนั้นอีก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 665/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานลักทรัพย์: เลือกใช้บทลงโทษเบากว่าเมื่อกฎหมายใหม่ไม่ถือเป็นเหตุฉกรรจ์
เหตุเกิดในขณะใช้กฎหมายลักษณะอาญา จำเลยทั้ง 4 คน สมคบกันลักของใช้สำหรับราชการ และลักในเวลาค่ำคืน แต่ประมวลกฎหมายอาญา ม.335 มิได้บัญญัติว่าการลักของใช้ในราชการเป็นเหตุฉกรรจ์ของการลักทรัพย์ จึงลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. 294 (4) ไม่ได้ (เทียบฎีกาที่ 535/2500)
แต่ว่าโดยที่การกระทำของจำเลยยังเป็นเหตุฉกรรจ์ ของการลักทรัพย์อยู่อีก 2ประการคือ ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน และร่วมกระทำผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ซึ่งประมวลกฎหมาย ม. 335 ยังบัญญัติไว้ให้เป็นเหตุฉกรรจ์อยู่ในอนุมาตรา (1) และ (7) ซึ่งตรงกับกฎหมายลักษณะอาญา ม.293(1) และ (11) และโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. 293 เบากว่าโทษในประมวลกฎหมายอาญา ม.335 เช่นนี้ ต้องวางบทลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. 293 (1) และ (11)
ขณะนี้ผลแห่งการตรวจสอบด้วยเครื่องจับเท็จ ยังมิใช่เป็นพยานหลักฐานที่ศาลยุติธรรมจะรับฟังเป็นยุติ
แต่ว่าโดยที่การกระทำของจำเลยยังเป็นเหตุฉกรรจ์ ของการลักทรัพย์อยู่อีก 2ประการคือ ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน และร่วมกระทำผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ซึ่งประมวลกฎหมาย ม. 335 ยังบัญญัติไว้ให้เป็นเหตุฉกรรจ์อยู่ในอนุมาตรา (1) และ (7) ซึ่งตรงกับกฎหมายลักษณะอาญา ม.293(1) และ (11) และโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. 293 เบากว่าโทษในประมวลกฎหมายอาญา ม.335 เช่นนี้ ต้องวางบทลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. 293 (1) และ (11)
ขณะนี้ผลแห่งการตรวจสอบด้วยเครื่องจับเท็จ ยังมิใช่เป็นพยานหลักฐานที่ศาลยุติธรรมจะรับฟังเป็นยุติ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 665/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานลักทรัพย์: การปรับบทลงโทษเมื่อกฎหมายใหม่ไม่ถือว่าการลักของใช้ราชการเป็นเหตุฉกรรจ์
เหตุเกิดในขณะใช้กฎหมายลักษณะอาญา จำเลยทั้ง 4 คนสมคบกันลักของใช้สำหรับราชการ และลักในเวลาค่ำคืน แต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 มิได้บัญญัติว่าการลักของใช้ในราชการเป็นเหตุฉกรรจ์ของการลักทรัพย์ จึงลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 294(4) ไม่ได้(เทียบฎีกาที่ 535/2500) แต่ว่าโดยที่การกระทำของจำเลยยังเป็นเหตุฉกรรจ์ของการลักทรัพย์อยู่อีก 2 ประการ คือ ลักทรัพย์ในเวลากลางคืนและร่วมกระทำผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปซึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ยังบัญญัติไว้ให้เป็นเหตุฉกรรจ์อยู่ในอนุมาตรา (1) และ (7) ซึ่งตรงกับกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 293(1) และ (11) และโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 293 เบากว่าโทษในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 เช่นนี้ ต้องวางบทลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 293(1) และ(11)
ขณะนี้ผลแห่งการตรวจสอบด้วยเครื่องจับเท็จ ยังมิใช่เป็นพยานหลักฐานทีศาลยุติธรรมจะรับฟังเป็นยุติ
ขณะนี้ผลแห่งการตรวจสอบด้วยเครื่องจับเท็จ ยังมิใช่เป็นพยานหลักฐานทีศาลยุติธรรมจะรับฟังเป็นยุติ