คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ประวัติ ปัตตพงศ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,715 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1002/2492

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแบ่งสินสมรสต้องระบุสินเดิมชัดเจน หากไม่ระบุถือเป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องขอแบ่งสินสมรสโดยกล่าวว่ามีสินเดิม แต่ไม่ได้ระบุว่ามีสินเดิมอะไรบ้างนั้น ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
(อ้างฎีกาที่ 587/2487)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1000/2492

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับของโจร: เพียงรับทรัพย์ที่รู้ว่าได้มาจากการกระทำผิด ก็มีความผิดตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องที่เกิดเหตุรวม 2 ตำบล ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยได้กระทำผิดในตำบลหนึ่งนั้น ไม่เรียกว่า ข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาต่างกับฟ้อง ลงโทษจำเลยได้
การรับของโจร ไม่จำต้องรับไว้จากคนร้ายที่ลักมาโดยตรง เพียงแต่รับไว้โดยรู้ว่าทรัพย์นั้นได้มาโดยการกระทำผิดกฎหมาย ก็มีความผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญา มาตรา 321 ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 974/2492

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีแพ่งทั้งจากละเมิดและผิดสัญญา ศาลต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริงและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยไม่จำกัดว่าโจทก์ต้องเลือกว่าจะฟ้องทางใด
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินไป 1,140 บาทโดยเอาโฉนดปลอมมาให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกัน จนถึงกับฟ้องคดีอาญา ศาลพิพากษาจำคุกจำเลยและให้จำเลยใช้เงิน 1,140 บาทแก่โจทก์ จำเลยได้นำเงิน 1,140 บาทไปชำระกองหมายตามหมายบังคับคดีแล้ว โจทก์จึงฟ้องเรียกดอกเบี้ยกับค่าธรรมเนียมและค่าเสียหายอย่างอื่นจากจำเลยอีก ดังนี้ ย่อมไม่เป็นฟ้องซ้ำเพราะคดีก่อนอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญา และขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 1,140 บาทให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายตามอำนาจที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 ให้ไว้และโจทก์ได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการด้วย โจทก์ยังไม่ได้เรียกค่าเสียหาย จึงฟ้องคดีนี้ได้อนึ่งฟ้องดังกล่าวนี้ไม่ใช่เป็นฟ้องทางลักษณะสัญญาโดยตรงในอันที่ศาลจะยกฟ้องเสียได้ โดยเห็นว่าสัญญากู้เป็นโมฆะแล้ว
ในทางแพ่ง กฎหมายไม่บังคับว่าการฟ้องคดีที่เป็นได้ทั้งละเมิดและผิดสัญญานั้นโจทก์จะต้องเลือกเอาทางใดทางหนึ่ง โจทก์จะฟ้องโดยบรรยายข้อเท็จจริงและเรียกค่าเสียหายมาเฉยๆ ก็ได้ ศาลมีหน้าที่ต้องเอาตัวบทกฎหมายมาปรับแก่คดีนั้นว่า ตามฟ้องโจทก์นั้นมีกฎหมายให้โจทก์ได้ค่าเสียหายหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 974/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ทั้งจากละเมิดและผิดสัญญา แม้สัญญาเป็นโมฆะ ศาลพิจารณาจากข้อเท็จจริงและกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินไป 1140 บาทโดยเอาโฉนดปลอมมาให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกัน จนถึงกับฟ้องคดีอาญา ศาลพิพากษาจำคุกจำเลยและให้จำเลยใช้เงิน 1140 บาท แก่โจทก์ จำเลยได้นำเงิน 1140 บาทไปชำระกองหมายตามหมายบังคับคดีแล้ว โจทก์จึงฟ้องเรียกดอกเบี้ยกับค่าธรรมเนียมและค่าเสียหายอย่างอื่นจากจำเลยอีก ดังนี้ ย่อมไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะคดีก่อนอัยยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญา และขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 1140 บาทให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายตามอำนาจที่ ป.ม.วิ.อาญามาตรา 43 ให้ไว้และโจทก์ได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับอัยยการด้วย โจทก์ยังไม่ได้เรียกค่าเสียหาย จีงฟ้องคดีนี้ได้ อนึ่งฟ้องดังกล่าวนี้ไม่ใช่เป็นฟ้องทางลักษณะสัญญาโดยตรง ในอันที่ศาลจะยกฟ้องเสียได้ โดยเห็นว่าสัญญากู้เป็นโมฆะแล้ว
ในทางแพ่ง กฎหมายไม่บังคับว่า การฟ้องคดีที่ทำได้ทั้งละเมิดและผิดสัญญานั้นโจทก์จะต้องเลือกเอาทางใดทางหนึ่ง โจทก์จะฟ้องโดยบรรยายข้อเท็จจริงและเรียกค่าเสียหายมาเฉย ๆ ก็ได้ ศาลมีหน้าที่ต้องนำเอาตัวบทกฎหมายมาปรับแก่คดีนั้นว่า ตามฟ้องโจทก์นั้นมีกฎหมายให้โจทก์ได้ค่าเสียหายตามฟ้องหรือไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 973/2492

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทมรดก: สัญญาต่างตอบแทนกับการถือครองที่ดินโดยทายาท ผู้รับมรดกมีหน้าที่โอนกรรมสิทธิ์
โจทก์ฟ้องว่า ช. บิดาโจทก์จำเลยได้เอาที่ดินเนื้อที่ 19 ไร่เศษมาตีเป็นทองคำหมั้นให้แก่ ข. 6 ไร่ในเวลาที่โจทก์กับ ข. สมรสกัน. และกองทุนให้โจทก์กับข. อีก 4 ไร่ รวมเป็น 10 ไร่. โจทก์กับ ข.มีบุตรคนหนึ่ง. ข. ตาย ที่ 10 ไร่จึงตกได้แก่โจทก์และบุตร. จึงขอให้ศาลแสดงว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่นา 10 ไร่ ห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้อง. ดังนี้ ต้องแปลฟ้องโจทก์ว่า โจทก์มิได้ฟ้องขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้รับมรดก ช.ให้โอนที่ให้แก่โจทก์ตามสัญญาที่ช.ทำไว้กับโจทก์และ ข.. แต่ฟ้องโดยถือว่าที่ตกเป็นของ ข. และโจทก์แล้ว 10 ไร่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 973/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องร้องเกี่ยวกับที่ดินที่ตกเป็นของทายาท โดยอ้างสัญญาต่างตอบแทน มิใช่การบังคับตามสัญญาหลังมรณะ
โจทก์ฟ้องว่า ช.บิดาโจทก์จำเลยได้เอาที่ดินเนื้อที่ 19 ไร่เศษมาตีเป็นทองคำหมั้นให้แก่ ข. 6 ไร่ในเวลาที่โจทก์กับ ข.สมรสกัน และกองทุนให้โจทก์กับ ข. อีก 4 ไร่ รวมเป็น 10 ไร่ โจทก์กับ ข.มีบุตรคนหนึ่ง ข.ตาย ที่ 10 ไร่จึงตกได้แก่โจทก์และบุตร จึงขอให้ศาลแสดงว่าโจทก์มีกรรมสิทธิในที่นา 10 ไร่ ห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้อง ดังนี้ ต้องแปลฟ้องโจทก์ว่า โจทก์มิได้ฟ้องขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้รับมฤดก ช. ให้โอนที่ให้แก่โจทก์ตามสัญญาที่ ช.ทำไว้กับโจทก์และ ข. แต่ฟ้องโดยถือว่าที่ตกเป็นของ ข. และโจทก์แล้ว 10 ไร่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 969/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุเมื่อถูกทำร้ายด้วยอาวุธอันตราย
ก. ไปชวนก่อเหตุถึงบ้านและใช้ขวานทำร้าย ร. ก่อน ร.คว้าไม้กระทู้รั้วไล่ไปเพื่อจับกุม พอทันกัน ก.หันกลับมาเงื้อขวานจะฟัน ร.อีก ร. จึงใช้ไม้กระทู้รั้วตี ก. บาดเจ็บสาหัส ดังนี้ การกระทำของ ร. จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัว แต่พอสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 969/2492

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวตามกฎหมายอาญา: การกระทำเพื่อป้องกันการถูกทำร้ายด้วยอาวุธ
ก. ไปชวนก่อเหตุถึงบ้านและใช้ขวานทำร้าย ร.ก่อนร. คว้าไม้กระทู้รั้วไล่ไปเพื่อจับกุมพอทันกัน ก. หันกลับมาเงื้อขวานจะฟัน ร. อีกร.จึงใช้ไม้กระทู้รั้วตีก.บาดเจ็บสาหัสดังนี้การกระทำของร. จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัวแต่พอสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 961/2492

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความและการบังคับตามสิทธิในมรดก หากศาลบังคับตามสัญญาประนีประนอมแล้ว ประเด็นเรื่องมรดกย่อมสิ้นสุด
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 291 ร่วมกับท. ท.ตายมีผู้รับมรดกส่วนของ ท.ต่อมาเป็นทอดๆจนถึงด. เมื่อ ด. ตาย โจทก์,จำเลยเป็นผู้รับมรดกของด ร่วมกันและได้ทำสัญญาประนีประนอมกันคือจำเลยยอมแบ่งที่ดินโฉนดที่ 505 ตามเขตที่โจทก์ปกครองให้โจทก์และโจทก์ยอมให้จำเลยรับมรดกของ ด. แต่ผู้เดียว บัดนี้จำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอม โจทก์จึงฟ้องโดยมีคำขอท้ายฟ้อง ดังนี้
1. ให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความหรือมิฉะนั้นให้ถอนชื่อจำเลยออกจากโฉนดที่ 291 ในฐานะผู้รับมรดกของด.
2. ขอให้ที่นาส่วนของ ด. เป็นมรดกตามเดิม
3. แบ่งที่นามรดกของ ด. ให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง
ดังนี้ ต้องแปลว่าโจทก์ขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมเป็นข้อต้น ถ้าศาลไม่บังคับให้ จึงขอให้บังคับจำเลยตามคำขอในข้ออื่นๆ อันเกี่ยวกับมรดกของ ด.ฉะนั้นเมื่อศาลบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมแล้วก็เป็นอันไม่มีประเด็นจะต้องไปชี้ในเรื่องที่ดินโฉนดที่ 291 อันเกี่ยวกับมรดกของ ด. อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 961/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาปราณีประนอมยอมความและการบังคับตามสัญญา หากศาลบังคับตามสัญญาแล้ว ประเด็นเรื่องมรดกย่อมสิ้นสุด
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิที่ดินโฉนดที่ 291 ร่วมกับ ท. ท.ตายมีผู้รับมฤดกส่วนของ ท.ต่อมาเป็นทอด ๆ จนถึง ด. เมื่อ ด. ตาย โจทก์,จำเลยเป็นผู้รับมฤดกของ ด. ร่วมกันและได้ทำสัญญาปราณีประนอมกัน คือ จำเลยยอมแบ่งที่ดินโฉนดที่ 505 ตามเขตต์ที่โจทก์ปกครองให้โจทก์ และโจทก์ยอมให้จำเลยรับมฤดกของ ด.แต่ผู้เดียว บัดนี้จำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญาปราณีประนอม โจทก์จึงฟ้องโดยมีคำขอท้ายฟ้อง ดังนี้
1. ให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาปราณีประนอมยอมความ หรือมิฉะนั้นให้ถอนชื่อจำเลยออกจากโฉนดที่ 291 ในฐานะผู้รับมฤดกของ ด.
2. ขอให้ที่นาส่วนของ ด.เป็นมฤดกตามเดิม
3. แบ่งที่นามฤดกของ ด. ให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง
ดังนี้ ต้องแปลว่าโจทก์ขอให้บังคับจำเลยปฏิบัตตามสัญญาปราณีประนอมเป็นข้อต้น ถ้าศาลไม่บังคับให้ จึงขอให้บังคับจำเลยตามคำขอในข้ออื่น ๆ อันเกี่ยวกับมฤดกของ ด. ฉะนั้นเมื่อศาลบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาปราณีประนอมแล้ว ก็เป็นอันไม่มีประเด็นจะต้องไปชี้ในเรื่องที่ดินโฉนดที่ 291 อันเกี่ยวกับมฤดกของ ด. อีก.
of 172