คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ประวัติ ปัตตพงศ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,715 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1024/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสมคบคิดฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไม่เจตนา ศาลพิจารณาโทษจำเลยแต่ละคนตามบทบาท
ฟ้องว่าฆ่าคนตายโดยเจตนา ลงโทษฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามที่พิจารณาได้ความนั้นได้
จำเลยที่ 2 เอาไม้ตีนายหล่า และจำเลยที่ 2 กับที่ 3 เข้าจับแขนนายหล่าไว้คนละข้าง แล้วจำเลยที่ 1 เอามีดเข้าแทงนายหล่า นายหล่าอยู่ได้ 2 คืนก็ตายเพราะแผลนั้น เหตุเกิดจากการทะเลาะกัน เช่นนี้ถือว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 สมคบกับจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา แต่กำหนดโทษควรให้ลดหลั่นกัน
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 251,63 จำคุก 4 ปี โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ 1ผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 249 จำคุก 10 ปี จำเลยฝ่ายเดียวฎีกา ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยที่ 1 ผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 251 จำคุก 6 ปี เกินกว่ากำหนดโทษของศาลชั้นต้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1005/2501

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายคดีอาญาเมื่อจำเลยหลบหนีและไม่สามารถนำตัวมาพิจารณาได้
ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลยเพื่อเอาตัวมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่ไม่ได้ตัวมาภายใน 1 เดือน จึงอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลับหลังจำเลย ทนายจำเลยยื่นฎีกาแทนจำเลย เมื่อปรากฏว่าไม่มีตัวจำเลยเช่นนี้ ศาลฎีกาจะพิจารณาคดีของจำเลยผู้นี้ยังไม่ได้และกรณีไม่เข้า มาตรา 201 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6)พ.ศ.2499 มาตรา 15 เพราะไม่ใช่เรื่องที่ส่งสำเนาฎีกาให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ ต้องจำหน่ายคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1005/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายคดีอาญาเมื่อจำเลยหลบหนีและไม่สามารถนำตัวมาพิจารณาได้
ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลยเพื่อเอาตัวมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่ไม่ได้ตัวมาภายใน 1 เดือน จึงอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลับหลังจำเลย ทนายจำเลยยื่นฎีกาแทนจำเลย เมื่อปรากฎว่าไม่มีตัวจำเลยเช่นนี้ ศาลฎีกาจะพิจารณาคดีของจำเลยผู้นี้ยังไม่ได้ และกรณีไม่เข้า มาตรา 201 ป.วิ.อาญา ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2499 มาตรา 15 เพราะไม่ใช่เรื่องที่ส่งสำเนาฎีกาให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ ต้องจำหน่ายคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 991/2501

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งสินสมรสหลังการร้าง และการเปลี่ยนแปลงทรัพย์สินระหว่างการร้าง โดยใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5
สมรสกันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ขณะจะขาดจากการสมรสใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 แล้ว เหตุที่จะขาดจากการสมรสต้องใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 บังคับ และการที่สามีภริยามาร้างกันระหว่างใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 สามีขายทรัพย์สินสมรสไปแล้วซื้อทรัพย์อื่นมาแทนทรัพย์นั้นก็ต้องเป็นสินสมรส แต่ทรัพย์ที่สามีหาได้มาระหว่างร้างกันไม่เป็นสินสมรส
ในชั้นฎีกา ผู้ฎีกาต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในชั้นฎีกา ถ้าทรัพย์ที่เรียกร้องมีหลายอย่างตีราคารวมกันมา แต่ผู้ฎีกาฎีกาเฉพาะทรัพย์บางอย่างการคำนวณค่าขึ้นศาลศาลควรจัดการตีราคาทรัพย์แยกจากกันก่อนแล้วจึงเรียกค่าขึ้นศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 991/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งสินสมรสหลังการแยกกันอยู่และการซื้อทรัพย์สินแทนเดิมตาม ป.พ.พ. บรรพ 5
สมรสก่อนใช้ ป.พ.พ.บรรพ 5 ขณะจะขาดจากการสมรสใช้ ป.พ.พ.บรรพ 5 แล้ว เหตุที่จะขาดจากการสมรสต้องใช้ ป.พ.พ.บรรพ 5 บังคับและการที่สามีภริยามาร้างกันระหว่างใช้ ป.พ.พ.บรรพ 5 สามีขายทรัพย์สินสมรสไปแล้วซื้อทรัพย์อื่นมาแทน ทรัพย์นั้นก็ต้องเป็นสินสมรส แต่ทรัพย์ที่สามีหาได้มาระหว่างร้างกันไม่เป็นสินสมรส
ในชั้นฎีกา ผู้ฎีกาต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในชั้นฎีกา ถ้าทรัพย์ที่เรียกร้องมีหลายอย่างตีราคารวมกันมา แต่ผู้ฎีกา ๆ เฉพาะทรัพย์บางอย่าง การคำนวณค่าขึ้นศาลศาลควรจัดการตีราคาทรัพย์แยกจากกันก่อน แล้วจึงเรียกค่าขึ้นศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 979/2501

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดยักยอก: การกระทำต้องแสดงการเบียดบังทรัพย์โดยทุจริต ไม่ใช่แค่การไม่ยอมไถ่คืน
โจทก์บรรยายฟ้องความผิดฐานยักยอกระบุการกระทำที่เป็นความผิดเฉพาะแต่ตอนที่ว่า "เจ้าทรัพย์ได้ไปขอไถ่แหวนเพชรที่จำนำจำเลยไว้จำเลยไม่ยอมให้ไถ่" เช่นนี้ ไม่เป็นการแสดงว่าจำเลยเบียดบังที่จะเอาทรัพย์(แหวนเพชร)นั้นเป็นของตนโดยทุจริต หากเป็นแต่เพียงแสดงว่าจำเลยผิดสัญญาในทางแพ่งเท่านั้น ส่วนข้อความที่บรรยายในฟ้องตอนต้นที่ว่า "จำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังเอาแหวนเพชรซึ่งได้รับจำนำไว้เป็นประโยชน์ของตนเสีย" นั้น เป็นเพียงข้อความที่แสดงเจตนาของจำเลยว่าจะยักยอกทรัพย์เท่านั้น หาใช่การกระทำไม่
เมื่อฟ้องของโจทก์ระบุการกระทำผิดแต่เพียงว่าเจ้าทรัพย์ได้ไปขอไถ่แหวนเพชรที่จำนำจำเลยไว้ จำเลยไม่ยอมให้ไถ่ เช่นนี้ โจทก์จะนำสืบถึงการกระทำอย่างอื่นเพื่อแสดงว่าจำเลยเบียดบังเอาแหวนเพชรเป็นของตนก็ย่อมไม่ได้ เพราะเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น
เมื่อฟ้องของโจทก์แม้จะสืบได้ความก็ลงโทษจำเลยไม่ได้ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์มาแต่ต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 979/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยักยอกทรัพย์: การกระทำต้องแสดงการเบียดบังทรัพย์เป็นของตน ไม่ใช่แค่ไม่ยอมไถ่คืน
โจทก์บรรยายฟ้องความผิดฐานยักยอกระบุการกระทำที่เป็นความผิดเฉพาะแต่ตอนที่ว่า "เจ้าทรัพย์ได้ไปขอไถ่แหวนเพชรที่จำนำจำเลยไว้จำเลยไม่ยอมให้ไถ่" เช่นนี้ ไม่เป็นการแสดงว่าจำเลยเบียดบังที่จะเอาทรัพย์(แหวน เพชร) นั้นเป็นของตนโดยทุจริต หากเป็นแต่เพียงแสดงว่าจำเลยผิดสัญญาในทางแพ่งเท่านั้น ส่วนข้อความที่บรรยายในฟ้องตอนต้นที่ว่า "จำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังเอาแหวนเพชร ซึ่งได้รับจำนำไว้เป็นประโยชน์ของตนเสีย" นั้น เป็นเพียงข้อความที่แสดงเจตนาของจำเลยว่าจะยักยอกทรัพย์เท่านั้น หาใช่การกระทำไม่
เมื่อฟ้องของโจทก์ระบุการกระทำผิดแต่เพียงว่าเจ้าทรัพย์ได้ไปขอไถ่แหวนเพชรที่จำนำจำเลยไว้ จำเลยไม่ยอมให้ไถ่เช่นนี้ โจทก์จะนำสืบถึงการกระทำอย่างอื่นเพื่อแสดงว่าจำเลยเบียดบังเอาแหวนเพชร เป็นของตนก็ย่อมไม่ได้ เพราะเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น
เมื่อฟ้องของโจทก์แม้จะสืบได้ความก็ลงโทษจำเลยไม่ได้ ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์มาแต่ต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 967/2501

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วันเวลาเกิดเหตุเป็นสาระสำคัญของคำฟ้อง หากข้อเท็จจริงจากการพิจารณาต่างจากฟ้อง ย่อมมีผลต่อการวินิจฉัยคดี
โจทก์ฟ้องว่าเหตุเกิดวันที่ 15 มิถุนายน2499 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง ทางพิจารณาโจทก์นำสืบได้ความว่าเหตุเกิดเวลา 02.00 น. ของคืนวันที่ 15 มิถุนายน 2499 ซึ่งรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 16 มิถุนายน 2499 เช่นนี้ จึงเป็นเวลากลางคืนของอีกคืนหนึ่ง คือคืนรุ่งขึ้นจากคืนเกิดเหตุที่โจทก์กล่าวในฟ้อง ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงต่างกับฟ้องวันเวลาเกิดเหตุเป็นสาระสำคัญของคำฟ้องและการพิจารณา เมื่อจำเลยหลงข้อต่อสู้เกี่ยวกับวันเวลาที่โจทก์กล่าวหาในฟ้อง ก็ต้องยกฟ้องโดยไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงอื่นต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 967/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงวันเวลาเกิดเหตุในคำฟ้องและการพิจารณาคดี ส่งผลต่อการต่อสู้คดีของจำเลย
โจทก์ฟ้องว่าเหตุเกิดวันที่ 15 มิ.ย.2499 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง ทางพิจารณาโจทก์นำสืบได้ความว่าเหตุเกิดเวลา 02.00น. ของคืนวันที่ 15 มิ.ย.2499 ซึ่งรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 16 มิ.ย.2499 เช่นนี้ จึงเป็นเวลากลางคืนของอีกคืนหนึ่ง คือคืนรุ่งขึ้นจากคืนเกิดเหตุที่โจทก์กล่าวในฟ้อง ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงต่างกับฟ้องวันเวลาเกิดเหตุเป็นสาระสำคัญของคำฟ้องและการพิจารณา เมื่อจำเลยหลงข้อต่อสู้เกี่ยวกับวันเวลาที่โจทก์กล่าวหาในฟ้อง ก็ต้องยกฟ้องโดยไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงอื่นต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 960/2501

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฉุดคร่า ข่มขืน และกักขัง: ศาลฎีกายืนโทษฐานข่มขืน กระทงหนักจำคุก
จำเลยฉุดคร่าพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร แล้วข่มขืนกระทำชำเรา และหน่วงเหนี่ยวกักขังหญิงนั้นไว้ เป็นความผิด 3 กระทงตาม มาตรา 276,284,310 และศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยกระทงที่หนักที่สุดได้
of 172