พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,715 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 216/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความการปลอมแปลงเอกสารและแจ้งเท็จต่อเจ้าพนักงาน, การใช้เอกสารปลอมที่ตนเองทำขึ้น
หนังสือมอบฉันทะให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน เป็นหนังสือสำคัญตามกฏหมายอาญามาตรา 224
การใช้หนังสือปลอมอันจะ+ผิดตามมาตรา 227
เป็นการนำหนังสือที่ผู้อื่น+มาใช้ ถ้าตนปลอมขึ้นเองและนำเอาไปใช้ด้วย ไม่เป็นผิดตามมาตรา 227
ความผิดฐานปลอมหนังสือ+ม.224 มีอายุความ+ต้องภายใน 5 ปี
การใช้หนังสือปลอมอันจะ+ผิดตามมาตรา 227
เป็นการนำหนังสือที่ผู้อื่น+มาใช้ ถ้าตนปลอมขึ้นเองและนำเอาไปใช้ด้วย ไม่เป็นผิดตามมาตรา 227
ความผิดฐานปลอมหนังสือ+ม.224 มีอายุความ+ต้องภายใน 5 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 211/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องระบุปัญหาข้อกฎหมายให้ชัดเจน การโต้แย้งข้อเท็จจริงศาลล่างถือเป็นฎีกาที่ต้องห้าม
ฎีกาในปัญหาข้อกฏหมายนั้นจะต้องอธิบายในคำฟ้องฎีกาให้ชัดแจ้งว่า ข้อที่อ้างเป็นปัญหาข้อกฏหมายนั้นคืออะไรเป็นปัญหาข้อกฏหมายว่าอย่างไร
ข้อฎีกาที่ว่าข้อเท็จจริงที่ศาลล่างฟังมานั้น ไม่ควรถือว่าจำเลยได้รับมอบหมายห้องจากโจทก์นั้น ถือว่าเป็นฎีกาข้อเท็จจริง.
ข้อฎีกาที่ว่าข้อเท็จจริงที่ศาลล่างฟังมานั้น ไม่ควรถือว่าจำเลยได้รับมอบหมายห้องจากโจทก์นั้น ถือว่าเป็นฎีกาข้อเท็จจริง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 211/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องชัดเจนแจ้งประเด็นกฎหมาย หากเป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริง ศาลจะยกฎีกา
ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายนั้นจะต้องอธิบายในคำฟ้องฎีกาให้แจ้งชัดว่า ข้อที่อ้างเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้นคืออะไรเป็นปัญหากฎหมายว่าอย่างไร
ข้อฎีกาที่ว่าข้อเท็จจริงที่ศาลล่างฟังมานั้น ไม่ควรถือว่าจำเลยได้รับมอบหมายห้องจากโจทก์นั้น ถือว่าเป็นฎีกาข้อเท็จจริง
ข้อฎีกาที่ว่าข้อเท็จจริงที่ศาลล่างฟังมานั้น ไม่ควรถือว่าจำเลยได้รับมอบหมายห้องจากโจทก์นั้น ถือว่าเป็นฎีกาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 201/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานเรียกเก็บเงินที่ไม่ควรเก็บ และการใช้อำนาจหน้าที่บังคับเรียกทรัพย์
เสมียนวิสามัญในสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีหน้าที่เก็บเงินค่าเช่าแผงลอยหาบเร่ส่งต่อสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ย่อมเป็นเจ้าพนักงานท่านใช้ให้มีหน้าที่เก็บทรัพย์อันต้องส่งต่อรัฐบาลเมื่อไปเรียกเก็บแป๊ะเจี๊ยะ จึงได้ชื่อว่าเรียกเก็บเงินหรือทรัพย์ที่ไม่ควรจะเก็บตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 135
ความผิดตามมาตรา 136 นั้นเจ้าพนักงานผู้กระทำผิดจะต้องใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ของตนเองและต้องบังคับให้เขาให้ หรือให้เขาหาทรัพย์หรือผลประโยชน์อย่างใดๆ อันมิควรจะได้ตามกฎหมาย ให้แก่ตัวมันเองหรือแก่ผู้อื่น การบังคับให้เขาให้ทรัพย์ โดยอ้างว่าผู้อื่นให้มาเอาเป็นการอาศัยอำนาจในตำแหน่งหน้าที่ของผู้อื่น ไม่ใช่ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ของตัวเอง ทั้งเงินที่เรียกเอานั้นก็อ้างว่าจะไปส่งต่อองค์การรัฐบาล ไม่ใช่ตัวเอาเองหรือให้แก่ผู้อื่นดังนี้ยังไม่เป็นผิดตามมาตรา 136 ฎีกาโจทก์กล่าววันในฟ้องและจำนวนเงินผิดเพราะการพลั้งเผลอยังไม่พอจะเป็นเหตุให้ยกฎีกาโจทก์ ศาลต้องถือเอาฟ้องเดิมของโจทก์เป็นประมาณ
ความผิดตามมาตรา 136 นั้นเจ้าพนักงานผู้กระทำผิดจะต้องใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ของตนเองและต้องบังคับให้เขาให้ หรือให้เขาหาทรัพย์หรือผลประโยชน์อย่างใดๆ อันมิควรจะได้ตามกฎหมาย ให้แก่ตัวมันเองหรือแก่ผู้อื่น การบังคับให้เขาให้ทรัพย์ โดยอ้างว่าผู้อื่นให้มาเอาเป็นการอาศัยอำนาจในตำแหน่งหน้าที่ของผู้อื่น ไม่ใช่ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ของตัวเอง ทั้งเงินที่เรียกเอานั้นก็อ้างว่าจะไปส่งต่อองค์การรัฐบาล ไม่ใช่ตัวเอาเองหรือให้แก่ผู้อื่นดังนี้ยังไม่เป็นผิดตามมาตรา 136 ฎีกาโจทก์กล่าววันในฟ้องและจำนวนเงินผิดเพราะการพลั้งเผลอยังไม่พอจะเป็นเหตุให้ยกฎีกาโจทก์ ศาลต้องถือเอาฟ้องเดิมของโจทก์เป็นประมาณ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 201/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานเรียกเก็บเงินเกินหน้าที่ และการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ของผู้อื่น
เสมียนวิสามัญในสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีหน้าที่เก็บเงินค่าเช่าแผงลอยหาบเร่ส่งต่อสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นเจ้าพนักงานท่านใช้ให้มีหน้าที่เก็บทรัพย์อันต้องส่งต่อรัฐบาล เมื่อเรียกเก็บแป๊ะเจี๊ยะ จึงได้ชื่อว่าเรียกเก็บเงินหรือทรัพย์ที่ไม่ควรจะเก็บตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 135 ส่วนความผิดตามมาตรา 136 นั้น พนักงานผู้กระทำผิดจะต้องใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ของตนเอง และต้องบังคับให้เขาให้ หรือให้เขา +ทรัพย์หรือผลประโยชน์อย่างใด ๆ +ควรจะได้ตาม ก.ม. ให้แก่ตัวเองหรือแก่ผู้อื่น การบังคับให้เขา+ทรัพย์ โดยอ้างว่าผู้อื่นให้มาเอา โดยการอาศัยอำนาจในตำแหน่งหน้าที่ของผู้อื่น ไม่ใช่ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ของตัวเอง ทั้งเงินที่ +เอานั้นก็อ้างว่าจะไปส่งต่อองค์+ รัฐบาล ไม่ใช่ตัวเอาเองหรือให้+อื่นดังนี้ ยังไม่เป็นผิดตามมาตรา 136 +ฎีกาโจทก์กล่าววันในฟ้องและจำนวนเงินผิด +เพราะการพลั้งเผลอยังไม่พอจะเป็นเหตุ +ฎีกาโจทก์ ศาลต้องถือเอาฟ้องเดิม +โจทก์เป็นประมาณ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 197-198/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องอุปโภคฯ กับ พ.ร.บ.สำรวจและห้ามกักกันข้าว กรณีแจ้งปริมาณข้าวสาร
พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องอุปโภคฯลฯ 2488 กับ พ.ร.บ.สำรวจและห้ามกักกันข้าว 2489 พ.ร.บ.ที่ใช้แทนกันหรือขัดกัน
พ.ร.บ.ฉบับแรกมีความมุ่งหมายเพื่อให้มีเครื่องอุปโภคบริโภค และ สิ่งของต่าง ๆ เพียงพอแก่ความต้องการของประเทศ ส่วนความมุ่งหมายใน พ.ร.บ.ฉบับหลังมีเพียงแต่สำรวจและห้ามกักกันข้าว เพราะฉะนั้น ถ้าละเมิด พ.ร.บ.ฉบับใด ก็ต้องใช้ พ.ร.บ.นั้นบังคับ
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยกระทำผิดต่อ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคฯลฯ โดยมิได้แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บข้าวสารต่อคณะกรรมการตามประกาศ ศาลต้องพิจารณาว่าจะเลยละเมิดต่อ พ.ร.บ.ที่กล่าวหรือไม่
พ.ร.บ.ฉบับแรกมีความมุ่งหมายเพื่อให้มีเครื่องอุปโภคบริโภค และ สิ่งของต่าง ๆ เพียงพอแก่ความต้องการของประเทศ ส่วนความมุ่งหมายใน พ.ร.บ.ฉบับหลังมีเพียงแต่สำรวจและห้ามกักกันข้าว เพราะฉะนั้น ถ้าละเมิด พ.ร.บ.ฉบับใด ก็ต้องใช้ พ.ร.บ.นั้นบังคับ
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยกระทำผิดต่อ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคฯลฯ โดยมิได้แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บข้าวสารต่อคณะกรรมการตามประกาศ ศาลต้องพิจารณาว่าจะเลยละเมิดต่อ พ.ร.บ.ที่กล่าวหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 197-198/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคและกฎหมายสำรวจข้าว: การพิจารณาความผิดฐานไม่แจ้งปริมาณข้าว
พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคฯลฯ 2488 กับพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว 2489 ไม่ใช่กฎหมาย ที่ใช้แทนกันหรือขัดกันเพราะพระราชบัญญัติฉบับแรกมีความมุ่งหมายเพื่อให้มีเครื่องอุปโภคบริโภคและสิ่งของต่างๆ เพียงพอแก่ความต้องการของประเทศ ส่วนความมุ่งหมายในพระราชบัญญัติฉบับหลังมีเพียงแต่สำรวจและห้ามกักกันข้าว เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดละเมิดพระราชบัญญัติ ฉบับใด ก็ต้องใช้พระราชบัญญัตินั้นบังคับ
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยกระทำผิดพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคโดยมิได้แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บข้าวสารต่อคณะกรรมการตามประกาศศาลต้องพิจารณาว่าจำเลยได้ละเมิดต่อ พระราชบัญญัติที่กล่าวหรือไม่
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยกระทำผิดพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคโดยมิได้แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บข้าวสารต่อคณะกรรมการตามประกาศศาลต้องพิจารณาว่าจำเลยได้ละเมิดต่อ พระราชบัญญัติที่กล่าวหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 194/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้กระทำผิดซ้ำถูกพิจารณาว่ามีสันดานเป็นผู้ร้าย และถูกกักกันตามกฎหมาย
จำเลยทำผิดฐานลักทรัพย์และวิ่งราวมาถึง 3 ครั้ง ระหว่างพ.ศ.2480 ถึง 2489 ดังนี้นับว่าจำเลยเป็นผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย ควรลงโทษกักกันจำเลยแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี 4 เดือน เมื่อพ้นโทษแล้วให้กักกัน 3 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไม่เพิ่มโทษกักกันดังนี้ถือว่าแก้มาก ฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี 4 เดือน เมื่อพ้นโทษแล้วให้กักกัน 3 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไม่เพิ่มโทษกักกันดังนี้ถือว่าแก้มาก ฎีกาในข้อเท็จจริงได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 193/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของรถไม่รู้เห็นการใช้รถในการกระทำผิดศุลกากร ศาลไม่ริบรถ
เจ้าของรถจักรยาน 3 ล้อให้ผู้อื่นเช่ารถไป แล้วผู้เช่าไปบรรทุกของเพื่อนำออกนอกราชอาณาจักร์อันเป็นผิดต่อ พ.ร.บ.ศุลกากร โดยเจ้าของรถผู้ให้เช่ามิได้รู้เห็นนั้น ศาลไม่รับรถจักร์ยาน อ้างฎีกาที่ 172/2484, 961/2484
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 193/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของรถไม่มีส่วนรู้เห็นต่อการกระทำผิดทางศุลกากรของผู้เช่า ศาลไม่ริบรถ
เจ้าของรถจักรยาน 3 ล้อให้ผู้อื่นเช่ารถไป แล้วผู้เช่าไปบรรทุกของเพื่อนำออกนอกราชอาณาจักรอันเป็นผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากร โดยเจ้าของรถผู้ให้เช่ามิได้รู้เห็นนั้น ศาลไม่ริบรถจักรยานอ้างฎีกาที่ 172/2484,561/2484