คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 288

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,229 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 84-85/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย และการปรับบทมาตรา 340 วรรคท้าย
จำเลยทั้งสามต่างถือปืนสั้นคนละกระบอกไปร่วมกันปล้นทรัพย์ที่บ้านผู้ตายโดยจี้บังคับผู้ตายให้เข้าไปในห้องนอน และบังคับให้นอนคว่ำหน้าตรงทางเข้าประตูห้องนอนจำเลยที่ 2 เหยียบหลังผู้ตายไว้ จำเลยที่ 1 ถือปืนยืนคุมอยู่ตรงศีรษะผู้ตาย ส่วนจำเลยที่ 3เข้าไปในห้องนอนค้นหาทรัพย์ ครั้นค้นได้ทรัพย์แล้วก็เดินออกจากห้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็เดินตามไป แต่พอคล้อยห่างผู้ตายได้เพียง 2 ศอกผู้ตายก็ผงกศีรษะขึ้น จำเลยที่ 1 จึงยิงผู้ตาย 1 นัด ถูกศีรษะผู้ตายล้มลงถึงแก่ความตาย แล้วจำเลยทั้งสามก็พากันหลบหนีไป ดังนี้เห็นได้ชัดว่า เพราะผู้ตายผงกศีรษะหรือเงยหน้าขึ้นคงเพื่อดูหน้าคนร้ายอันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนั้น จำเลยที่ 1 จึงยิงผู้ตายจำเลยที่ 2 ที่ 3 มิได้ร่วมกระทำในตอนนี้ด้วย ข้อเท็จจริงหาพอที่จะฟังว่ามีเจตนาร่วมกันที่จะฆ่าเจ้าทรัพย์มาแต่แรกไม่จึงควรปรับบทฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคท้าย ไม่ใช่ปรับบทมาตรา289 (7)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2792/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บันดาลโทสะจากพฤติการณ์ชู้และการเย้ยหยัน: การกระทำที่ถูกกดขี่ข่มเหงทางจิตใจตามมาตรา 72
จำเลยกับนาง ก. ผู้ตายเป็นสามีภรรยากันประมาณ 16 ปีโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกัน 3 คน อยู่กินร่วมเรือนเดียวกันจนถึงวันเกิดเหตุ ก่อนเกิดเหตุ 2 ปี ผู้ตายกับ ท. สนิทสนมกันชอบไปเล่นการพนันด้วยกันและเป็นชู้กัน เวลาจำเลยไม่อยู่บ้าน ท.มาหลับนอนในห้องเดียวกับผู้ตายที่บ้านจำเลย บุตรจำเลยก็เห็นคนอื่นก็เล่าลือกัน จำเลยเคยขอร้องทั้งผู้ตายและ ท. ไม่ให้เกี่ยวข้องกันก็ไม่มีใครเชื่อ ยังนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์กันไปมาเสมอเป็นการกระทบกระเทือนจิตใจของจำเลยเป็นอย่างยิ่งจำเลยมิใช่คนดุร้าย วันเกิดเหตุ ท. ให้ผู้ตายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปส่งบ้านจำเลยแลเห็นจำเลยขณะจำเลยกำลังเดินไปตามซอยทางเข้าบ้านก็มิได้ส่งผู้ตายลงตรงนั้นกลับขับขี่รถผ่านจำเลยไปห่างเพียง 1 วา ด้วยความทระนงองอาจปราศจากความยำเกรงจำเลยผู้เป็นสามีเป็นการเย้ยหยันสบประมาทอย่างร้ายแรง พฤติการณ์เช่นนี้นับได้ว่าเป็นการกระทำที่กดขี่ข่มเหงในทางจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เมื่อจำเลยพบเห็นภาพดังกล่าวโดยบังเอิญโดยมิได้คาดคิดไม่สามารถอดกลั้นโทสะไว้ได้จึงใช้ปืนยิงผู้ตายกับ ท. ไปในทันทีทันใด ดังนี้ กรณีต้องด้วยมาตรา 72 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 38/2515)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2740/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าและเหตุบันดาลโทสะ: การพิจารณาความผิดฐานฆ่าผู้อื่นจากการโกรธจากการถูกไล่ออกจากโรงเรียน
แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเห็นจำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายแต่โจทก์มีพยานแวดล้อมกรณี และชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจ โดยไม่มีข้อต่อสู้ใดๆ ทั้งได้นำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับให้พนักงานสอบสวนทำแผนที่และบันทึกไว้ดังนี้ ศาลรับฟังคำให้การรับสารภาพของจำเลยชั้นสอบสวนประกอบกับพยานแวดล้อมกรณีดังกล่าวแล้วได้ว่าจำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า
โรงเรียนเป็นของบุตรผู้ตายโดยผู้ตายทำการเป็นเจ้าของโรงเรียนอยู่ เมื่อผู้ตายไม่ชอบจำเลย ก็ย่อมจะให้จำเลยออกจากโรงเรียนได้ การที่ผู้ตายบอกให้จำเลยออกไปจากโรงเรียนทันที เป็นการใช้ถ้อยคำรุนแรงไปบ้าง แต่ก็ไม่เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยโกรธที่ถูกผู้ตายออกปากไล่ออกไปจากโรงเรียนในเดี๋ยวนั้น จึงหยิบปืนในกระเป๋าถือยิงผู้ตายไปทันทีดังนี้ การกระทำของจำเลยยังถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำลงโดยบันดาลโทสะ อันจะได้ลดโทษตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2740/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่า, พยานแวดล้อม, การบันดาลโทสะ, คำรับสารภาพชั้นสอบสวน, การลงโทษฆ่าผู้อื่น
แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเห็นจำเลยใช้ปืนยิงผู้ตาย แต่โจทก์มีพยานแวดล้อมกรณี และชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจ โดยไม่มีข้อต่อสู้ใด ๆ ทั้งได้นำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับให้พนักงานสอบสวนทำแผนที่และบันทึกไว้ดังนี้ ศาลรับฟังคำให้การรับสารภาพของจำเลยชั้นสอบสวนประกอบกับพยานแวดล้อมกรณีดังกล่าวแล้วได้ว่าจำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า
โรงเรียนเป็นของบุตรผู้ตายโดยผู้ตายทำการเป็นเจ้าของโรงเรียนอยู่ เมื่อผู้ตายไม่ชอบจำเลย ก็ย่อมจะให้จำเลยออกจากโรงเรียนได้ การที่ผู้ตายบอกให้จำเลยออกไปจากโรงเรียนทันที เป็นการใช้ถ้อยคำรุนแรงไปบ้าง แต่ก็ไม่เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยโกรธที่ถูกผู้ตายออกปากไล่ออกไปจากโรงเรียนในเดี๋ยวนั้น จึงหยิบปืนในกระเป๋าถือยิงผู้ตายไปทันทีดังนี้ การกระทำของจำเลยยังถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำลงโดยบันดาลโทสะ อันจะได้ลดโทษตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2658/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวละเมิดหลายบท: การยิงพลาดทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ศาลต้องลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุด
จำเลยใช้ปืนยิง ว. สามนัด ด้วยเจตนาฆ่า กระสุนนัดแรกไม่ถูกผู้ใด กระสุนนัดที่สองพลาดไปถูก ร. ถึงแก่ความตาย และกระสุนนัดที่สามไม่ถูกผู้ใด ดังนี้เป็นการกระทำผิดกรรมเดียวละเมิดกฎหมายหลายบท คือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80 บทหนึ่ง และมาตรา 288,60 อีกบทหนึ่ง มิใช่เป็นการกระทำผิดหลายกระทง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2658/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวละเมิดหลายบท: การลงโทษจำเลยในคดีพยายามฆ่าและทำให้ถึงแก่ความตาย
จำเลยใช้ปืนยิง ว. สามนัด ด้วยเจตนาฆ่ากระสุนนัดแรกไม่ถูกผู้ใด กระสุนนัดที่สองพลาดไปถูก ร.ถึงแก่ความตาย และกระสุนนัดที่สามไม่ถูกผู้ใด ดังนี้เป็นการกระทำผิดกรรมเดียวละเมิดกฎหมายหลายบท คือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 บทหนึ่ง และมาตรา 288,60 อีกบทหนึ่ง มิใช่เป็นการกระทำผิดหลายกระทง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2528/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการทำร้ายด้วยมีด: พยายามฆ่า vs. ทำร้ายร่างกาย
จำเลยถือด้ามมีดทั้งสองมือ เหวี่ยงฟันผู้เสียหาย 2ครั้งติด ๆ กัน ถูกที่บริเวณศีรษะซึ่งเป็นที่สำคัญ มีบาดแผล 3 แห่งคือ ที่ข้างศีรษะขวาเหนือหูยาวประมาณ 7 เซนติเมตร ลึกจดกระดูกศีรษะ เย็บ 8 เข็ม ที่ข้างใบหูขวา ยาวประมาณ 6 เซนติเมตรลึกจดกระดูกศีรษะเย็บ 7 เข็ม และที่ใบหูขวาขาด ยาวประมาณ 4 เซนติเมตร เย็บ 8 เข็ม ลักษณะและขนาดของมีดที่ใช้ฟันเฉพาะตัวมีดยาว 36 เซนติเมตร ด้ามยาว 19 เซนติเมตร ปลายมีดเป็นรูปหัวตัดกว้างประมาณ 8 เซนติเมตร. ดังนี้ ต้องถือว่าจำเลยกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายไม่ตายสมเจตนาจึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น หาใช่เป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2474/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ: กรณีตำรวจยิงเพื่อป้องกันตัวจากกลุ่มผู้ทำร้ายร่างกาย
ผู้ตายกับพวกซึ่งมีจำนวนมากคน ได้รายล้อมเข้าไปโดยอาการที่เห็นได้ว่าผู้ตายกับพวกจะเข้าทำร้ายจำเลย จำเลยมีแต่ตัวคนเดียวและเป็นเวลากลางคืน จำเลยยิงปืนขึ้น สองนัดนัดแรกเป็นการยิงขู่ แต่ผู้ตายกับพวกก็มิได้หยุดยั้ง คงรายล้อมเข้าไปในลักษณะอาการที่จะกลุ้มรุมทำร้ายจำเลยอีก จำเลยใช้ปืนยิงไปนัดที่สองถูกนายเล็กและผู้ตาย ย่อมถือได้ว่าจำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายอันใกล้จะถึงการกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกัน
แม้ว่าผู้ตายกับพวกจะเข้าไปกลุ้มรุมทำร้ายจำเลย แต่พวกผู้ตายไม่มีปืน การที่จำเลยใช้ปืนยิงเพื่อป้องกันเป็นการเกินสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2474/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวที่เกินสมควรแก่เหตุ: กรณีจำเลยถูกกลุ่มบุคคลรายล้อมทำร้ายและใช้ปืนยิงตอบโต้
ผู้ตายกับพวกซึ่งมีจำนวนมากคน ได้รายล้อมเข้าไปโดยอาการที่เห็นได้ว่าผู้ตายกับพวกจะเข้าทำร้ายจำเลย จำเลยมีแต่ตัวคนเดียวและเป็นเวลากลางคืน จำเลยยิงปืนขึ้นสองนัดนัดแรกเป็นการยิงขู่ แต่ผู้ตายกับพวกก็มิได้หยุดยั้งคงรายล้อมเข้าไปในลักษณะอาการที่จะกลุ้มรุมทำร้ายจำเลยอีก จำเลยใช้ปืนยิงไปนัดที่สองถูกนายเล็กและผู้ตาย ย่อมถือได้ว่าจำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายอันใกล้จะถึงการกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกัน
แม้ว่าผู้ตายกับพวกจะเข้าไปกลุ้มรุมทำร้ายจำเลย แต่พวกผู้ตายไม่มีปืน การที่จำเลยใช้ปืนยิงเพื่อป้องกันเป็นการเกินสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2470/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนเกินเหตุ: การใช้กำลังป้องกันการถูกทำร้ายด้วยอาวุธอันตราย
ผู้ตายรูปร่างใหญ่กว่าจำเลยและสูงกว่าจำเลย 3-4 นิ้ว คืนเกิดเหตุฝนตกและเดือนมืด ผู้ตายเดินตามจำเลยไปจนทันแล้วผู้ตายกับจำเลยยืนหันหน้าเข้าหากันผู้ตายใช้มือขวาจับคอด้านหลังของจำเลยไว้และใช้มือซ้ายถือไม้รวกตีจำเลยถูกที่ต้นคอ แก้ม และที่หน้าผากรุนแรงหลายทีจนหน้าผากมีรอยบุ๋ม จำเลยเอามีดปลายแหลมแทงสวนไปในที่มืดในระยะประชิดติดพัน 2 ทีโดยไม่มีโอกาสเลือกแทงให้ถูกที่สำคัญ แผลแรกเพียงผิวหนังขาดเลือดซึม เมื่อผู้ตายยังไม่หยุดตีจำเลย จำเลยจึงแทงผู้ตายอีกทีหนึ่งเพื่อหยุดยั้งการตีถูกผู้ตายที่ใต้นมขวาบนสะดือ ลึกทะลุเข้าไปในทรวงอกถึงแก่ความตาย เช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ จำเลยไม่มีความผิด
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำเลยให้การปฏิเสธในการสืบพยาน โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานในขณะเกิดเหตุคงมีพยานเพียงว่าได้ยินเสียงผู้ตายร้องบอกภริยาว่าจำเลยแทงตนเท่านั้น ส่วนจำเลยนำสืบว่าจำเลยแทงผู้ตายเพื่อป้องกันตนดังนี้ ศาลย่อมวินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์ประกอบพยานหลักฐานของจำเลยว่าจำเลยกระทำเพื่อป้องกันจริงหรือไม่
of 223