พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,229 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1977/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับสิทธิฟ้องคดีอาญาเนื่องจากมีคำพิพากษาถึงที่สุดในความผิดเดียวกัน และประเด็นการโอนคดีที่ยุติแล้ว
ภรรยาผู้ตายเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยฐานฆ่าสามีตายโดยเจตนาซึ่งศาลได้นัดไต่สวนมูลฟ้องไว้แล้ว ในระหว่างดำเนินกระบวนพิจารณาคดีโจทก์ ผู้ว่าคดีได้ยื่นฟ้องจำเลยฐานทำร้ายร่างกายสามีโจทก์ในมูลกรณีเดียวกัน ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด เช่นนี้ สิทธิของโจทก์ที่ได้ฟ้องคดีไว้แล้วย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)
โจทก์ยื่นคำร้องขอโอนคดีจากศาลหนึ่งไปยังอีกศาลหนึ่งศาลมีคำสั่งว่าไม่มีอำนาจ ให้ยกคำร้องโจทก์ โจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านอย่างใด แม้ในชั้นศาลอุทธรณ์ โจทก์ก็มิได้ยกเรื่องการโอนคดีขึ้นว่ากล่าวคัดค้าน จึงทำให้ประเด็นข้อนี้ยุติ โจทก์จะกล่าวอ้างขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาอีกไม่ได้
โจทก์ยื่นคำร้องขอโอนคดีจากศาลหนึ่งไปยังอีกศาลหนึ่งศาลมีคำสั่งว่าไม่มีอำนาจ ให้ยกคำร้องโจทก์ โจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านอย่างใด แม้ในชั้นศาลอุทธรณ์ โจทก์ก็มิได้ยกเรื่องการโอนคดีขึ้นว่ากล่าวคัดค้าน จึงทำให้ประเด็นข้อนี้ยุติ โจทก์จะกล่าวอ้างขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาอีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1977/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับสิทธิฟ้องคดีอาญาเนื่องจากมีคำพิพากษาถึงที่สุดในความผิดเดียวกัน และประเด็นการโอนคดีที่ยุติแล้ว
ภรรยาผู้ตายเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยฐานฆ่าสามีตายโดยเจตนาซึ่งศาลได้นัดไต่สวนมูลฟ้องไว้แล้ว. ในระหว่างดำเนินกระบวนพิจารณาคดีโจทก์ ผู้ว่าคดีได้ยื่นฟ้องจำเลยฐานทำร้ายร่างกายสามีโจทก์ในมูลกรณีเดียวกัน. ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด. เช่นนี้ สิทธิของโจทก์ที่ได้ฟ้องคดีไว้แล้วย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4).
โจทก์ยื่นคำร้องขอโอนคดีจากศาลหนึ่งไปยังอีกศาลหนึ่ง.ศาลมีคำสั่งว่าไม่มีอำนาจ ให้ยกคำร้องโจทก์. โจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านอย่างใด แม้ในชั้นศาลอุทธรณ์ โจทก์ก็มิได้ยกเรื่องการโอนคดีขึ้นว่ากล่าวคัดค้าน จึงทำให้ประเด็นข้อนี้ยุติ. โจทก์จะกล่าวอ้างขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาอีกไม่ได้.
โจทก์ยื่นคำร้องขอโอนคดีจากศาลหนึ่งไปยังอีกศาลหนึ่ง.ศาลมีคำสั่งว่าไม่มีอำนาจ ให้ยกคำร้องโจทก์. โจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านอย่างใด แม้ในชั้นศาลอุทธรณ์ โจทก์ก็มิได้ยกเรื่องการโอนคดีขึ้นว่ากล่าวคัดค้าน จึงทำให้ประเด็นข้อนี้ยุติ. โจทก์จะกล่าวอ้างขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาอีกไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1977/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับสิทธิฟ้องคดีอาญาเนื่องจากมีคำพิพากษาถึงที่สุดในความผิดเดียวกัน และประเด็นการโอนคดีที่ยุติแล้ว
ภรรยาผู้ตายเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยฐานฆ่าสามีตายโดยเจตนาซึ่งศาลได้นัดไต่สวนมูลฟ้องไว้แล้ว ในระหว่างดำเนินกระบวนพิจารณาคดีโจทก์ ผู้ว่าคดีได้ยื่นฟ้องจำเลยฐานทำร้ายร่างกายสามีโจทก์ในมูลกรณีเดียวกัน ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด เช่นนี้ สิทธิของโจทก์ที่ได้ฟ้องคดีไว้แล้วย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)
โจทก์ยื่นคำร้องขอโอนคดีจากศาลหนึ่งไปยังอีกศาลหนึ่ง.ศาลมีคำสั่งว่าไม่มีอำนาจ ให้ยกคำร้องโจทก์ โจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านอย่างใด แม้ในชั้นศาลอุทธรณ์ โจทก์ก็มิได้ยกเรื่องการโอนคดีขึ้นว่ากล่าวคัดค้าน จึงทำให้ประเด็นข้อนี้ยุติ โจทก์จะกล่าวอ้างขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาอีกไม่ได้
โจทก์ยื่นคำร้องขอโอนคดีจากศาลหนึ่งไปยังอีกศาลหนึ่ง.ศาลมีคำสั่งว่าไม่มีอำนาจ ให้ยกคำร้องโจทก์ โจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านอย่างใด แม้ในชั้นศาลอุทธรณ์ โจทก์ก็มิได้ยกเรื่องการโอนคดีขึ้นว่ากล่าวคัดค้าน จึงทำให้ประเด็นข้อนี้ยุติ โจทก์จะกล่าวอ้างขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาอีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1917/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย: การตีความ 'ผู้อื่น' ในมาตรา 340
ความผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสุดท้าย นั้นหมายถึงบุคคลอื่น มิใช่พวกปล้นด้วยกันเอง ฉะนั้นการที่จำเลยกับพวกร่วมกันมีปืนเป็นอาวุธปล้นทรัพย์ และจำเลยได้ใช้ปืนยิงเจ้าทรัพย์บาดเจ็บและกระสุนพลาดไปถูกพวกคนร้ายด้วยกันตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานปล้นโดยใช้ปืนยิงและฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1917/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความความผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย: ผู้ตายต้องไม่ใช่พวกปล้นด้วยกัน
ความผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสุดท้าย นั้น.หมายถึงบุคคลอื่น มิใช่พวกปล้นด้วยกันเอง. ฉะนั้นการที่จำเลยกับพวกร่วมกันมีปืนเป็นอาวุธปล้นทรัพย์ และจำเลยได้ใช้ปืนยิงเจ้าทรัพย์บาดเจ็บและกระสุนพลาดไปถูกพวกคนร้ายด้วยกันตาย. จำเลยจึงมีความผิดฐานปล้นโดยใช้ปืนยิงและฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1917/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย: ผู้เสียชีวิตต้องไม่ใช่พวกปล้นทรัพย์
ความผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสุดท้าย นั้นหมายถึงบุคคลอื่น มิใช่พวกปล้นด้วยกันเอง ฉะนั้นการที่จำเลยกับพวกร่วมกันมีปืนเป็นอาวุธปล้นทรัพย์ และจำเลยได้ใช้ปืนยิงเจ้าทรัพย์บาดเจ็บและกระสุนพลาดไปถูกพวกคนร้ายด้วยกันตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานปล้นโดยใช้ปืนยิงและฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1912/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำโดยป้องกันตัว: การใช้กำลังเพื่อปกป้องตนเองและผู้อื่นจากภยันตรายใกล้จะถึง
ผู้ตายถือปืนจ้องไปที่จำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 เข้าใจว่าผู้ตายจะยิงทำร้ายจำเลยที่ 1 จึงจับปืนผลักผู้ตายเซหมุนตัวไป แล้วแทงถูกด้านหลังผู้ตาย การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการป้องกันตัวให้พ้นภยันตรายที่จะได้รับและพอสมควรแก่เหตุ
เมื่อจำเลยที่ 1 แทงแล้วก็วิ่งหนี ผู้ตายถือปืนไล่ยิงจำเลยที่ 1 พอผ่านจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงใช้มีดแทงกลางหลังผู้ตายอีก 1 ที การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการป้องกันมิให้จำเลยที่ 1 ได้รับภยันตรายจากการที่ผู้ตายจะยิงจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุเช่นเดียวกัน
เมื่อจำเลยที่ 1 แทงแล้วก็วิ่งหนี ผู้ตายถือปืนไล่ยิงจำเลยที่ 1 พอผ่านจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงใช้มีดแทงกลางหลังผู้ตายอีก 1 ที การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการป้องกันมิให้จำเลยที่ 1 ได้รับภยันตรายจากการที่ผู้ตายจะยิงจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุเช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1912/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวทางอาญา: เหตุเพื่อความจำเป็นและพอสมควรแก่เหตุจากการถูกข่มขู่ด้วยอาวุธ
ผู้ตายถือปืนจ้องไปที่จำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 เข้าใจว่าผู้ตายจะยิงทำร้ายจำเลยที่ 1. จึงจับปืนผลักผู้ตายเซหมุนตัวไป แล้วแทงถูกด้านหลังผู้ตาย. การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการป้องกันตัวให้พ้นภยันตรายที่จะได้รับและพอสมควรแก่เหตุ.
เมื่อจำเลยที่ 1 แทงแล้วก็วิ่งหนี. ผู้ตายถือปืนไล่ยิงจำเลยที่ 1 พอผ่านจำเลยที่ 2. จำเลยที่ 2 จึงใช้มีดแทงกลางหลังผู้ตายอีก 1 ที. การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการป้องกันมิให้จำเลยที่ 1 ได้รับภยันตรายจากการที่ผู้ตายจะยิงจำเลยที่ 1. จึงเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุเช่นเดียวกัน.
เมื่อจำเลยที่ 1 แทงแล้วก็วิ่งหนี. ผู้ตายถือปืนไล่ยิงจำเลยที่ 1 พอผ่านจำเลยที่ 2. จำเลยที่ 2 จึงใช้มีดแทงกลางหลังผู้ตายอีก 1 ที. การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการป้องกันมิให้จำเลยที่ 1 ได้รับภยันตรายจากการที่ผู้ตายจะยิงจำเลยที่ 1. จึงเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุเช่นเดียวกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1912/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา แต่เป็นการป้องกันตัวที่สมควรแก่เหตุ
ผู้ตายถือปืนจ้องไปที่จำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 เข้าใจว่าผู้ตายจะยิงทำร้ายจำเลยที่ 1 จึงจับปืนผลักผู้ตายเซหมุนตัวไป แล้วแทงถูกด้านหลังผู้ตาย การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการป้องกันตัวให้พ้นภยันตรายที่จะได้รับและพอสมควรแก่เหตุ
เมื่อจำเลยที่ 1 แทงแล้วก็วิ่งหนี ผู้ตายถือปืนไล่ยิงจำเลยที่ 1 พอผ่านจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงใช้มีดแทงกลางหลังผู้ตายอีก 1 ที การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการป้องกันมิให้จำเลยที่ 1 ได้รับภยันตรายจากการที่ผู้ตายจะยิงจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุเช่นเดียวกัน
เมื่อจำเลยที่ 1 แทงแล้วก็วิ่งหนี ผู้ตายถือปืนไล่ยิงจำเลยที่ 1 พอผ่านจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงใช้มีดแทงกลางหลังผู้ตายอีก 1 ที การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการป้องกันมิให้จำเลยที่ 1 ได้รับภยันตรายจากการที่ผู้ตายจะยิงจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุเช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1684/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายด้วยอาวุธมีด: การพิจารณาความโหดร้ายทารุณเพื่อเพิ่มโทษอาญา
การที่จำเลยใช้มีดโกนทำร้ายผู้ตาย มีบาดแผล 4 แผลยังไม่พอที่จะส่อแสดงให้เห็นว่าเป็นการทรมานหรือเป็นการกระทำโดยทารุณโหดร้ายได้ กรณีจึงไม่เข้าลักษณะการกระทำโดยทารุณและโหดร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(5) จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 เท่านั้น