พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,229 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3237/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการทำร้ายร่างกายส่วนสำคัญของร่างกายจนอาจถึงแก่ชีวิต
ผู้เสียหายมีบาดแผลฉีกขาดที่ด้านซ้ายของคอขนาดยาว 7 เซนติเมตรลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อคอและเส้นเลือดข้างคอ ตัดเส้นประสาทและกล้ามเนื้อข้างคอหลายมัด แพทย์ผู้ตรวจรักษาเบิกความว่าหากไม่ได้รับการรักษาโดยทันที อาจเสียเลือดและช็อคถึงแก่ชีวิตได้ ลักษณะบาดแผลที่ผู้เสียหายถูกฟัน ที่คอ แม้จะไม่ได้ความชัดว่าอาวุธที่ใช้ฟันดังกล่าวเป็นมีดหรือขวานก็ตาม แต่การที่จำเลยกับพวกใช้อาวุธดังกล่าวฟันไปที่คอของผู้เสียหายอันเป็น ส่วนสำคัญของร่างกายจนได้รับบาดแผลฉกรรจ์ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา โดยทันทีแล้วผู้เสียหายจะถึงแก่ความตาย ฟังได้ว่าจำเลยกับพวกกระทำการ ดังกล่าวโดยมีเจตนาฆ่า เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายจำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2987/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายด้วยอาวุธมีด การพิสูจน์เจตนา และการพิจารณาความผิดหลายกรรม
จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดของกลางฟันผู้เสียหายทั้งสองโดยยังไม่มีภยันตรายที่ใกล้จะถึง อันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 จำต้องกระทำเพื่อป้องกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
การที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดทำสวนขนาดยาวประมาณ 35 เซนติเมตรซึ่งมีขนาดใหญ่และหนาพอสมควรฟันที่บริเวณคอผู้เสียหายทั้งสองอันเป็นอวัยวะสำคัญจำเลยที่ 1 ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำได้ว่าผู้เสียหายทั้งสองอาจถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าตาม ป.อ. มาตรา 59 วรรคสอง
การกระทำของจำเลยที่ 1 จะเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าหรือเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลย่อมวินิจฉัยได้จากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน มิใช่ต้องถือเอาตามคำเบิกความของแพทย์เพียงอย่างเดียว
แม้ในฟ้องข้อ 1 โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันเพียง 2 ข้อ คือ ข้อ ก. จำเลยทั้งสองร่วมกันพาอาวุธมีดติดตัวไปในเมืองและชุมนุมชนโดยไม่มีเหตุสมควร กับข้อ ข. จำเลยทั้งสองร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสองก็ตาม แต่ในฟ้องข้อ ข.โจทก์ได้บรรยายให้เห็นว่าจำเลยทั้งสอง ร่วมกันใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายทั้งสองโดยเจตนาฆ่าและคมมีดถูกผู้เสียหายทั้งสองที่บริเวณคอ รายละเอียดบาดแผลปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง ซึ่งปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 1 มีบาดแผลที่บริเวณคอหนึ่งแผล และผู้เสียหายที่ 2 มีบาดแผลที่บริเวณคอสองแผล อันเป็นการกระทำต่อผู้เสียหายแต่ละคนแยกออกจากกันได้ อีกทั้งโจทก์ได้ระบุ ป.อ. มาตรา 91 มาในคำขอท้ายฟ้องด้วย ประกอบกับข้อเท็จจริงได้ความว่า หลังจากจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายที่ 1 แล้ว ได้เดินตามไปฟันผู้เสียหายที่ 2 ขณะกำลังเดินเข้าไปในงาน ห่างประมาณ 5 เมตร อันเป็นการฟันผู้เสียหายทั้งสองคนละคราวกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานพยายามฆ่าเป็นสองกระทงความผิด จึงมิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ หรือมิได้กล่าวในฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคแรก
ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับ 60 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ. มาตรา 29, 30 นั้น ไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องปรับบทตามมาตรา 29 เพียงบทเดียว
การที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดทำสวนขนาดยาวประมาณ 35 เซนติเมตรซึ่งมีขนาดใหญ่และหนาพอสมควรฟันที่บริเวณคอผู้เสียหายทั้งสองอันเป็นอวัยวะสำคัญจำเลยที่ 1 ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำได้ว่าผู้เสียหายทั้งสองอาจถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าตาม ป.อ. มาตรา 59 วรรคสอง
การกระทำของจำเลยที่ 1 จะเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าหรือเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลย่อมวินิจฉัยได้จากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน มิใช่ต้องถือเอาตามคำเบิกความของแพทย์เพียงอย่างเดียว
แม้ในฟ้องข้อ 1 โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันเพียง 2 ข้อ คือ ข้อ ก. จำเลยทั้งสองร่วมกันพาอาวุธมีดติดตัวไปในเมืองและชุมนุมชนโดยไม่มีเหตุสมควร กับข้อ ข. จำเลยทั้งสองร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสองก็ตาม แต่ในฟ้องข้อ ข.โจทก์ได้บรรยายให้เห็นว่าจำเลยทั้งสอง ร่วมกันใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายทั้งสองโดยเจตนาฆ่าและคมมีดถูกผู้เสียหายทั้งสองที่บริเวณคอ รายละเอียดบาดแผลปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง ซึ่งปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 1 มีบาดแผลที่บริเวณคอหนึ่งแผล และผู้เสียหายที่ 2 มีบาดแผลที่บริเวณคอสองแผล อันเป็นการกระทำต่อผู้เสียหายแต่ละคนแยกออกจากกันได้ อีกทั้งโจทก์ได้ระบุ ป.อ. มาตรา 91 มาในคำขอท้ายฟ้องด้วย ประกอบกับข้อเท็จจริงได้ความว่า หลังจากจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายที่ 1 แล้ว ได้เดินตามไปฟันผู้เสียหายที่ 2 ขณะกำลังเดินเข้าไปในงาน ห่างประมาณ 5 เมตร อันเป็นการฟันผู้เสียหายทั้งสองคนละคราวกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานพยายามฆ่าเป็นสองกระทงความผิด จึงมิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ หรือมิได้กล่าวในฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคแรก
ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับ 60 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ. มาตรา 29, 30 นั้น ไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องปรับบทตามมาตรา 29 เพียงบทเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2444/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาลงโทษเกินกว่าที่ฟ้อง และการพิจารณาความผิดหลายกรรมต่างกันในคดีทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดสองกรรมต่างกันคือ ฐานทำร้ายร่างกายผู้ตายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตราย แก่กายกระทงหนึ่ง และฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนาอีกกระทงหนึ่ง ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องสำหรับความผิดกระทงหลังฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนาแล้ว โจทก์มิได้อุทธรณ์ ดังนั้น ความผิดกระทงหลังนี้จึงเป็นอันยุติไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลล่างทั้งสองนำเอาการตายของผู้ตายซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องว่าเป็นผลอันเกิดจากการกระทำความผิดกระทงหลัง มารับฟังว่าเป็นผลจากการกระทำของจำเลยในความผิดกระทงแรกแล้วพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 290 นั้น เป็นการพิพากษาในข้อที่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องสำหรับความผิดกระทงแรก เป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
จำเลยกับพวกรุมทำร้ายร่างกายผู้ตายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295 ตามฟ้องกระทงแรก แม้โจทก์บรรยายฟ้องในความผิดกระทงแรกนี้ว่า จำเลยแต่ผู้เดียวทำร้ายร่างกายผู้ตายและตามทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยร่วมกับพวกทำร้ายร่างกายผู้ตายด้วย เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ และแม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 288, 289 โดยมิได้ขอให้ลงโทษตามมาตรา 295 มาด้วย ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยตามมาตรา 295 ได้ เพราะถือได้ว่าเป็นความผิดที่รวมอยู่ในบทมาตราที่โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสามและวรรคท้าย
จำเลยกับพวกรุมทำร้ายร่างกายผู้ตายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295 ตามฟ้องกระทงแรก แม้โจทก์บรรยายฟ้องในความผิดกระทงแรกนี้ว่า จำเลยแต่ผู้เดียวทำร้ายร่างกายผู้ตายและตามทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยร่วมกับพวกทำร้ายร่างกายผู้ตายด้วย เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ และแม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 288, 289 โดยมิได้ขอให้ลงโทษตามมาตรา 295 มาด้วย ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยตามมาตรา 295 ได้ เพราะถือได้ว่าเป็นความผิดที่รวมอยู่ในบทมาตราที่โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสามและวรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1333/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ: การยิงเพื่อต่อสู้การข่มขืน
ผู้ตายฉุดจำเลยเข้าไปในป่าข้างทางและปลุกปล้ำเพื่อจะข่มขืนกระทำชำเรา จำเลยจึงใช้อาวุธปืนที่พกติดตัว ยิงใส่ผู้ตายเพื่อป้องกันตัว แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายหลายนัด บางนัดถูกที่หน้าอกขวาใต้นม ที่ชายโครงขวา ที่หน้าท้องและหน้าท้องซ้าย อันเป็นอวัยวะสำคัญพอที่จะยับยั้งผู้ตายได้แล้วซึ่งจำเลยไม่จำต้องยิงถึงหลายนัด ดังนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงว่า ผู้ตายมีรูปร่างสูงใหญ่ แข็งแรง และมีเกรียงเป็นอาวุธ อีกทั้งจำเลยเป็นหญิงอยู่ในภาวะตื่นเต้นตกใจกลัว จึงไม่สมควรลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 69
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 641/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกาย แม้ฟ้องไม่ได้ขอโทษฐานฆ่า แต่การกระทำต่อเนื่องเป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานฆ่า
แม้ฟ้องโจทก์จะไม่ได้ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 มาด้วย แต่ได้บรรยายฟ้องถึงการกระทำของจำเลยกับพวกว่าร่วมกันใช้อาวุธปืนตีทำร้ายร่างกายผู้ตาย และร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า ในลักษณะต่อเนื่องเป็นกรรมเดียวกันกับที่พวกของจำเลยมาเอาอาวุธปืนของจำเลยยิงผู้ตาย การกระทำของจำเลยที่ใช้อาวุธปืนตีทำร้ายผู้ตายจึงเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำที่รวมอยู่ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาได้ความว่าพวกของจำเลยยิงผู้ตายโดยลำพังซึ่งเป็นคนละตอนกับที่จำเลยทำร้ายผู้ตายก็ตาม แต่การที่จำเลยทำร้ายผู้ตายก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำที่รวมอยู่ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายผู้ตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ตามที่พิจารณาได้ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้ายได้
พฤติการณ์ที่จำเลยก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับผู้ตายและใช้อาวุธปืนที่เตรียมไปตีทำร้ายผู้ตายแล้วพวกของจำเลยที่ไปด้วยกันยังใช้อาวุธปืนที่จำเลยนำไปด้วยนั้นยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย กรณีจึงยังไม่สมควรรอการลงโทษให้จำเลย
พฤติการณ์ที่จำเลยก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับผู้ตายและใช้อาวุธปืนที่เตรียมไปตีทำร้ายผู้ตายแล้วพวกของจำเลยที่ไปด้วยกันยังใช้อาวุธปืนที่จำเลยนำไปด้วยนั้นยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย กรณีจึงยังไม่สมควรรอการลงโทษให้จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 625/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนการกระทำความผิดพยายามฆ่า: เจตนาในการส่งมีดพร้าไม่ถึงขั้นเป็นตัวการร่วม
จำเลยที่ 2 เป็นคนส่งมีดพร้าให้จำเลยที่ 1 ฟันทำร้ายพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งหลังจากที่จำเลยที่ 2 ส่งมีดพร้าให้จำเลยที่ 1 แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรอีกเลยแม้ว่าตอนที่จำเลยที่ 1 วิ่งตามผู้เสียหายที่ 2 ไปนั้น จำเลยที่ 2 ได้วิ่งตามไปด้วยก็ดี หรือขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 จะเข้าช่วยเหลือผู้เสียหายที่ 2 จำเลยที่ 2 ก็ได้พูดห้ามปรามว่าอย่ารุมก็ดี ยังไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ตั้งใจจะร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 เนื่องจากขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 ใช้ไม้ตีมือจำเลยที่ 1 จนอาวุธปืนสั้นหลุดจากมือ จำเลยที่ 2 ก็มิได้ใช้มีดพร้าฟันผู้เสียหายที่ 1 หรือผู้เสียหายที่ 2 เสียเอง อันพอจะเป็นการแสดงให้เห็นได้ว่าตั้งใจจะเข้าช่วยเหลือในลักษณะเข้ารุมทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 ตามสภาพอาวุธของตนที่มีอยู่ ฉะนั้นการที่จำเลยที่ 2 เพียงแต่ส่งมีดพร้าให้จำเลยที่ 1 โดยมิได้เข้าร่วมใช้มีดพร้าฟันทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 เสียเอง จึงถือไม่ได้ว่ามีเจตนาเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดดังกล่าว แต่มีลักษณะเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 2 ในการกระทำผิดก่อนกระทำความผิดอีกทั้งการที่จำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 ในตอนแรก จำเลยที่ 2 ยังมิได้ดำเนินการอะไรให้เห็นว่ามีเจตนาที่จะร่วมทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 ส่วนการที่จำเลยที่ 1 ถืออาวุธปืนสั้นมายังที่เกิดเหตุโดยจำเลยที่ 2 ถือมีดพร้ามาด้วยนั้น พฤติการณ์พอถือได้ว่า ต่างคนต่างเจตนาจะครอบครองอาวุธของตนเองตามลำพัง เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนาจะร่วมกันกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงมิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีและพาอาวุธปืนดังกล่าวทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 และพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นเพียงผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 625/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนความผิดพยายามฆ่า: ผู้ส่งอาวุธไม่ถือเป็นตัวการร่วม หากไม่มีเจตนาในการกระทำผิดร่วมกัน
จำเลยที่ 2 เป็นคนส่งมีดพร้าให้จำเลยที่ 1 ฟันทำร้ายพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งหลังจากจำเลยที่ 2 ส่งมีดพร้าให้จำเลยที่ 1 แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรอีกเลยแม้ว่าตอนที่จำเลยที่ 1 วิ่งตามผู้เสียหายที่ 2 ไปนั้นจำเลยที่ 2 ได้วิ่งตามไปด้วยก็ดี หรือขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 จะเข้าช่วยเหลือผู้เสียหายที่ 2 จำเลยที่ 2 ก็ได้พูดห้ามปรามว่า อย่ารุมก็ดี ยังไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ตั้งใจจะร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 เนื่องจากขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 ใช้ไม้ตีมือจำเลยที่ 1 จนอาวุธปืนสั้นหลุดจากมือ จำเลยที่ 2 ก็มิได้ใช้มีดพร้าฟันผู้เสียหายที่ 1 หรือผู้เสียหายที่ 2 เสียเอง อันพอจะเป็นการแสดงให้เห็นได้ว่าตั้งใจจะเข้าช่วยเหลือในลักษณะเข้ารุมทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 ตามสภาพอาวุธของตนที่มีอยู่ ฉะนั้นการที่จำเลยที่ 2 เพียงแต่ส่งมีดพร้าให้จำเลยที่ 1 โดยมิได้เข้าร่วมใช้มีดพร้าฟันทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 เสียเอง จึงถือไม่ได้ว่ามีเจตนา เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดดังกล่าว แต่มีลักษณะเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 2 ในการกระทำผิดก่อนกระทำความผิด อีกทั้งการที่จำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 ในตอนแรก จำเลยที่ 2 ยังมิได้ดำเนินการอะไรให้เห็นว่ามีเจตนาที่จะร่วมทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 ส่วนการที่จำเลยที่ 1 ถืออาวุธปืนสั้นมายังที่ เกิดเหตุโดยจำเลยที่ 2 ถือมีดพร้ามาด้วยนั้น พฤติการณ์พอถือได้ว่าต่างคนต่างเจตนาจะครอบครองอาวุธของตนเอง โดยลำพัง เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนาจะร่วมกันกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงมิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีและ พาอาวุธปืนดังกล่าวทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 และพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นเพียงผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 220/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานอ่อนแอ ขาดเหตุผลสนับสนุนคำรับสารภาพ ศาลยกฟ้องคดีฆ่า
การที่พยานโจทก์เห็นผู้ตายเดินไปหลังบ้านเพื่อล้างมือ และเห็นจำเลยเดินตามไป ต่อมาประมาณ 3 ถึง 4 นาที มีเสียงปืนดังขึ้นนั้น เป็นเพียงข้อสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นคนร้ายเท่านั้น และที่ผู้ตายตบหน้า ว. ภริยาผู้ตายซึ่งเป็นญาติของจำเลยก็มิใช่เหตุที่จำเลยจะต้องโกรธแค้นถึงขนาดคิดฆ่าผู้ตายคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนนั้นก็เป็นเพียงพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย ต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง ปรากฏว่าคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมไม่มีรายละเอียด คงมีการกล่าวหาว่าฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาซึ่งก็มิได้ระบุว่าฆ่าใคร และเขียนไว้ว่าผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาเท่านั้น ส่วนคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวน จำเลยให้การว่าจำเลยเอาอาวุธปืนแก๊ปยาวไปซ่อนไว้หลังบ้านของผู้ตายก่อนแล้วจึงไปร่วมวงดื่มสุรากับผู้ตายและพวก เมื่อผู้ตายลุกขึ้นวิ่งไปบนบ้าน จำเลยเข้าใจว่าผู้ตายจะไปเอาอาวุธปืนมายิงตน จึงวิ่งไปเอาอาวุธปืนแก๊ปยาวที่ซ่อนไว้ออกมาครั้นเห็นผู้ตายอยู่ที่ชานหลังบ้านจำเลยก็ยิงผู้ตายไป 1 นัด แล้วหลบหนีไปซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่แตกต่างกับคำเบิกความพยานโจทก์ ที่ไม่ปรากฏว่ามีการวิ่งแล้วยังไม่สมเหตุผลเพราะคนที่ร่วมดื่มสุราอยู่ด้วยกัน 6 ถึง 7 คน ไม่มีการทะเลาะวิวาทกันแต่อย่างใด จะมาฆ่ากันต่อหน้าบุคคลอื่นในลักษณะเช่นนั้นย่อมไม่น่าเป็นไปได้ ประกอบกับผู้ตายถูกกระสุนปืนบริเวณสีข้างและชายโครงด้านซ้าย ซึ่งไม่สอดคล้องกับภาพถ่ายที่จำเลยแสดงท่ายิงผู้ตายขณะที่ผู้ตายนั่งยอง ๆ อยู่บนชานบ้านและหันหลังให้จำเลยโดยเอียงข้างขวาให้จำเลยเล็กน้อยข้อพิรุธดังกล่าวจึงทำให้คำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง พยานหลักฐานของโจทก์ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8889/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังคำให้การชั้นสอบสวนประกอบการพิจารณาคดี และเจตนาฆ่าจากการกระทำด้วยอาวุธอันตราย
โจทก์มีประจักษ์พยานรู้เห็นใกล้ชิดมาให้การต่อพนักงานสอบสวนแต่ประจักษ์พยานโจทก์เบิกความในชั้นศาลเพื่อช่วยเหลือจำเลย ศาลจึงนำคำให้การของพยานโจทก์ดังกล่าวชั้นสอบสวนมาฟังประกอบข้อพิจารณาของศาลได้ ทั้งไม่มีบทบัญญัติใดห้ามมิให้ศาลรับฟังคำให้การชั้นสอบสวนหรือให้รับฟังแต่เฉพาะพยานที่มาเบิกความต่อศาลเท่านั้น เมื่อคำให้การชั้นสอบสวนเกิดขึ้นโดยสมัครใจของพยานโจทก์ ศาลจึงนำคำให้การพยานชั้นสอบสวนมาฟังประกอบได้
ผู้ตายถูกจำเลยใช้มีดอีโต้ขนาดยาวประมาณ 1 ศอก ฟันที่บริเวณศีรษะและท้อง กะโหลกศีรษะแตกมีสมองไหลไม่รู้สึกตัวเมื่อมาโรงพยาบาลจนแพทย์ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดและเย็บแผลให้ แม้แผลภายนอกจะหาย แต่ผู้ตายก็ยังมีอาการไม่สามารถพูดได้รับฟังไม่รู้เรื่อง แม้จะออกจากโรงพยาบาลมานอนรักษาตัวต่อที่บ้านอาการผู้ตายก็คงเช่นเดิม การที่จำเลยใช้มีดอีโต้ขนาดใหญ่ฟันที่บริเวณท้องและที่ศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญจนเป็นเหตุให้ผู้ตายกะโหลกศีรษะแตกมีสมองไหลเห็นได้ชัดว่าเป็นการฟันอย่างแรง แสดงว่าจำเลยฟันโดยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ความตายของผู้ตายย่อมเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ใช้มีดอีโต้ฟัน จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตาย
ผู้ตายถูกจำเลยใช้มีดอีโต้ขนาดยาวประมาณ 1 ศอก ฟันที่บริเวณศีรษะและท้อง กะโหลกศีรษะแตกมีสมองไหลไม่รู้สึกตัวเมื่อมาโรงพยาบาลจนแพทย์ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดและเย็บแผลให้ แม้แผลภายนอกจะหาย แต่ผู้ตายก็ยังมีอาการไม่สามารถพูดได้รับฟังไม่รู้เรื่อง แม้จะออกจากโรงพยาบาลมานอนรักษาตัวต่อที่บ้านอาการผู้ตายก็คงเช่นเดิม การที่จำเลยใช้มีดอีโต้ขนาดใหญ่ฟันที่บริเวณท้องและที่ศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญจนเป็นเหตุให้ผู้ตายกะโหลกศีรษะแตกมีสมองไหลเห็นได้ชัดว่าเป็นการฟันอย่างแรง แสดงว่าจำเลยฟันโดยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ความตายของผู้ตายย่อมเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ใช้มีดอีโต้ฟัน จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8889/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังคำให้การพยานชั้นสอบสวนประกอบการพิจารณาคดีอาญา และการพิสูจน์ความตายจากบาดแผล
โจทก์มีประจักษ์พยานรู้เห็นใกล้ชิดมาให้การต่อพนักงานสอบสวนแต่ประจักษ์พยานโจทก์เบิกความในชั้นศาลเพื่อช่วยเหลือจำเลย ศาลจึงนำคำให้การของพยานโจทก์ดังกล่าวชั้นสอบสวนมาฟังประกอบข้อพิจารณาของศาลได้ทั้งไม่มีบทบัญญัติใดห้ามมิให้ศาลรับฟังคำให้การชั้นสอบสวนหรือให้รับฟังแต่เฉพาะพยานที่มาเบิกความต่อศาลเท่านั้น เมื่อคำให้การชั้นสอบสวนเกิดขึ้นโดยสมัครใจของพยานโจทก์ ศาลจึงนำคำให้การพยานชั้นสอบสวนมาฟังประกอบได้
ผู้ตายถูกจำเลยใช้มีดอีโต้ขนาดยาวประมาณ 1 ศอก ฟันที่บริเวณศีรษะและท้อง กะโหลกศีรษะแตกมีสมองไหลไม่รู้สึกตัวเมื่อมาโรงพยาบาลจนแพทย์ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดและเย็บแผลให้ แม้แผลภายนอกจะหาย แต่ผู้ตายก็ยังมีอาการไม่สามารถพูดได้รับฟังไม่รู้เรื่อง แม้จะออกจากโรงพยาบาลมานอนรักษาตัวต่อที่บ้านอาการผู้ตายก็คงเช่นเดิม การที่จำเลยใช้มีดอีโต้ขนาดใหญ่ฟันที่บริเวณท้องและที่ศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญจนเป็นเหตุให้ผู้ตายกะโหลกศีรษะแตกมีสมองไหลเห็นได้ชัดว่าเป็นการฟันอย่างแรง แสดงว่าจำเลยฟันโดยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ความตายของผู้ตายย่อมเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ใช้มีดอีโต้ฟัน จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตาย
ผู้ตายถูกจำเลยใช้มีดอีโต้ขนาดยาวประมาณ 1 ศอก ฟันที่บริเวณศีรษะและท้อง กะโหลกศีรษะแตกมีสมองไหลไม่รู้สึกตัวเมื่อมาโรงพยาบาลจนแพทย์ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดและเย็บแผลให้ แม้แผลภายนอกจะหาย แต่ผู้ตายก็ยังมีอาการไม่สามารถพูดได้รับฟังไม่รู้เรื่อง แม้จะออกจากโรงพยาบาลมานอนรักษาตัวต่อที่บ้านอาการผู้ตายก็คงเช่นเดิม การที่จำเลยใช้มีดอีโต้ขนาดใหญ่ฟันที่บริเวณท้องและที่ศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญจนเป็นเหตุให้ผู้ตายกะโหลกศีรษะแตกมีสมองไหลเห็นได้ชัดว่าเป็นการฟันอย่างแรง แสดงว่าจำเลยฟันโดยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ความตายของผู้ตายย่อมเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ใช้มีดอีโต้ฟัน จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตาย