พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,229 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1983/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าร่วมกัน: กลุ่มบุคคลทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธจนถึงแก่ความตาย
ผู้ตายกับพวกนั่งคุยกันอยู่ในบริเวณโรงเรียน จำเลยกับพวกอีก 5 คน เดินเข้าไปหาแล้วจำเลยถาม ป. พวกของผู้ตายว่าไปท้าทายเพื่อนจำเลยจริงหรือไม่ ป. ตอบว่าเพียงแต่พูดล้อเล่นเท่านั้น และพูดขอโทษจำเลย ระหว่างนั้นผู้ตายซึ่งมีอาการเมาสุราได้พูดกับจำเลยว่าให้จำเลยชกต่อยกับ ป. ตัวต่อตัว แต่มีอาจารย์เข้ามาห้ามเสียก่อน ต่อมาเมื่อผู้ตายกับพวกออกไปที่หน้าโรงเรียนจำเลยกับพวกประมาณ 10 คน พากันขับและนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์3 คันมาที่โรงเรียนแล้วจำเลยกับพวกประมาณ 3-4 คน ลงจากรถจักรยานยนต์เดินเข้าไปหาผู้ตายกับพวกจำเลยถาม ป.ว่า ใครพูดว่าให้จำเลยชกกันตัวต่อตัว แต่ ป. ไม่ยอมบอก จำเลยจึงกระโดดเข้าชกผู้ตาย 1 ที ผู้ตายวิ่งหนีไป จำเลยพูดขึ้นว่า เอาเลยพวกไอ้ตัวนี้แหละแล้วจำเลยกับพวกประมาณ 10 คนก็วิ่งไล่ตามผู้ตายไปโดยพวกของจำเลยคนหนึ่งถือมีดปาดตาลยาวทั้งด้ามประมาณ 30 เซนติเมตรไปด้วย 1 เล่ม เมื่อจำเลยกับพวกวิ่งไล่ทันจำเลยกระโดดเตะผู้ตาย1 ที พวกของจำเลยก็เข้ารุมชกต่อยและใช้มีดปาดตาลแทงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย เมื่อคำนึงถึงว่าจำเลยกับพวกซึ่งมีจำนวนมากและมีมีดปาดตาลเป็นอาวุธเข้ารุมทำร้ายผู้ตายซึ่งวิ่งไปเพียงคนเดียวและบาดแผลที่ผู้ตายถูกทำร้ายเป็นบาดแผลฉกรรจ์ที่บริเวณอวัยวะสำคัญแสดงว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาร่วมกันฆ่าผู้ตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1841/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการใช้ทั้งมีดและปืน แม้ไม่ถูกตัว แต่ความผิดฐานพยายามฆ่ายังคงมี และการพิสูจน์ความผิดฐานมีอาวุธปืน
การที่จำเลยใช้มีดพกสั้นวิ่งไล่แทงผู้เสียหายและพูดว่าจะฆ่าผู้เสียหาย แล้วชักอาวุธปืนจ้องยิงไปทางผู้เสียหาย 1 นัดเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย และจำเลยได้ลงมือกระทำความผิดไปแล้ว เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนและพาอาวุธปืนติดตัวไปโดยไม่รับอนุญาต แม้จะฟังได้ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายและในชั้นสืบพยานจำเลย จำเลยจะตอบคำถามค้านของโจทก์ว่าพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่าพยายามฆ่า มีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง และพาอาวุธปืนไปโดยไม่รับอนุญาต และจำเลยได้ลงชื่อไว้ในบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาซึ่งปรากฏตามบันทึกดังกล่าวว่า จำเลยได้ให้การว่าจำเลยไม่เคยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนมาก่อนก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้นำสืบให้เห็นว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน และพาอาวุธปืนติดตัวไปโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1841/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการใช้มีดและอาวุธปืน การพิสูจน์ความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน
การที่จำเลยใช้มีดพกสั้นไล่แทงผู้เสียหายและพูดว่าจะฆ่าผู้เสียหาย แล้วชักอาวุธปืนจ้องยิงไปทางผู้เสียหายเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายและจำเลยได้ลงมือกระทำความผิดไปแล้ว เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายเพราะกระสุนปืนที่จำเลยยิงไปไม่ถูกผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ในคดีอาญาโจทก์มีหน้าที่นำสืบว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง แต่คดีนี้โจทก์มิได้สืบให้เห็นว่าจำเลยมีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน และพาอาวุธปืนติดตัวไปโดยไม่รับอนุญาต แม้จะฟังได้ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย และในชั้นสืบพยานจำเลยจำเลยจะตอบคำถามค้านของโจทก์ว่า พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยและจำเลยได้ลงชื่อไว้ในบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาซึ่งปรากฏตามบันทึกดังกล่าวว่า จำเลยได้ให้การว่าจำเลยไม่เคยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนมาก่อนก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้นำสืบให้เห็นว่า จำเลยกระทำผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน และพาอาวุธปืนติดตัวไปโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงลงโทษจำเลยในข้อหานี้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1841/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าและการมีอาวุธปืน: การพิสูจน์ความผิดฐานพยายามฆ่าและอาวุธปืน
การที่จำเลยใช้มีดพกสั้นวิ่งไล่แทงผู้เสียหายและพูดว่าจะฆ่าผู้เสียหาย แล้วชักอาวุธปืนจ้องยิงไปทางผู้เสียหาย 1 นัด เช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย และจำเลยได้ลงมือกระทำความผิดไปแล้ว เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนและพาอาวุธปืนติดตัวไปโดยไม่รับอนุญาต แม้จะฟังได้ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายและในชั้นสืบพยานจำเลย จำเลยจะตอบคำถามค้านของโจทก์ว่าพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่าพยายามฆ่า มีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง และพาอาวุธปืนไปโดยไม่รับอนุญาต และจำเลยได้ลงชื่อไว้ในบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาซึ่งปรากฏตามบันทึกดังกล่าวว่า จำเลยได้ให้การว่าจำเลยไม่เคยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนมาก่อนก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้นำสืบให้เห็นว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน และพาอาวุธปืนติดตัวไปโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 ไม่ได้
โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนและพาอาวุธปืนติดตัวไปโดยไม่รับอนุญาต แม้จะฟังได้ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายและในชั้นสืบพยานจำเลย จำเลยจะตอบคำถามค้านของโจทก์ว่าพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่าพยายามฆ่า มีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง และพาอาวุธปืนไปโดยไม่รับอนุญาต และจำเลยได้ลงชื่อไว้ในบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาซึ่งปรากฏตามบันทึกดังกล่าวว่า จำเลยได้ให้การว่าจำเลยไม่เคยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนมาก่อนก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้นำสืบให้เห็นว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน และพาอาวุธปืนติดตัวไปโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1491/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวการร่วม ฆ่าผู้อื่น - เจตนาช่วยเหลือและหลบหนีร่วมกัน
การที่จำเลยที่ 2 ยืนอยู่กับจำเลยที่ 1 ในที่เกิดเหตุในสภาพพร้อมที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ และจำเลยที่ 2 ยังได้พูดกับจำเลยที่ 1 ให้ยิงเข้ามาในกลุ่มของผู้ตายกับพวก เมื่อจำเลยที่ 1ยิงผู้ตายกับพวกแล้ว จำเลยที่ 2 ก็ยังหลบหนีไปพร้อมกับจำเลยที่ 1เช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาร่วมกระทำความผิดด้วยกันกับจำเลยที่ 1 จึงเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่นด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1329/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องอาญาฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา แม้ท้ายฟ้องอ้างมาตรา 288 ศาลก็ลงโทษตามมาตรา 290 ได้ หากข้อเท็จจริงสอดคล้อง
การที่โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำของจำเลยกับพวกที่ร่วมกันทำร้ายผู้ตาย จนได้รับบาดเจ็บและเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลยกับพวก และท้ายฟ้องโจทก์อ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ดังนี้เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) และถือได้ว่าเป็นคำฟ้องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 แล้ว การกล่าวว่าผู้ตายตายสมดังเจตนาของจำเลยย่อมแปลได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายนั่นเองหาจำต้องกล่าวซ้ำในฟ้องอีกว่าจำเลยกระทำไปโดยมีเจตนาฆ่าผู้ตายอีกไม่ แม้ตามฟ้องของโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 แต่ถ้าศาลเห็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290 ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290ซึ่งเป็นฐานความผิดที่ถูกต้องได้ กรณีเป็นเรื่องข้อเท็จจริงตามฟ้องนั้นโจทก์สืบสม แต่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1329/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย: ศาลลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนา แม้ฟ้องอ้างฐานเจตนา
โจทก์ บรรยายฟ้อง ว่า จำเลย กับพวก อีกหลายคน ได้ บังอาจร่วมกัน ใช้ กำลังประทุษร้าย ต่อย เตะ ศ. ผู้ตาย จน ล้ม ลงแล้ว จำเลย กับพวก ช่วยกัน จับ ยึด แขน ผู้ตาย ทั้งสอง ข้าง ไว้เพื่อ มิให้ ผู้ตาย ปัดป้อง ขัดขืน แล้ว จำเลย กับพวก ใช้ เท้า กระทืบผู้ตาย จน ได้รับ บาดเจ็บ ม้าม แตก ลำไส้เล็ก ฉีก ขาด กะบังลมซ้ายช้ำ มี โลหิต ตก ใน ช่องท้อง ผู้ตาย ถึงแก่ความตาย เพราะ พิษบาดแผล ที่ จำเลย กับพวก ร่วมกัน ทำร้าย สม ดัง เจตนา ของ จำเลย กับพวก การ ที่ โจทก์ บรรยายฟ้อง ดังกล่าว มี การ ระบุ การกระทำ ของ จำเลย แล้ว ต่อมา ฟ้อง กล่าว ต่อไป ว่า ศ. ผู้ ถูก ทำร้าย ถึงแก่ความตาย สม ดัง เจตนา ของ จำเลย ทั้ง ท้ายคำฟ้อง ของ โจทก์ ได้ อ้าง มาตรา 288 แห่ง ประมวลกฎหมายอาญา จึง เป็น คำฟ้อง ที่ ชอบ ด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 หา จำเป็น ต้องกล่าว ซ้ำ ว่า โดย จำเลย มี เจตนา ฆ่า ผู้อื่น อีก ใน คำฟ้อง ตอนต้น ของ โจทก์ ไม่ เพราะ คำว่า ศ. ผู้ตาย สม ดัง เจตนา ของ จำเลย นั้นย่อม แปล ได้ แล้ว ว่า จำเลย มี เจตนา ฆ่า ผู้ตาย นั่น เอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ถึงแม้โจทก์จะอ้างมาตรา 288 แต่ไม่ได้อ้างมาตรา 290 ด้วยก็ตาม กรณีเป็นเรื่องข้อเท็จจริงตามฟ้องนั้นโจทก์สืบสม แต่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคห้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1188/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามฆ่าจากอาวุธปืนที่ไม่มีเม็ดกระสุน ศาลลดโทษจากเจตนาฆ่าเป็นทำร้ายร่างกาย
จำเลยใช้อาวุธลูกซองสั้นยิงผู้เสียหาย 1 นัด ขณะจำเลยอยู่ห่างผู้เสียหายประมาณ 1 เมตร มีเพียงเขม่าดินปืนไปกระทบที่คางกับคอของผู้เสียหายบาดแผลมีเลือดซึมเล็กน้อย รักษา 7 วันหาย กระสุนปืนที่จำเลยใช้ยิงเป็นกระสุนที่ไม่มีเม็ดกระสุนบรรจุ ย่อมแสดงว่ากระสุนปืนดังกล่าวไม่อาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้โดยแน่แท้การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,81 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1152/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทะเลาะวิวาทและการใช้มีดทำร้ายจนถึงแก่ความตาย ผู้กระทำไม่อาจอ้างป้องกันตัวได้
จำเลยกับผู้ตายทะเลาะและชกต่อยกัน เมื่อ ด. ห้ามจำเลยกับผู้ตายให้เลิกทะเลาะและชกต่อยกันแล้ว จำเลยออกไปเอามีดปลายแหลมที่บ้าน แล้วกลับไปร้องถามผู้ตายว่าทำไมทำกับจำเลยอย่างนี้อันเป็นการท้าทายผู้ตาย พฤติการณ์ของจำเลยเช่นนี้แสดงว่าจำเลยยังคงสมัครใจทะเลาะวิวาทกับผู้ตายอีก จำเลยย่อมไม่อาจยกเอาการป้องกันตัวขึ้นอ้างได้ อาวุธมีดปลายแหลมที่จำเลยใช้แทงผู้ตายมีตัวมีดยาวถึง 7นิ้วฟุต ใบมีดกว้าง 1 นิ้วฟุต และแทงถูกบริเวณเหนือไหปลาร้าด้านซ้ายอันเป็นอวัยวะส่วนสำคัญผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะเสียเลือดมากแม้จำเลยจะแทงผู้ตายเพียงครั้งเดียว จำเลยก็ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นได้ว่าอาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 870/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลพิจารณาลงโทษตามข้อเท็จจริงที่ต่างจากฟ้องได้ หากไม่เป็นสาระสำคัญและจำเลยไม่โต้แย้ง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ.มาตรา 288 แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายอันเป็นเรื่องข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องแต่ข้อแตกต่างดังกล่าวมิใช่ข้อสาระสำคัญและทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาลงโทษจำเลยในข้อหาดังกล่าวตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนี้ได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคสอง และวรรคสาม