พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,229 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1231/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยมีเหตุข่มเหงอย่างร้ายแรงตาม ป.อ.มาตรา 72 และการพิพากษาโทษสำหรับผู้กระทำผิดอายุ 16 ปี
การที่ผู้ตายเมาสุราและได้ บังคับขู่เข็ญโดยใช้ มือผลักอก จำเลยหลายครั้งเพื่อให้จำเลยไปดื่ม สุราด้วย และท้าทายให้ยิงกันพร้อมกับทำท่าล้วงอาวุธปืนเมื่อจำเลยวิ่งหนี ผู้ตายยังวิ่งไล่ตามไปอีก จำเลยจึงใช้ อาวุธปืนยิงทันที ถือ ได้ ว่าจำเลยกระทำไปเพราะถูก ข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วย เหตุอันไม่ เป็นธรรม ตามป.อ. มาตรา 72 พนักงานอัยการฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯมาตรา 772 และข้อหาฆ่าผู้อื่นตาม ป.อ. มาตรา 288 แม้ศาลจะอนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีด้วย ก็หมายถึงอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ เฉพาะ ในข้อหาฆ่าผู้อื่นเท่านั้นเพราะโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายในข้อหาดังกล่าว ส่วนข้อหาความผิดต่อ พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย โจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหายจึงไม่อาจเข้าเป็นโจทก์ร่วมในข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1011/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายโดยบันดาลโทสะ: การป้องกันสิทธิ vs. เหตุข่มเหง
ผู้เสียหายกับพวกไม่พอใจจำเลยในการแบ่งเงินค่าจ้างที่ได้จากการรับจ้างตัดไม้ จึงพากันเข้าไปหาเรื่องและชกต่อยจำเลยก่อนโดยจำเลยมิได้สมัครใจวิวาทด้วย แต่เมื่อผู้เสียหายชกจำเลยแล้วไม่ปรากฏว่าจะทำร้ายจำเลยต่อไปอีก ถือว่าภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายผ่านพ้นไปแล้ว ไม่มีภยันตรายที่จำเลยจักต้องกระทำเพื่อป้องกันอีก การที่จำเลยแทงผู้เสียหายหลังจากถูกชกจึงไม่เป็นการป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 แต่ถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เป็นการกระทำความผิดด้วยเหตุบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
ผู้เสียหายกับจำเลยไม่มีเหตุโกรธเคืองกันอย่างร้ายแรงถึงขนาดที่จะต้องเอาชีวิตกัน ถึงแม้มีดของกลางซึ่งเฉพาะตัวมีดยาว19 เซนติเมตร จะมีขนาดที่ใช้ทำร้ายให้ถึงตายได้และผู้เสียหายถูกแทงตรงบริเวณราวนมซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะส่วนที่สำคัญ แต่จำเลยก็แทงเพียงทีเดียวในทันทีทันใดหลังจากถูกทำร้ายโดยไม่มีโอกาสเลือกตำแหน่งที่จะแทงได้เลย ทั้งไม่มีเวลาคิดทบทวนที่จะกระทำต่อผู้เสียหายในลักษณะใด และได้ใช้อาวุธเท่าที่มีอยู่กระทำไปในช่วงที่ยังอยู่ในโทสะเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะฆ่าผู้เสียหาย คงมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น
ผู้เสียหายกับจำเลยไม่มีเหตุโกรธเคืองกันอย่างร้ายแรงถึงขนาดที่จะต้องเอาชีวิตกัน ถึงแม้มีดของกลางซึ่งเฉพาะตัวมีดยาว19 เซนติเมตร จะมีขนาดที่ใช้ทำร้ายให้ถึงตายได้และผู้เสียหายถูกแทงตรงบริเวณราวนมซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะส่วนที่สำคัญ แต่จำเลยก็แทงเพียงทีเดียวในทันทีทันใดหลังจากถูกทำร้ายโดยไม่มีโอกาสเลือกตำแหน่งที่จะแทงได้เลย ทั้งไม่มีเวลาคิดทบทวนที่จะกระทำต่อผู้เสียหายในลักษณะใด และได้ใช้อาวุธเท่าที่มีอยู่กระทำไปในช่วงที่ยังอยู่ในโทสะเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะฆ่าผู้เสียหาย คงมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1011/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายโดยบันดาลโทสะและเหตุป้องกันสิทธิ การพิจารณาเจตนาและความร้ายแรงของการกระทำ
ผู้เสียหายกับพวกไม่พอใจจำเลยในการแบ่งเงินค่าจ้างที่ได้จากการรับจ้างตัดไม้ จึงพากันเข้าไปหาเรื่องและชกต่อยจำเลยก่อนโดยจำเลยมิได้สมัครใจวิวาทด้วย แต่เมื่อผู้เสียหายชกจำเลยแล้วไม่ปรากฏว่าจะทำร้ายจำเลยต่อไปอีก ถือวันภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายผ่านพ้นไปแล้ว ไม่มีภยันตรายที่จำเลยจักต้องกระทำเพื่อป้องกันอีก การที่จำเลยแทงผู้เสียหายหลังจากถูกชกจึงไม่เป็นการป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 แต่ถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เป็นการกระทำความผิดด้วยเหตุบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ผู้เสียหายกับจำเลยไม่มีเหตุโกรธเคืองกันอย่างร้ายแรงถึงขนาดที่จะต้องเอาชีวิต ถึงแม้มีดของกลางจะมีขนาดที่ใช้ทำร้ายให้ถึงตายได้และผู้เสียหายถูกแทงตรงบริเวณราวนมซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะส่วนที่สำคัญแต่จำเลยก็แทงเพียงทีเดียวในทันทีทันใดหลังจากถูกทำร้ายโดยไม่มีโอกาสเลือกตำแหน่งที่จะแทงได้เลย ทั้งไม่มีเวลาคิดทบทวนที่จะกระทำต่อผู้เสียหายในลักษณะใด และได้ใช้อาวุธเท่าที่มีอยู่กระทำไปในช่วงที่ยังอยู่ในโทสะเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะฆ่าผู้เสียหาย คงมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1011/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายโดยบันดาลโทสะและการป้องกันสิทธิที่เกินเลย ศาลพิจารณาเจตนาและเหตุผลในการกระทำ
ผู้เสียหายกับพวกไม่พอใจจำเลยในการแบ่งเงินค่าจ้างที่ได้จากการรับจ้างตัดไม้ จึงพากันเข้าไปหาเรื่องและชกต่อยจำเลยก่อนโดยจำเลยมิได้สมัครใจวิวาทด้วย แต่เมื่อผู้เสียหายชกจำเลยแล้วไม่ปรากฏว่าจะทำร้ายจำเลยต่อไปอีก ถือว่าภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายผ่านพ้นไปแล้ว ไม่มีภยันตรายที่จำเลยจักต้องกระทำเพื่อป้องกันอีก การที่จำเลยแทงผู้เสียหายหลังจากถูกชกจึงไม่เป็นการป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 แต่ถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เป็นการกระทำความผิดด้วยเหตุบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ผู้เสียหายกับจำเลยไม่มีเหตุโกรธเคืองกันอย่างร้ายแรงถึงขนาดที่จะต้องเอาชีวิตกัน ถึงแม้มีดของกลางซึ่งเฉพาะตัวมีดยาว19 เซนติเมตร จะมีขนาดที่ใช้ทำร้ายให้ถึงตายได้และผู้เสียหายถูกแทงตรงบริเวณราวนมซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะส่วนที่สำคัญ แต่จำเลยก็แทงเพียงทีเดียวในทันทีทันใดหลังจากถูกทำร้ายโดยไม่มีโอกาสเลือกตำแหน่งที่จะแทงได้เลย ทั้งไม่มีเวลาคิดทบทวนที่จะกระทำต่อผู้เสียหายในลักษณะใด และได้ใช้อาวุธเท่าที่มีอยู่กระทำไปในช่วงที่ยังอยู่ในโทสะเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะฆ่าผู้เสียหาย คงมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 864/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าผู้อื่นโดยไม่มีเจตนาไตร่ตรองไว้ก่อน ศาลพิจารณาจากพฤติการณ์ก่อนเกิดเหตุ
จำเลยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองผู้ตายมาก่อน แม้ภรรยาผู้ตายซึ่งเป็นน้องสาวจำเลยได้มาบอกจำเลยว่าทะเลาะกับผู้ตายและผู้ตายได้ยิงปืนขู่ก็ตาม แต่ผู้ตายไม่ได้ทำร้ายภรรยาจึงไม่น่าจะเป็นเหตุถึงกับทำให้จำเลยต้องการฆ่าผู้ตายในขณะนั้น ทั้งปรากฏว่าภรรยาผู้ตายให้จำเลยไปเอากระบือที่ห้างนามาไว้ที่บ้าน การที่จำเลยคว้าอาวุธปืนไปด้วย อาจเพราะเป็นเวลามืดค่ำจึงเอาไปเพื่อป้องกันตัว และก่อนที่จำเลยจะยิงผู้ตายได้มีการพูดจาทักทาย กันก่อนแล้ว จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย หาได้ยิงในทันทีที่พบผู้ตายไม่ ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยคิดฆ่าผู้ตายมาแต่ต้นจึงไม่เป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 864/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่า – การพิจารณาเหตุผลและพฤติการณ์ก่อนการกระทำความผิด เพื่อประกอบการพิจารณาว่าเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่
จำเลยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองผู้ตายมาก่อน แม้ภรรยาผู้ตายซึ่งเป็นน้องสาวจำเลยได้มาบอกจำเลยว่าทะเลาะกับผู้ตายและผู้ตายได้ยิงปืนขู่ก็ตาม แต่ผู้ตายไม่ได้ทำร้ายภรรยาจึงไม่น่าจะเป็นเหตุถึงกับทำให้จำเลยต้องการฆ่าผู้ตายในขณะนั้น ทั้งปรากฏว่าภรรยาผู้ตายให้จำเลยไปเอากระบือที่ห้างนามาไว้ที่บ้าน การที่จำเลยคว้าอาวุธปืนไปด้วย อาจเพราะเป็นเวลามืดค่ำจึงเอาไปเพื่อป้องกันตัว และก่อนที่จำเลยจะยิงผู้ตายได้มีการพูดจาทักทาย กันก่อนแล้ว จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย หาได้ยิงในทันทีที่พบผู้ตายไม่ ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยคิดฆ่าผู้ตายมาแต่ต้นจึงไม่เป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 864/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าผู้อื่นโดยไม่มีเจตนาไตร่ตรองไว้ก่อน การพิจารณาจากพฤติการณ์และเหตุผลในการกระทำ
จำเลยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองผู้ตายมาก่อน แม้ภริยาผู้ตายซึ่งเป็นน้องสาวจำเลยได้มาบอกจำเลยว่าทะเลาะกับผู้ตายและผู้ตายได้ยิงปืนขู่ก็ตาม แต่ผู้ตายไม่ได้ทำร้ายภริยา จึงไม่น่าจะเป็นเหตุถึงทำให้จำเลยต้องการฆ่าผู้ตายในขณะนั้น ทั้งปรากฏว่าภริยาผู้ตายให้จำเลยไปเอากระบือที่ห้างนามาไว้ที่บ้าน การที่จำเลยคว้าอาวุธปืนไปด้วยอาจเพราะเป็นเวลามือค่ำจึงเอาไปเพื่อป้องกันตัว และก่อนที่จำเลยจะยิงผู้ตายได้มีการพูดจาทักทายกันก่อนแล้ว จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย หาได้ยิงในทันทีที่พบผู้ตายไม่ ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยคิดฆ่าผู้ตายมาแต่ต้น จึงไม่เป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 373/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่างกาย vs. เจตนาฆ่า: การพิจารณาจากบาดแผลและสาเหตุแห่งการกระทำ
จำเลยใช้มีดพร้าฟันผู้เสียหายที่ศีรษะด้านหลัง 1 ที จำเลยฟันแล้วก็ถอยหลังไปโดยไม่ได้ฟันผู้เสียหายซ้ำหรือไล่ติดตามฟันผู้เสียหายต่อไปอีก ผู้เสียหายมีบาดแผลที่กลางศีรษะเป็นแนวโค้งจากหน้าไปหลังยาวประมาณ 5 นิ้ว ลึกเพียงถึงผิวนอกของกระดูกกะโหลกศีรษะถูกบาด ขาดตามแนวแผลชั้นนอกเท่านั้น ไม่ได้ทะลุกระดูกกะโหลกศีรษะ หากรักษาไม่ทันไม่น่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิต ทั้งสาเหตุที่จำเลยฟันผู้เสียหายก็เป็นเรื่องเล็กน้อย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาเพียงทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเท่านั้น หาได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 372/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พฤติการณ์ทำร้ายด้วยอาวุธอันตราย แสดงเจตนาฆ่า ประมวลโทษฐานพยายามฆ่าและริบของกลาง
แม้ในตอนแรกจำเลยมีเจตนาจะทำร้ายผู้เสียหายโดยการเตะแต่เมื่อผู้เสียหายไม่ยอมเตะซ้ำและจับขาจำเลยล้มลง จำเลยใช้ขวดสุราตีที่ใบหูผู้เสียหายโดยแรงจนขวดสุราแตก แล้วเอาขวดสุราที่แตกแทงบริเวณลำคอของผู้เสียหาย 1 ครั้ง เกิดบาดแผลที่ใบหูกว้างยางประมาณ 1/4x2 เซนติเมตร และลำคอเป็นแผลปากฉลามกว้างยาวประมาณ 4x4 เซนติเมตร แล้วจำเลยใช้ขวานหน้ากว้างประมาณ 3 นิ้วครึ่ง ตัวขวานยาวประมาณ 5 นิ้วครึ่ง ด้ามยาวประมาณ28 นิ้วครึ่ง ฟันที่บริเวณไหล่ซ้ายใกล้ลำคอผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายยกมือขึ้นกันเอาไว้เมื่อมีผู้มาห้ามปราม จำเลยก็พูดว่าจะซ้ำให้ตาย พฤติการณ์ดังกล่าวบ่งชี้ชัดว่าจำเลยเจตนาจะกระทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 372/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการทำร้ายด้วยอาวุธอันตราย ศาลฎีกาพิพากษาความผิดฐานพยายามฆ่า
จำเลยใช้ขวดแตกซึ่งมีลักษณะเป็นปากฉลามแทงผู้เสียหายโดย แรงที่ลำคออันเป็นอวัยวะสำคัญ เป็นผลให้ที่ลำคอซีกซ้ายของผู้เสียหายเป็นบาดแผลปากฉลาม กว้าง ยาวประมาณ 4x4 เซนติเมตร โลหิตพุ่ง ออกไม่ขาดสาย หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีแล้วผู้เสียหายอาจเสียโลหิตมากและเสียชีวิตได้ และจำเลยยังใช้ขวานผ่า ฟืน หน้าขวานกว้างประมาณ 3 นิ้วครึ่ง ตัวขวานยาวประมาณ 5 นิ้วครึ่งและด้ามขวานยาวประมาณ 28 นิ้วครึ่ง อันเป็นอาวุธประเภทของมี คมขนาด ใหญ่ฟันผู้เสียหายที่บริเวณไหล่ใกล้ลำคอ ซึ่งถ้าผู้เสียหายไม่ยกมือขึ้นกันเอาไว้ คมขวานก็อาจจะไปถูกลำคอผู้เสียหายได้ นอกจากนี้จำเลยยังบอกผู้ที่เข้ามาห้ามปรามว่า จำเลยจะซ้ำผู้เสียหายให้ตายพฤติการณ์ของจำเลยบ่งชี้ชัดว่ามีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย.