พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,229 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 566/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามฆ่า: การชักปืนจ่อหน้าอก ถือเจตนาฆ่า แม้ยังไม่ลั่นไก
การที่จำเลยมาพูดขอซื้อบุหรี่จากผู้เสียหาย ขณะที่ผู้เสียหายเอื้อมมือจะหยิบบุหรี่ในตู้ จำเลยได้เข้าประชิดตัวและชักปืนลูกซองสั้นที่มีกระสุนปืนบรรจุอยู่ออกมาจ่อที่หน้าอกผู้เสียหาย พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายและได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่เนื่องจากผู้เสียหายได้ปัดป้องเสียทัน และแย่งปืนจากจำเลยได้ จำเลยจึงมิได้ลั่นไกปืน กรณีมิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยยับยั้งเสียเองไม่กระทำการให้ตลอดแต่เป็นเรื่องกระทำไปไม่ตลอดตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 445/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าหรือไม่: ปืนลูกซองในที่จำกัด, เหตุโกรธจากการแอบดู, การขู่และปราม
จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองยิงผู้เสียหาย 1 นัด สาเหตุจากผู้เสียหายแอบดูภริยาจำเลยอาบน้ำและยิงในขณะที่ผู้เสียหายตกลงไปในลำเหมืองซึ่งอยู่ในที่จำกัดและจำเลยอยู่ห่างจากผู้เสียหายเพียงเล็กน้อย เมื่อผู้เสียหายขึ้นมาจากลำเหมืองแล้วจำเลยก็ยังถือปืนวิ่งไล่ผู้เสียหายห่าง 2-3 เมตร โดยมิได้ยิงผู้เสียหายอีก ดังนี้จำเลยกระทำไปเพื่อขู่และปรามผู้เสียหายยังไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 389/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ: การทำร้ายจากกลุ่มคนและการใช้ปืนป้องกันตัว
การที่ผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกซึ่งมีจำนวนมาก เข้ากลุ้มรุมทำร้ายจำเลยซึ่งมีแต่ตัวคนเดียวและเป็นเวลากลางคืน จำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายอันใกล้จะถึงแล้วแต่เมื่อผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกไม่มีอาวุธ ทั้งไม่ปรากฏว่าเมื่อจำเลยดิ้นหลุดออกจากกลุ่มผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกแล้วผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกจะเข้ากลุ้มรุมทำร้ายจำเลยอีก การที่จำเลยใช้ปืนยิงเข้าไปในกลุ่มผู้ตายและผู้เสียหายกับพวกเพื่อป้องกันตนจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุก็ไม่ต้องวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะหรือไม่อีกต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 361/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าคดีประทุษร้ายด้วยอาวุธปืน: พฤติการณ์ที่ไม่ชัดเจนทำให้ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัย
ผู้เสียหายเป็นหลานสะใภ้ของจำเลย ตอนเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน ผู้เสียหายยืนจับรถจักรยานเพื่อจะขี่ไปธุระ ได้เกิดทะเลาะโต้เถียงกับจำเลย แล้วปืนลูกซองยาวที่จำเลยถือลงมาจากบ้านได้ลั่นขึ้น 1 นัด กระสุนปืนถูกโคนต้นมะม่วงขวามือด้านหลังผู้เสียหาย ได้ความว่า ขณะนั้นจำเลยกับผู้เสียหายอยู่ห่างกันประมาณ 5 วา แม้ผู้เสียหายจะอ้างว่าจำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหาย ผู้เสียหายก็รับว่าขณะยิง จำเลยถือปืนด้วยมือทั้งสองข้างในลักษณะอยู่ข้างตัวระดับเอว มิได้ประทับเล็งยิงผู้เสียหาย แสดงว่าจำเลยยิงผู้เสียหายในระยะใกล้ด้วยปืนลูกซองยาว เช่นนี้หากจำเลยตั้งใจจะยิงก็ไม่น่าจะผิดพลาดปรากฏด้วยว่าจำเลยชอบใช้อาวุธปืนขู่เข็ญผู้อื่นเสมอ พฤติการณ์แห่งคดีจึงยังไม่แน่ใจว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงโดยเจตนาฆ่าผู้เสียหายดังโจทก์ฟ้อง สมควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นผลดีแก่จำเลย.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 182/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย: ยิงเพื่อยับยั้งการทำร้าย และการครอบครองอาวุธเพื่อป้องกัน
จำเลยใช้ปืนยิงโจทก์ร่วมด้านหน้าซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 3 เมตรโดยยิงไปที่ขา 3 นัด ถูกขาโจทก์ร่วม 1 นัด แล้วจำเลยไม่ได้ยิงต่ออีกถือว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายโจทก์ร่วมเท่านั้น มิได้มีเจตนาฆ่าด้วย โจทก์ร่วมถือไม้เป็นอาวุธไปที่หน้าบ้านจำเลยพร้อมกับ ส. และร้องท้าทายจำเลยให้ออกมาตีกัน แล้วโจทก์ร่วมเดินเข้าหาจำเลยจำเลยตกใจเกรงว่าโจทก์ร่วมจะเข้ามาทำร้าย จึงวิ่งไปเอาอาวุธปืนสั้นของสามีที่เก็บไว้ที่หัวนอนแล้วยิงไปที่ขาโจทก์ร่วม 3 นัด จำเลยเป็นหญิง โจทก์ร่วมมีไม้เป็นอาวุธและมากับ ส. ถือว่าจำเลยยิงโจทก์ร่วมเพียงเพื่อยับยั้งมิให้โจทก์ร่วมเข้ามาทำร้ายจำเลยเท่านั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยหยิบอาวุธปืนของกลางมาใช้เพื่อป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย ถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาครอบครองอาวุธปืนดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 176/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการยิงในขณะไล่จับผู้เสียหาย แม้ไม่ถึงแก่ชีวิตก็ถือเป็นความผิด
การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายในขณะวิ่งไล่ตามจับกุมผู้เสียหายและผู้เสียหายวิ่งหลบหนีไปในความมือพ้นจากการจับกุมของจำเลยในระยะห่างกันประมาณ 5 เมตร โดยเล็งปลายกระบอกปืนไปทางผู้เสียหาย กระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่บริเวณแขนขวาระดับเดียวกับอวัยวะส่วนสำคัญของร่างกาย ถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยเจตนาฆ่า จำเลยลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำของจำเลยไม่บรรลุผล เพราะกระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญ ผู้เสียหายจึงไม่ตายสมดังเจตนาของจำเลยจำเลยจึงต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 138/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บันดาลโทสะ: ศาลฎีกายกเหตุข่มเหงร้ายแรงวินิจฉัยเองได้ แม้จำเลยไม่ได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้
การกระทำโดยบันดาลโทสะเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ การที่ผู้ตายละทิ้งจำเลยไปมีภรรยาใหม่ แล้วเสพสุรามึนเมามาหาจำเลยที่บ้าน เพื่อจะนำบุตรไปอยู่กับภรรยาใหม่ของผู้ตายเมื่อจำเลยไม่ยินยอม ก็ทำร้ายตบตีจำเลย ถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เมื่อจำเลยใช้มีดพร้าฟันศีรษะผู้ตายในขณะนั้นจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 95/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันทำร้ายจนถึงแก่ความตาย: การพิพากษาตัวการร่วม และการพิจารณาเจตนา
จำเลยทั้งสองทราบดีว่า ส. กับผู้ตายมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนวันเกิดเหตุ จำเลยทั้งสองกับ ส. เดินไปพบผู้ตายกับพวกส. ชักมีดปลายแหลมไล่แทงทำร้ายผู้ตาย จำเลยทั้งสองได้วิ่งตามส.เข้าไปด้วยเมื่อส. แทงผู้ตายแล้ว จำเลยทั้งสองได้ช่วยกันกระทืบผู้ตายซ้ำ แล้วจำเลยทั้งสองกับ ส. ก็ได้หลบหนีไปด้วยกันแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยกับพวกที่จะร่วมกันแทงทำร้ายผู้ตายมาแต่ต้น แม้จำเลยทั้งสองจะไม่ได้แทงผู้ตาย เพียงแต่กระทืบผู้ตายอันเป็นการทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจก็ตาม เมื่อการตายของผู้ตายเกิดจากการแทงทำร้ายของพวกจำเลยก็ย่อมถือว่าจำเลยทั้งสองเป็นตัวการในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาด้วย จำเลยทั้งสองกับพวกมาพบผู้ตายโดยบังเอิญ แล้วได้ร่วมกันทำร้ายผู้ตายทันที ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกับพวกมีแผนการหรือไตร่ตรองไว้ก่อนในการที่จะฆ่าผู้ตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 95/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันทำร้ายจนถึงแก่ความตาย: การพิเคราะห์เจตนาและตัวการในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น
จำเลยทั้งสองทราบดีว่า ส. กับผู้ตายมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน วันเกิดเหตุจำเลยทั้งสองกับ ส.เดินไปพบผู้ตายกับพวก ส. ชักมีดปลายแหลมไล่แทงทำร้ายผู้ตาย จำเลยทั้งสองได้วิ่งตาม ส.เข้าไปด้วยเมื่อส.แทงผู้ตายแล้ว จำเลยทั้งสองได้ช่วยกันกระทืบผู้ตายซ้ำแล้วจำเลยทั้งสองกับ ส. ก็ได้หลบหนีไปด้วยกัน แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยกับพวกที่จะร่วมกันแทงทำร้ายผู้ตายมาแต่ต้น แม้จำเลยทั้งสองจะไม่ได้แทงผู้ตาย เพียงแต่กระทืบผู้ตาย อันเป็นการทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจก็ตาม เมื่อการตายของผู้ตายเกิดจากการแทงทำร้ายของพวกจำเลยก็ย่อมถือว่าจำเลยทั้งสองเป็นตัวการในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาด้วย.
จำเลยทั้งสองกับพวกมาพบผู้ตายโดยบังเอิญ แล้วได้ร่วมกันทำร้ายผู้ตายทันทียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกับพวกมีแผนการหรือไตร่ตรองไว้ก่อนในการที่จะฆ่าผู้ตาย.
จำเลยทั้งสองกับพวกมาพบผู้ตายโดยบังเอิญ แล้วได้ร่วมกันทำร้ายผู้ตายทันทียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกับพวกมีแผนการหรือไตร่ตรองไว้ก่อนในการที่จะฆ่าผู้ตาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 95/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา แม้ไม่ได้ลงมือแทงโดยตรง แต่มีส่วนร่วมทำร้ายและหลบหนี
จำเลยทั้งสองทราบดีว่า ส. กับผู้ตายมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนวันเกิดเหตุ จำเลยทั้งสองกับ ส. เดินไปพบผู้ตายกับพวก ส. ชักมีดปลายแหลมไล่แทงทำร้ายผู้ตาย จำเลยทั้งสองได้วิ่งตาม ส. เข้าไปด้วยเมื่อ ส. แทงผู้ตายแล้ว จำเลยทั้งสองได้ช่วยกันกระทืบผู้ตายซ้ำ แล้วจำเลยทั้งสองกับ ส. ก็ได้หลบหนีไปด้วยกันแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยกับพวกที่จะร่วมกันแทงทำร้ายผู้ตายมาแต่ต้น แม้จำเลยทั้งสองจะไม่ได้แทงผู้ตาย เพียงแต่กระทืบผู้ตาย อันเป็นการทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจก็ตาม เมื่อการตายของผู้ตายเกิดจากการแทงทำร้ายของพวกจำเลยก็ย่อมถือว่าจำเลยทั้งสองเป็นตัวการในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาด้วย จำเลยทั้งสองกับพวกมาพบผู้ตายโดยบังเอิญ แล้วได้ร่วมกันทำร้ายผู้ตายทันที ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกับพวกมีแผนการหรือไตร่ตรองไว้ก่อนในการที่จะฆ่าผู้ตาย.