พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,229 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6265/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามฆ่า-ผู้ใช้: อานุภาพอาวุธปืน, การกระทำความผิดไม่สำเร็จ, ความรับผิดของผู้ใช้
อาวุธปืนของกลางที่จำเลยที่ 1 ใช้ยิงรถเป็นเพียงอาวุธปืนแก๊ปยาวประจุปาก เมื่อพิจารณาประกอบกับข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 1 ยิงในขณะที่โจทก์ร่วมที่ 1 ขับรถสวนมา หากอาวุธปืนของกลางมีอานุภาพร้ายแรงจริงน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงมาก แต่จากรายงานการตรวจพิสูจน์สภาพรถบรรทุก ปรากฏความเสียหายเพียงมีร่องรอยถูกยิงด้วยกระสุนปืน 8 รอย รอยยุบแต่ละรอยดังกล่าวไม่ลึกมาก คงมีแต่ครอบพลาสติกของกรอบกระจกหน้าข้างขวาด้านในเพียงแห่งเดียวที่มีรูทะลุค่อนข้างลึก และมีกระจกบังลมหน้ารถแตกจากกระสุนปืน ส่วนบุคคลที่นั่งอยู่ในรถไม่ได้รับอันตรายจากกระสุนปืนเลย แสดงว่าอาวุธปืนของกลางไม่มีอานุภาพร้ายแรงนัก การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นที่ไม่สามารถบรรลุผลได้แน่แท้ เพราะเหตุอาวุธปืนซึ่งเป็นปัจจัยที่ใช้ในการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 81 วรรคแรก
การที่จำเลยที่ 2 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงรถบรรทุกดังกล่าวถือได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่อาจเล็งเห็นได้ว่าอาจเกิดการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นได้ เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นที่ไม่สามารถบรรลุผลได้แน่แท้ เพราะเหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทำ จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดฐานดังกล่าว ซึ่งเป็นความรับผิดทางอาญาตามความผิดที่เกิดขึ้นจากการใช้ตาม ป.อ. มาตรา 87 วรรคแรก
การที่จำเลยที่ 2 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงรถบรรทุกดังกล่าวถือได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่อาจเล็งเห็นได้ว่าอาจเกิดการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นได้ เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นที่ไม่สามารถบรรลุผลได้แน่แท้ เพราะเหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทำ จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดฐานดังกล่าว ซึ่งเป็นความรับผิดทางอาญาตามความผิดที่เกิดขึ้นจากการใช้ตาม ป.อ. มาตรา 87 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5744/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าและพยายามฆ่า, การทำร้ายร่างกาย, ความรับผิดทางแพ่งจากการกระทำทางอาญา, การชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยกับพวกแทงผู้ตายและโจทก์ร่วมที่ 2 อย่างแรงที่อวัยวะสำคัญของร่างกายที่สามารถทำให้ถึงแก่ความตายได้ เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายและโจทก์ร่วมที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัส แพทย์ผู้ตรวจชันสูตรบาดแผลเบิกความว่า หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีโจทก์ร่วมที่ 2 อาจถึงแก่ความตายได้ จึงฟังได้ว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายและพยายามฆ่าโจทก์ร่วมที่ 2
ส่วนโจทก์ร่วมที่ 3 จำเลยใช้มีดแทงและฟันโจทก์ร่วมที่ 3 ตามโอกาสอำนวยไม่ได้เลือกแทงอวัยวะส่วนที่สำคัญของร่างกายทั้งมีดที่ใช้แทงและฟันไม่ใช่มีดขนาดใหญ่ แม้บาดแผลที่โจทก์ร่วมที่ 3 ถูกฟันด้านหลังยาวจากสะบัดขวาถึงเอวด้านซ้ายยาว 50 เซนติเมตร แต่ลึกเพียง 0.4 เซนติเมตร แสดงว่าไม่ใช่บาดแผลร้ายแรงที่จะทำให้โจทก์ร่วมที่ 3 ถึงแก่ความตายได้ จำเลยกับพวกมีเพียงเจตนาทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมที่ 3 เท่านั้น
ส่วนโจทก์ร่วมที่ 3 จำเลยใช้มีดแทงและฟันโจทก์ร่วมที่ 3 ตามโอกาสอำนวยไม่ได้เลือกแทงอวัยวะส่วนที่สำคัญของร่างกายทั้งมีดที่ใช้แทงและฟันไม่ใช่มีดขนาดใหญ่ แม้บาดแผลที่โจทก์ร่วมที่ 3 ถูกฟันด้านหลังยาวจากสะบัดขวาถึงเอวด้านซ้ายยาว 50 เซนติเมตร แต่ลึกเพียง 0.4 เซนติเมตร แสดงว่าไม่ใช่บาดแผลร้ายแรงที่จะทำให้โจทก์ร่วมที่ 3 ถึงแก่ความตายได้ จำเลยกับพวกมีเพียงเจตนาทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมที่ 3 เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4768/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: การใช้อาวุธปืนปล้นทรัพย์ - ลงโทษฐานหนักที่สุด
ความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่ไม่อาจออกใบอนุญาตได้ไว้ในครอบครองและความผิดฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนที่ไม่อาจออกใบอนุญาตได้ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 78 วรรคหนึ่ง กฎหมายบัญญัติบทความผิดและบทลงโทษไว้ในบทมาตราเดียวกัน ย่อมเห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ว่า มีความประสงค์จะให้ความผิดทั้งสองฐานนี้เป็นกรรมเดียวกัน ส่วนความผิดฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนที่ไม่อาจออกใบอนุญาตได้ ตามมาตรา 78 วรรคสาม เป็นบทหนักสำหรับผู้กระทำความผิดฐานใช้อาวุธปืนที่ไม่อาจออกใบอนุญาตได้ หากได้นำอาวุธปืนดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 มาตรา 313 มาตรา 337 มาตรา 339 หรือมาตรา 340 ดังนั้น เมื่อจำเลยร่วมกันมีอาวุธปืนและร่วมกันใช้อาวุธปืนดังกล่าวเพื่อประสงค์อันเดียวกันในการร่วมกันปล้นทรัพย์และร่วมกันใช้อาวุธปืนต่อเนื่องจากการร่วมกันมีอาวุธปืนการกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนที่ไม่อาจออกใบอนุญาตได้กระทำความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 78 วรรคสาม อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2892/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สำคัญผิดในข้อเท็จจริงกับการป้องกันตน ศาลฎีกายกเหตุสำคัญผิดให้จำเลย ไม่ผิดฐานฆ่า
จำเลยฎีกาว่า จำเลยกระทำไปโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงเพราะผู้ตายใช้อาวุธปืนเด็กเล่นเล็งมายังกลุ่มของจำเลยก่อน ทำให้จำเลยสำคัญผิดว่ากำลังจะถูกผู้ตายใช้อาวุธปืนยิง จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเพื่อป้องกันตนอันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริง แม้จำเลยจะไม่ได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในศาลชั้นต้น แต่เหตุที่จำเลยเพิ่งยกข้อต่อสู้นี้ในชั้นอุทธรณ์ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัย ก็เนื่องมาจากจำเลยเพิ่งทราบข้อเท็จจริงในสำนวนการสอบสวนอันเป็นประโยชน์แก่จำเลย เพราะหลังจากเสร็จการพิจารณาของศาลชั้นต้นแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ส่งสำนวนการสอบสวนคดีนี้มาประกอบการวินิจฉัย ซึ่งเอกสารในสำนวนการสอบสวนนั้นมีสาระสำคัญเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในชั้นสอบสวน ศาลจึงชอบที่จะใช้ดุลพินิจรับฟังข้อเท็จจริงจากสำนวนการสอบสวนที่โจทก์ไม่ได้อ้างส่งศาลเป็นพยานเพื่อพิสูจน์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหรือไม่ตามที่ ป.วิ.อ.มาตรา 227 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11794/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าผู้อื่นโดยไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน พิจารณาจากพฤติการณ์และเหตุผลในการกระทำ
แม้จำเลยจะโกรธผู้ตายที่ไล่จำเลยออกจากบ้าน แต่จำเลยออกไปจากบ้านประมาณ 2 ถึง 3 วัน จำเลยจะกลับมาอยู่กับผู้ตายทุกครั้ง ก่อนเกิดเหตุผู้ตายไล่จำเลยออกจากบ้านและจำเลยกลับมาหาผู้ตาย เชื่อว่าเรื่องที่จำเลยถูกผู้ตายไล่ออกจากบ้านไม่ใช่สาเหตุสำคัญที่จำเลยอาฆาตแค้นผู้ตายถึงขั้นตระเตรียมอาวุธไปฆ่าผู้ตาย ทั้งมีดของกลางเป็นเพียงเครื่องใช้ทางการเกษตรที่จำเลยมีไว้ใช้ในการถางหญ้าและตัดอ้อย การที่จำเลยนำมีดของกลางติดตัวมาด้วยจึงไม่อาจฟังว่าตระเตรียมมาเป็นอาวุธฆ่าผู้ตาย ส่วนที่จำเลยรอจังหวะให้ไฟฟ้าในบ้านปิดแล้วมุดลอดสังกะสีบ้านเข้าไปหาผู้ตาย ก็อาจเป็นเพราะบุตรผู้ตายใช้กุญแจคล้องประตูด้านในไว้ ทำให้จำเลยเข้าบ้านไม่ได้ประกอบกับจำเลยอาจไม่ต้องการให้คนในบ้านซึ่งนอนหลับอยู่ทราบว่าจำเลยแอบกลับมาหาผู้ตาย ผู้ตายจึงให้จำเลยลอดเข้าไปหาดังที่จำเลยแก้ฎีกาก็เป็นได้ นอกจากนี้ได้ความว่าจำเลยคุยกับผู้ตายระยะหนึ่ง เมื่อบุตรของผู้ตายตื่นขึ้นมาเปิดไฟฟ้าแล้วเห็นจำเลยอยู่กับผู้ตาย ก็มีเสียงผู้ตายร้องห้ามบุตรของผู้ตายและผู้ตายกอดด้านหน้าจำเลยไว้ เมื่อผู้ตายปล่อยมือ จำเลยและบุตรของผู้ตายจ้องหน้ากัน หลังจากนั้นบุตรของผู้ตายวิ่งออกจากบ้าน จำเลยจึงใช้มีดฟันผู้ตายแล้ววิ่งหนีไป แสดงว่าก่อนที่บุตรผู้ตายจะวิ่งออกไปตามญาติมาไล่จำเลย จำเลยยังไม่มีความคิดที่จะฆ่าผู้ตายดังที่เคยพูดอาฆาตไว้ เชื่อว่าเหตุที่บุตรของผู้ตายวิ่งออกไปตามญาติเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้จำเลยลงมือฆ่าผู้ตายโดยใช้มีดของกลางฟันผู้ตายทันทีหลายครั้งด้วยอารมณ์โกรธเพียงชั่ววูบ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9036/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีแพ่งและอาญา: ทุนทรัพย์ที่พิพาท และการโต้แย้งดุลพินิจศาล
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยเพียงแต่ชกต่อยทำร้ายผู้เสียหาย หากจำเลยจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เสียหายก็เป็นเงินจำนวนไม่เกิน 10,000 บาท นั้น เห็นว่า สิทธิในการฎีกาในคดีส่วนแพ่งนั้น ต้องพิจารณาจากทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา เมื่อคดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ผู้เสียหายเป็นเงิน 179,000 บาท จำเลยฎีกาโต้เถียงว่าจำเลยต้องรับผิดไม่เกิน 10,000 บาท จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาในคดีส่วนแพ่งจึงไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 40 ฎีกาของจำเลยในข้อนี้เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6635/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย แม้ไม่รู้ผู้ลงมือ แต่มีเจตนาวิวาทร่วมกัน
ผู้ตายฝ่ายหนึ่งและจำเลยทั้งสามกับพวกอีกฝ่ายหนึ่งสมัครใจวิวาทต่อสู้กัน ดังนั้น แม้ฝ่ายจำเลยจะมีหลายคน แต่เมื่อสามารถรับรู้และแบ่งฝ่ายแบ่งพวกกันได้ การที่ผู้ตายถูกทำร้ายจนถึงแก่ความตายจึงมิใช่เป็นการตายอันเนื่องมาจากการเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ แต่พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสามถือได้ว่า ต่างมีเจตนาร่วมวิวาททำร้ายผู้ตายมาแต่แรก ดังนั้น แม้ผู้ตายจะถึงแก่ความตายเพราะถูกฝ่ายจำเลยแย่งมีดไปฟันในเหตุการณ์ดังกล่าวโดยไม่รู้ว่าจำเลยคนใดเป็นผู้ฟันผู้ตายแต่จำเลยทั้งสามก็ยังต้องมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 290 วรรคแรก ซึ่งศาล มีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานนี้ได้ เพราะความผิดดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตาม ป.อ. มาตรา 288 ที่โจทก์ขอให้ลงโทษมาด้วย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายจึงไม่ถูกต้อง แต่เมื่อโจทก์ไม่ฎีกาในข้อนี้ขึ้นมา ศาลฎีกาจึงไม่อาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องอันเป็นผลร้ายแก่จำเลยทั้งสามได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6370/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สำคัญผิดเจตนา + บันดาลโทสะ: เหตุยกเว้นความรับผิดอาญา
แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ณ. ตะโกนบอกให้จำเลยที่ 1 หยุด แต่ขณะนั้นจำเลยที่ 1 กำลังยิงต่อสู้กับ อ. โดยบันดาลโทสะ ประกอบกับเกิดเหตุชุลมุนเนื่องจากคนที่มาในงานศพวิ่งแตกตื่น เชื่อว่าจำเลยที่ 1 คงไม่ได้ยิน เมื่อจำเลยที่ 1 เห็น ณ. ซึ่งไม่ได้แต่งเครื่องแบบ ใช้อาวุธปืนยิงจำเลยที่ 1 เช่นนี้ จำเลยที่ 1 ย่อมสำคัญผิดได้ว่า ณ. เป็นพวก อ. และได้ช่วยเหลือ อ. ยิงตน การที่จำเลยที่ 1 ยิงต่อสู้กับ ณ. อันเป็นระยะเวลาต่อเนื่องใกล้ชิดติดพันกับการยิง อ. โดยบันดาลโทสะ ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะเช่นกัน แม้จำเลยที่ 1 ไม่ได้ยกเรื่องยิง ณ. โดยบันดาลโทสะขึ้นต่อสู้ ศาลฎีกาย่อมหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ เพราะเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3610/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันพยายามฆ่าและทำร้ายร่างกายโดยใช้อาวุธปืนและมีด โดยมีเจตนาและร่วมกระทำความผิด
พยานโจทก์ที่อยู่ในเหตุการณ์ขณะคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงและใช้มีดฟันผู้เสียหายทั้งสี่ เบิกความมีรายละเอียดรวมทั้งอธิบายสาเหตุที่มีเรื่องทะเลาะวิวาท และเหตุการณ์ขณะผู้เสียหายที่ 1 ถูกยิง ผู้ที่ยิง ผู้ที่ร่วมในเหตุการณ์ โดยเฉพาะรายละเอียดเกี่ยวกับพฤติการณ์ของจำเลยทั้งสาม ว่ากระทำอะไรบ้างตรงกันในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ พยานโจทก์อยู่หมู่บ้านเดียวกับจำเลยทั้งสามรู้จักกันมานานแล้ว โดยเฉพาะผู้เสียหายที่ 3 รู้จักจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จำเลยทั้งสามเบิกความรับว่า ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกัน จึงไม่มีข้อระแวงสงสัยว่าพยานโจทก์จะเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจำเลยทั้งสาม และตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุระบุว่า มีรอยเลือดตกอยู่เป็นจำนวนมากที่หน้าร้านอาหาร ห่างหน้าร้านเพียง 2 เมตร ที่หน้าร้านมีหลอดไฟฟ้าติดตั้งอยู่ 1 หลอด และจุดที่พบปลอกกระสุนปืนแม้จะมีหลายจุด แต่มีอยู่ 2 ปลอกที่พบบริเวณหน้าร้านใกล้กับบริเวณที่มีรอยเลือด แสดงว่าเหตุเกิดบริเวณหน้าร้านอาหาร เชื่อว่ามีแสงสว่างมองเห็นได้ พยานโจทก์จึงสามารถมองเห็นและจำจำเลยทั้งสามได้โดยไม่ผิดพลาด พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง การอ้างฐานที่อยู่ของจำเลยทั้งสามไม่มีน้ำหนักเพียงพอจะหักล้างได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้อาวุธปืนและมีด ยิงและฟันผู้เสียหายทั้งสี่
ปืนเป็นอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงสามารถทำอันตรายต่อชีวิตได้ จำเลยที่ 1 ยิงผู้เสียหายที่ 1 บริเวณอวัยวะสำคัญ แสดงว่ามีเจตนาฆ่า แต่แพทย์รักษาไว้ทันท่วงที จึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมมาในที่เกิดเหตุในลักษณะพร้อมจะเข้าร่วมกระทำความผิดและได้เข้าร่วมกระทำความผิด โดยจำเลยที่ 3 ส่งอาวุธปืนให้จำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 ใช้มีดฟันที่ศีรษะผู้เสียหายที่ 2 ในขณะเข้าช่วยเหลือผู้เสียหายที่ 1 จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงเป็นตัวการ
ปืนเป็นอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงสามารถทำอันตรายต่อชีวิตได้ จำเลยที่ 1 ยิงผู้เสียหายที่ 1 บริเวณอวัยวะสำคัญ แสดงว่ามีเจตนาฆ่า แต่แพทย์รักษาไว้ทันท่วงที จึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมมาในที่เกิดเหตุในลักษณะพร้อมจะเข้าร่วมกระทำความผิดและได้เข้าร่วมกระทำความผิด โดยจำเลยที่ 3 ส่งอาวุธปืนให้จำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 ใช้มีดฟันที่ศีรษะผู้เสียหายที่ 2 ในขณะเข้าช่วยเหลือผู้เสียหายที่ 1 จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงเป็นตัวการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2925/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานพยายามฆ่า และการไม่ถือเป็นการกลับใจแก้ไขเมื่อช่วยเหลือผู้เสียหายหลังกระทำผิด
จำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหายที่บริเวณซี่โครงซ้ายและไหล่ซ้ายและพยายามใช้อาวุธมีดปาดคอโดยเจตนาฆ่า จำเลยกระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผลให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย การที่จำเลยยับยั้งไม่ใช้อาวุธมีดแทงทำร้ายผู้เสียหายต่อไปจนถึงแก่ความตาย จำเลยก็ยังต้องรับโทษสำหรับความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นที่ได้กระทำไปแล้ว ส่วนการที่จำเลยช่วยนำผู้เสียหายไปส่งโรงพยาบาลและดูแลผู้เสียหายในระหว่างที่รักษาตัวนั้น เมื่อการกระทำของจำเลยบรรลุผลเป็นการพยายามฆ่าผู้เสียหาย ซึ่งกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดแล้ว กรณีจึงมิใช่การกระทำความผิดของจำเลยยังไม่บรรลุผล ไม่เป็นการกลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทำนั้นบรรลุผล ในอันที่จะไม่ต้องรับโทษสำหรับการพยายามกระทำความผิดนั้น ตาม ป.อ. มาตรา 82