พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,813 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1717/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการครอบครองก่อนสัญญาเช่า: โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยที่ครอบครองก่อนไม่ได้ หากไม่ร่วมฟ้องเจ้าของเดิม
จำเลยได้ครอบครองห้องพิพาทอยู่ก่อนที่โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าจากเจ้าของเดิม เมื่อจำเลยไม่ยอมให้โจทก์เข้าครอบครองกรณีต้องด้วย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 477,549 ซึ่งถ้าโจทก์ไม่ขอให้ศาลเรียกเจ้าของเดิมเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมในคดีแล้ว โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยโดยลำพังได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1706/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวางค่าฤชาธรรมเนียมในการอุทธรณ์ ศาลมีอำนาจขยายเวลาได้ แม้ผู้ถูกอุทธรณ์มิได้คัดค้าน
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้องอุทธรณ์โดยผู้อุทธรณ์มิได้วางค่าฤชาธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนอีกฝ่ายหนึ่งพร้อมฟ้องอุทธรณ์เป็นการไม่ชอบนั้น ถ้าผู้อุทธรณ์ไม่ได้ขัดขืน ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะขยายเวลาวางเงินดั่งกล่าวให้ ไม่ควรจะยกอุทธรณ์เสียทีเดียว.
(ประชุมใหญ่)
(ประชุมใหญ่)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1706/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวางค่าฤชาธรรมเนียมในการอุทธรณ์ หากศาลชั้นต้นรับฟ้องโดยมิได้วางค่าธรรมเนียม จำเลยไม่ขัดขืน ศาลอุทธรณ์มีอำนาจขยายเวลาได้
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้องอุทธรณ์โดยผู้อุทธรณ์มิได้วางค่าฤชาธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนอีกฝ่ายหนึ่งพร้อมฟ้องอุทธรณ์เป็นการไม่ชอบนั้น ถ้าผู้อุทธรณ์ไม่ได้ขัดขืน ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะขยายเวลาวางเงินดังกล่าวให้ ไม่ควรจะยกอุทธรณ์เสียทีเดียว (ประชุมใหญ่)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1701/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลฎีกาเมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงขัดกับข้อห้ามอุทธรณ์: คดีค่าเช่า
เมื่อศาลฎีกาเห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ถูกกฎหมาย เพราะเป็นคดีต้องห้ามอุทธรณ์ ในข้อเท็จจริง ซึ่งศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้น แต่ศาลอุทธรณ์กลับวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงไปเสียตรงข้าม ดังนี้ ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาโดยถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมา ไปได้ทีเดียว (โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1701/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลฎีกาเมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงขัดกับข้อจำกัดการอุทธรณ์
เมื่อศาลฎีกาเห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ถูกกฎหมาย เพราะเป็นคดีต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้น แต่ศาลอุทธรณ์กลับวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงไปเสียตรงข้าม ดังนี้ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาโดยถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมา ไปได้ทีเดียว (โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1692/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกเหนือจากที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย และการไม่ตรงกับประเด็นฟ้อง
การวินิจฉัยข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยจากคำพยานหลักฐานในท้องสำนวน แต่เรื่องนี้ศาลชั้นต้นยังหาได้วินิจฉัยประเด็นเรื่องโจทก์ได้บอกเลิกการเช่าแก่จำเลยแล้ว และเรื่องจำเลยใช้สถานที่ประกอบการค้า ศาลอุทธรณ์จึงวินิจฉัยไม่ตรงตามข้อหาในชั้นฟ้องอุทธรณ์ เป็นการไม่ชอบ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1692/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเกินกรอบที่ศาลชั้นต้นพิจารณา ถือเป็นการไม่ชอบ
การวินิจฉัยข้อกฎหมายศาลอุทธรณ์จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยจากคำพยานหลักฐานในท้องสำนวน แต่เรื่องนี้ศาลชั้นต้นยังหาได้วินิจฉัยประเด็นเรื่องโจทก์ได้บอกเลิกการเช่าแก่จำเลยแล้ว และเรื่องจำเลยใช้สถานที่ประกอบการค้า ศาลอุทธรณ์จึงวินิจฉัยไม่ตรงตามข้อหาในชั้นฟ้องอุทธรณ์ เป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1648/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินที่ราชการซื้อเพื่อประโยชน์สาธารณะยังคงเป็นสาธารณสมบัติ แม้มีการให้เช่า ผู้ว่าฯ มีอำนาจฟ้องขับไล่
โรงเรียนประชาบาลประเภทโรงเรียนประถมศึกษาที่นายอำเภอตั้งและดำรงอยู่ด้วยเงินของประชาชนและเงินของการประถมศึกษาในงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการ,ในการจัดตั้งโรงเรียนดังกล่าวได้จัดซื้อที่ 1 แปลงเพื่อใช้เป็นที่ก่อสร้างโรงเรียน และใช้เป็นประโยชน์เกี่ยวกับกิจการของโรงเรียน ที่ดินดังกล่าวนับว่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
ผู้ว่าราชการจังหวัดมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด โดยมีหน้าที่คุ้มครองแลรักษาสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ฯลฯ มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งผิดสัญญาเช่าที่โรงเรียนดังกล่าวแล้วได้
การที่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เห็นแย้งในข้อกฎหมาย ไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิฎีกาในข้อเท็จจริงในเมื่อทุนทรัพย์ไม่เข้าเกณฑ์ที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้.
ผู้ว่าราชการจังหวัดมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด โดยมีหน้าที่คุ้มครองแลรักษาสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ฯลฯ มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งผิดสัญญาเช่าที่โรงเรียนดังกล่าวแล้วได้
การที่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เห็นแย้งในข้อกฎหมาย ไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิฎีกาในข้อเท็จจริงในเมื่อทุนทรัพย์ไม่เข้าเกณฑ์ที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1648/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินที่ราชการซื้อเพื่อประโยชน์สาธารณะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ผู้ว่าฯ มีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้เช่า
โรงเรียนประชาบาลประเภทโรงเรียนประถมศึกษาที่นายอำเภอตั้งและดำรงอยู่ด้วยเงินของประชาชนและเงินของการประถมศึกษาในงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการ ในการจัดตั้งโรงเรียนดังกล่าวได้จัดซื้อที่ 1 แปลงเพื่อใช้เป็นที่ก่อสร้างโรงเรียนและใช้เป็นประโยชน์เกี่ยวกับกิจการของโรงเรียน ที่ดินดังกล่าวนับว่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
ผู้ว่าราชการจังหวัดมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดโดยมีหน้าที่คุ้มครองและรักษาสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ฯลฯมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งผิดสัญญาเช่าที่โรงเรียนดังกล่าวแล้วได้
การที่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เห็นแย้งในข้อกฎหมาย ไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิฎีกาในข้อเท็จจริงในเมื่อทุนทรัพย์ไม่เข้าเกณฑ์ที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ผู้ว่าราชการจังหวัดมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดโดยมีหน้าที่คุ้มครองและรักษาสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ฯลฯมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งผิดสัญญาเช่าที่โรงเรียนดังกล่าวแล้วได้
การที่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เห็นแย้งในข้อกฎหมาย ไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิฎีกาในข้อเท็จจริงในเมื่อทุนทรัพย์ไม่เข้าเกณฑ์ที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1637/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานข่มขืนชำเรา ครูต้องเป็นผู้เลี้ยงดูผู้เสียหาย จึงจะผิดตามมาตรา 247
คำว่า "รับเลี้ยง" ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 247นั้น หมายความถึงผู้ที่เป็นครูและมีหน้าที่เลี้ยงผู้ถูกทำร้ายด้วย
ในคดีข่มขืนชำเรา เมื่อได้ความว่าจำเลยเป็นครูสอนผู้เสียหายแต่ไม่ได้เป็นผู้รับเลี้ยงผู้เสียหายด้วย ดังนี้การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นผิดตามมาตรา 247 อีกบทหนึ่ง(ฎีกาที่ 260/2477)
ในคดีข่มขืนชำเรา เมื่อได้ความว่าจำเลยเป็นครูสอนผู้เสียหายแต่ไม่ได้เป็นผู้รับเลี้ยงผู้เสียหายด้วย ดังนี้การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นผิดตามมาตรา 247 อีกบทหนึ่ง(ฎีกาที่ 260/2477)