คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ม. 22

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 175 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1806/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกฟ้องในคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและการห้ามอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงฯ
ศาลชั้นต้น (ศาลแขวงพระนครเหนือ) พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์จึงต้องห้างอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ.2499 มาตรา 22 แม้ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยมา ก็ไม่ทำให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 157/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมีส่วนร่วมในความผิดทางอาญาและการเป็นผู้เสียหาย: อุทธรณ์โต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยถือเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย
ในคดีฉ้อโกง ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า อ. ได้นำเงินไปลงหุ้นกับจำเลยและพวกเพื่อที่จะเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ววินิจฉัยว่าการที่ อ. นำเงินไปเข้าหุ้นนั้นกระทำไปโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะกระทำผิดกฎหมาย อ. จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายโจทก์อุทธรณ์ว่า ไม่ควรฟังว่า อ. ไม่ใช่ผู้เสียหายเพราะ อ. ไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำผิดด้วยเนื่องจากได้ยับยั้งไม่กระทำการให้ตลอดอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวไม่ได้โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาโดยให้พังเป็นอย่างอื่นเลยคงอุทธรณ์โต้เถียงแต่เพียงว่าการกระทำของ อ.ตามที่ศาลชั้นต้นฟังมานั้นจะถือว่าอ. ไม่ใช่ผู้เสียหายหาได้ไม่เท่านั้น จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 157/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมีส่วนร่วมในการกระทำผิดทางอาญาและการเป็นผู้เสียหาย: อุทธรณ์ข้อกฎหมาย vs. ข้อเท็จจริง
ในคดีฉ้อโกงศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า อ. ได้นำเงินไปลงหุ้นกับจำเลยและพวกเพื่อที่จะเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้ววินิจฉัยว่าการที่ อ.นำเงินไปเข้าหุ้นนั้นกระทำไปโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะกระทำผิดกฎหมาย อ.จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายโจทก์อุทธรณ์ว่า ไม่ควรฟังว่า อ.ไม่ใช่ผู้เสียหายเพราะ อ.ไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำผิดด้วยเนื่องจากได้ยับยั้งไม่กระทำการให้ตลอด อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวไม่ได้โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาโดยให้ฟังเป็นอย่างอื่นเลยคงอุทธรณ์โต้เถียง แต่เพียงว่าการกระทำของ อ.ตามที่ศาลชั้นต้นฟังมานั้นจะถือว่า อ.ไม่ใช่ผู้เสียหายหาได้ไม่เท่านั้นจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2024/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการวินิจฉัยข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์ในคดีที่ศาลแขวงพิพากษายกฟ้อง
คดีที่ศาลแขวงพิพากษายกฟ้องและอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงฯ นั้น ศาลอุทธรณ์จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลแขวงวินิจฉัยมาแล้วเป็นหลักในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย หากข้อเท็จจริงตามที่ศาลแขวงฟังมายังขาดตกบกพร่องหรือไม่เพียงพอ ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจสั่งย้อนสำนวนไปให้ศาลแขวงวินิจฉัยข้อเท็จจริงใดๆ เพื่อนำมาประกอบการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายได้การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยนอกเหนือไปจากข้อเท็จจริงที่ศาลแขวงฟังเป็นยุติมาแล้ว. จึงเป็นการวินิจฉัยที่มิชอบแม้จำเลยจะมิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นอ้างอิง ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ เพราะเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยและเป็นการจำเป็นที่จะต้องให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225,208(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2024/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกเหนือจากที่ศาลแขวงวินิจฉัย และหลักการพิจารณาคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
คดีที่ศาลแขวงพิพากษายกฟ้องและอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงฯ นั้น ศาลอุทธรณ์จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลแขวงวินิจฉัยมาแล้วเป็นหลักในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย หากข้อเท็จจริงตามที่ศาลแขวงฟังมายังขาดตกบกพร่องหรือไม่เพียงพอ ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจสั่งย้อนสำนวนไปให้ศาลแขวงวินิจฉัยข้อเท็จจริงใด ๆ เพื่อนำมาประกอบการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายได้การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยนอกเหนือไปจากข้อเท็จจริงที่ศาลแขวงฟังเป็นยุติมาแล้ว จึงเป็นการวินิจฉัยที่มิชอบแม้จำเลยจะมิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นอ้างอิง ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยและเป็นการจำเป็นที่จะต้องให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225, 208(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2603/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลแขวงจำกัดในการอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงในคดีอาญาฉ้อโกง และการใช้ดุลพินิจยุติการสืบพยาน
คดีฉ้อโกง การที่ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้วสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิพากษายกฟ้อง เป็นการใช้ดุลพินิจตามมาตรา 174 วรรคท้าย แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ว่าจำเป็นต้องสืบพยานต่อไปอีกหรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง และการที่ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์มิได้ซื้อที่พิพาทเพราะหลงเชื่อคำหลอกลวงของจำเลยถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตหลอกลวงโจทก์ ข้อนี้ก็เป็นปัญหาในข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน เมื่อศาลชั้นต้นที่พิพากษายกฟ้องเป็นศาลแขวงโจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าว เพราะเป็นการต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงฯ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2603/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลแขวงและขอบเขตการอุทธรณ์คดีฉ้อโกง: ปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้ว ไม่อุทธรณ์ได้
คดีฉ้อโกง การที่ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว สั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิพากษายกฟ้อง เป็นการใช้ดุลพินิจตามมาตรา 174 วรรคท้าย แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าจำเป็นต้องสืบพยานต่อไปอีกหรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง และการที่ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์มิได้ซื้อที่พิพาทเพราะหลงเชื่อคำหลอกลวงของจำเลยถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตหลอกลวงโจทก์ ข้อนี้ก็เป็นปัญหาในข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน เมื่อศาลชั้นต้นที่พิพากษายกฟ้องเป็นศาลแขวงโจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าว เพราะเป็นการต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงฯ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1974/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คดีในศาลแขวงต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวง หากไม่เข้าข้อยกเว้นห้ามอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง
เมื่อคดีอยู่ในอำนาจของศาลแขวงแล้ว การอุทธรณ์ต้องอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ. 2499 มาตรา 22 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2503มาตรา 10 คือ ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรานี้ แต่ถ้ามีการรับรองให้อุทธรณ์ตามมาตรา 22 ทวิก็อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลชั้นต้นสั่งฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ว่า "รับเป็นคำฟ้องอุทธรณ์สำเนาให้ฝ่ายหนึ่งแก้" เพียงเท่านี้ยังไม่ถือว่าผู้พิพากษาผู้พิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาได้มีคำสั่งอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเพราะในคำสั่งมิได้ชี้แจงเหตุผลว่าข้อความที่ตัดสินเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลอุทธรณ์ และมีคำสั่งอนุญาตให้อุทธรณ์ได้ อุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่เป็นอุทธรณ์ที่จะรับไว้พิจารณาได้ตาม มาตรา 22 ทวิ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า คดีโจทก์มีมูล จะเด็ดขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 ต้องเป็นการ อุทธรณ์เรื่องการไต่สวนมูลฟ้องในคดีที่มิต้องบังคับตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499เมื่ออุทธรณ์ครั้งแรกของโจทก์ถูกห้ามมิให้อุทธรณ์ตามกฎหมายอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคแรก แล้วศาลอุทธรณ์ก็ไม่มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1974/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่ศาลแขวงพิจารณา ต้องได้รับอนุญาตตามกฎหมายเฉพาะ หากไม่ได้รับอนุญาต ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจพิจารณา
เมื่อคดีอยู่ในอำนาจของศาลแขวงแล้ว การอุทธรณ์ต้องอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2503มาตรา 10 คือ ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรานี้ แต่ถ้ามีการรับรองให้อุทธรณ์ตามมาตรา 22 ทวิก็อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลชั้นต้นสั่งฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ว่า 'รับเป็นคำฟ้องอุทธรณ์ สำเนาให้ฝ่ายหนึ่งแก้' เพียงเท่านี้ยังไม่ถือว่าผู้พิพากษาผู้พิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาได้มีคำสั่งอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเพราะในคำสั่งมิได้ชี้แจงเหตุผลว่าข้อความที่ตัดสินเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลอุทธรณ์ และมีคำสั่งอนุญาตให้อุทธรณ์ได้ อุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่เป็นอุทธรณ์ที่จะรับไว้พิจารณาได้ตาม มาตรา 22 ทวิ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า คดีโจทก์มีมูล จะเด็ดขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 ต้องเป็นการอุทธรณ์เรื่องการไต่สวนมูลฟ้องในคดีที่มิต้องบังคับตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499เมื่ออุทธรณ์ครั้งแรกของโจทก์ถูกห้ามมิให้อุทธรณ์ตามกฎหมายอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคแรก แล้วศาลอุทธรณ์ก็ไม่มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1684/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจไม่อนุญาตอุทธรณ์ข้อเท็จจริงเป็นอำนาจเฉพาะของผู้พิพากษาคดีชั้นต้น, การขอรับรองอุทธรณ์โดยอธิบดีกรมอัยการ
คดีที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 22แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ เมื่อผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาพิพากษาคดีนั้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้อุทธรณ์แล้ว ผู้อุทธรณ์จะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวนั้นต่อศาลอุทธรณ์อีกไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นอำนาจเฉพาะตัวของผู้พิพากษาผู้นั้น
of 18