พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,639 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1802/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมที่ไม่ชอบตามกฎหมาย และผลกระทบต่อสิทธิในที่ดิน การครอบครองปรปักษ์
อำเภอเปรียบเทียบให้ที่นาและที่สวนเป็นสิทธิแก่ฝ่ายจำเลย แต่ปรากฎว่าที่นาและที่สวนนี้เป็นมรดกได้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เยาว์ และมารดาโจทก์ร่วมกัน เมื่อมารดาโจทก์แต่ผู้เดียวได้ยินยอมตามที่อำเภอเปรียบเทียบการยินยอมนั้น ย่อมไม่ชอบตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1546
อย่างไรก็ดีเมื่อฝ่ายจำเลยได้ครอบครองที่นาและที่สวนพิพาทนี้มาเกิน 1 ปีแล้วฝ่ายจำเลยก็ได้สิทธิครอบครองที่นาพิพาท เพราะเป็นที่มือเปล่า ส่วนที่สวนโจทก์ฟ้องเรียกคืนได้ เพราะจำเลยยังครอบครองไม่ถึง 10 ปี
ประเด็นข้อที่ว่ามารดาไม่มีอำนาจให้ความยินยอมแทนบุตรตามที่อำเภอเปรียบเทียบตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1546 นั้น เป็นเรื่องกะทบกะเทือนถึงสิทธิของผู้เยาว์และเป็นข้อ ก.ม.อันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะไม่ได้อ้างกันมาแต่ต้น ศาลสูงก็มีอำนาจวินิจฉัยได้
อย่างไรก็ดีเมื่อฝ่ายจำเลยได้ครอบครองที่นาและที่สวนพิพาทนี้มาเกิน 1 ปีแล้วฝ่ายจำเลยก็ได้สิทธิครอบครองที่นาพิพาท เพราะเป็นที่มือเปล่า ส่วนที่สวนโจทก์ฟ้องเรียกคืนได้ เพราะจำเลยยังครอบครองไม่ถึง 10 ปี
ประเด็นข้อที่ว่ามารดาไม่มีอำนาจให้ความยินยอมแทนบุตรตามที่อำเภอเปรียบเทียบตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1546 นั้น เป็นเรื่องกะทบกะเทือนถึงสิทธิของผู้เยาว์และเป็นข้อ ก.ม.อันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะไม่ได้อ้างกันมาแต่ต้น ศาลสูงก็มีอำนาจวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1802/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจยินยอมของมารดาแทนบุตรผู้เยาว์, สิทธิครอบครองเวนคืน, และการฟ้องขับไล่
อำเภอเปรียบเทียบให้ที่นาและที่สวนเป็นสิทธิแก่ฝ่ายจำเลยแต่ปรากฏว่า ที่นาและที่สวนนี้เป็นมรดกตกได้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เยาว์ และมารดาโจทก์ร่วมกัน เมื่อมารดาโจทก์แต่ผู้เดียวได้ยินยอมตามที่อำเภอเปรียบเทียบการยินยอมนั้นย่อมไม่ชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546
อย่างไรก็ดี เมื่อฝ่ายจำเลยได้ครอบครองที่นาและที่สวนพิพาทนี้มาเกิน 1 ปีแล้วฝ่ายจำเลยก็ได้สิทธิครอบครองที่นาพิพาท เพราะเป็นที่มือเปล่า ส่วนที่สวนโจทก์ฟ้องเรียกคืนได้ เพราะจำเลยยังครอบครองไม่ถึง 10 ปี
ประเด็นข้อที่ว่ามารดาไม่มีอำนาจให้ความยินยอมแทนบุตรตามที่อำเภอเปรียบเทียบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1546 นั้น เป็นเรื่องกระทบกระเทือนถึงสิทธิของผู้เยาว์และเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนวินิจฉัยได้
อย่างไรก็ดี เมื่อฝ่ายจำเลยได้ครอบครองที่นาและที่สวนพิพาทนี้มาเกิน 1 ปีแล้วฝ่ายจำเลยก็ได้สิทธิครอบครองที่นาพิพาท เพราะเป็นที่มือเปล่า ส่วนที่สวนโจทก์ฟ้องเรียกคืนได้ เพราะจำเลยยังครอบครองไม่ถึง 10 ปี
ประเด็นข้อที่ว่ามารดาไม่มีอำนาจให้ความยินยอมแทนบุตรตามที่อำเภอเปรียบเทียบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1546 นั้น เป็นเรื่องกระทบกระเทือนถึงสิทธิของผู้เยาว์และเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1800/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจดุลยพินิจศาลในการเลื่อนคดีอาญาเมื่อโจทก์และพยานไม่มาศาล
คดีอาญาวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง มีแต่ทนายโจทก์ไปศาลแต่โจทก์ไม่ไปศาล พยานก็ไม่ไปศาลเช่นนี้ถ้าทนายโจทก์ขอเลื่อน ก็อยู่ในดุลยพินิจของศาลที่ให้เลื่อนหรือไม่
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นไม่สมควรให้เลื่อน จึงเป็นอันยุติตามที่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ชี้ไว้เพราะเป็นดุลยพินิจ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นไม่สมควรให้เลื่อน จึงเป็นอันยุติตามที่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ชี้ไว้เพราะเป็นดุลยพินิจ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1800/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจดุลพินิจศาลในการเลื่อนคดีอาญา: การไม่มาศาลของโจทก์และพยาน
คดีอาญาวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง มีแต่ทนายโจทก์ไปศาลแต่โจทก์ไม่ไปศาล พยานก็ไม่ไปศาลเช่นนี้ ถ้าทนายโจทก์ขอเลื่อน ก็อยู่ในดุลพินิจของศาลที่ให้เลื่อนหรือไม่
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นไม่สมควรให้เลื่อน จึงเป็นอันยุติตามที่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ชี้ไว้ เพราะเป็นดุลพินิจ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นไม่สมควรให้เลื่อน จึงเป็นอันยุติตามที่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ชี้ไว้ เพราะเป็นดุลพินิจ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1784/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลอมตัวเป็นผู้อื่นตามประมวลกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 306(1) แม้ไม่มีตัวตนจริง ก็ถือว่าผิด
คำว่า "ปลอมตัวเป็นคนอื่น" ตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 306(1) นั้น มุ่งหมายถึงการแสดงตัวให้เขาหลงเชื่อว่าเป็นคนอื่น ซึ่งไม่ใช่ตัวของตัวเอง
จำเลยใช้ถ้อยคำหลอกลวงให้เขาหลงเชื่อว่าจำเลยเป็นนายร้อยตำรวจโทประจำกองสอบสวนกลางปทุมวัน (ระบุชื่อ) เมื่อความจริงจำเลยมิใช่เป็นนายร้อยตำรวจประจำกองสอบสวนกลางแล้ว แม้จะไม่ปรากฎว่ามีนายร้อยตำรวจโทชื่อนั้นในกองสอบสวนกลางหรือไม่, ก็ถือว่าเป็นการปลอมตัวตามความหมายในมาตรา 306(1) แล้ว
จำเลยใช้ถ้อยคำหลอกลวงให้เขาหลงเชื่อว่าจำเลยเป็นนายร้อยตำรวจโทประจำกองสอบสวนกลางปทุมวัน (ระบุชื่อ) เมื่อความจริงจำเลยมิใช่เป็นนายร้อยตำรวจประจำกองสอบสวนกลางแล้ว แม้จะไม่ปรากฎว่ามีนายร้อยตำรวจโทชื่อนั้นในกองสอบสวนกลางหรือไม่, ก็ถือว่าเป็นการปลอมตัวตามความหมายในมาตรา 306(1) แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1784/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลอมตัวเป็นผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 306(1) คือการแสดงตนเท็จ
คำว่า "ปลอมตัวเป็นคนอื่น" ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา306(1) นั้น มุ่งหมายถึงการแสดงตัวให้เขาหลงเชื่อว่าเป็นคนอื่น ซึ่งไม่ใช่ตัวของตัวเอง
จำเลยใช้ถ้อยคำหลอกลวงให้เขาหลงเชื่อว่า จำเลยเป็นนายร้อยตำรวจโทประจำกองสอบสวนกลางปทุมวัน(ระบุชื่อ) เมื่อความจริงจำเลยมิใช่เป็นนายร้อยตำรวจประจำกองสอบสวนกลางแล้ว แม้จะไม่ปรากฏว่ามีนายร้อยตำรวจโทชื่อนั้นในกองสอบสวนกลางหรือไม่ ก็ถือว่าเป็นการปลอมตัวตามความหมายในมาตรา306(1) แล้ว (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 25/2493)
จำเลยใช้ถ้อยคำหลอกลวงให้เขาหลงเชื่อว่า จำเลยเป็นนายร้อยตำรวจโทประจำกองสอบสวนกลางปทุมวัน(ระบุชื่อ) เมื่อความจริงจำเลยมิใช่เป็นนายร้อยตำรวจประจำกองสอบสวนกลางแล้ว แม้จะไม่ปรากฏว่ามีนายร้อยตำรวจโทชื่อนั้นในกองสอบสวนกลางหรือไม่ ก็ถือว่าเป็นการปลอมตัวตามความหมายในมาตรา306(1) แล้ว (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 25/2493)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1783/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกเลิกกฎหมายเก่าเกี่ยวกับการขัดขืนหมายเรียกพยาน และความผิดตามกฎหมายอาญา
พ.ร.บ.ลักษณะพยาน ร.ศ. 113 มาตรา 48(5) เรื่องพยานขัดหมายเรียกของพนักงานสอบสวนนั้น +ได้ว่าให้ถูกยกเลิกโดย พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวล ก.ม.พิจารณาความอาญา พ.ศ. 2477 มาตรา 4 และมาตรา 3 +เพราะได้มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 133 ประกอบด้วยมาตรา 304(2) กฎหมายอาญา
พยานที่ขัดขืนไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของพนักงานสอบสวนคือไม่ยอมเป็นพยานต่อพนักงานสอบสวนนั้น ย่อมมีผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 334(2)
(รูปคดีไม่ตรงกับฎีกาที่ 1140/2481)
พยานที่ขัดขืนไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของพนักงานสอบสวนคือไม่ยอมเป็นพยานต่อพนักงานสอบสวนนั้น ย่อมมีผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 334(2)
(รูปคดีไม่ตรงกับฎีกาที่ 1140/2481)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1783/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขัดขืนหมายเรียกพนักงานสอบสวน: กฎหมายลักษณะพยานถูกยกเลิกโดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
พ.ร.บ.ลักษณะพยาน ร.ศ.113 มาตรา 48(5) เรื่องพยานขัดหมายเรียกของพนักงานสอบสวนนั้น ถือได้ว่าได้ถูกยกเลิกโดยพ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ศ.2477 มาตรา4 และมาตรา 3 กฎหมายอาญาแล้ว เพราะได้มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 133 ประกอบด้วยมาตรา334(2) กฎหมายอาญา
พยานที่ขัดขืนไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของพนักงานสอบสวนคือไม่ยอมไปเป็นพยานต่อพนักงานสอบสวนนั้น ย่อมมีผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 334(2) (รูปคดีไม่ตรงกับฎีกาที่ 1140/2481)
พยานที่ขัดขืนไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของพนักงานสอบสวนคือไม่ยอมไปเป็นพยานต่อพนักงานสอบสวนนั้น ย่อมมีผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 334(2) (รูปคดีไม่ตรงกับฎีกาที่ 1140/2481)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1782/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาข้อเท็จจริงในคดีรับของโจร: เมื่อศาลชั้นต้น/อุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์ฎีกาไม่ได้
ในคดีฟ้องหาว่าจำเลยรับของโจร ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยถือว่าทางพิจารณาได้ความต่างกับฟ้อง ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยรับไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นของที่ได้มาจากการกระทำผิดกฎหมายจึงพิพากษายืน ดังนี้ โจทก์จะฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 (อ้างฎีกาที่ 1344/2492)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1782/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องรับของโจร: โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยฟังว่าจำเลยไม่รู้ว่าเป็นของผิดกฎหมาย
ในคดีฟ้องหาว่าจำเลยรับของโจร ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยถือว่าทางพิจารณาได้ความต่างกับฟ้องศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยรับไว้โดยไม่รู้ว่า เป็นของที่ได้มาจากการกระทำผิดกฎหมาย, จึงพิพากษายืน ดังนี้โจทก์จะฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ต้องห้ามตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 219
(อ้างฎีกาที่ 1344/2492)
(อ้างฎีกาที่ 1344/2492)