คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ม. 49

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,535 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2616/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างก่อนครบกำหนดสัญญา และการยกข้อต่อสู้เกินกว่าที่ระบุในหนังสือเลิกจ้าง
ฟ้องแย้งของจำเลยบรรยายเพียงว่าผู้ที่สั่งจองห้องพักของจำเลยไว้ได้ยกเลิกการจองห้องพักในภายหลังเพราะไม่พอใจการกระทำของโจทก์ค่าห้องพักที่ถูกยกเลิกการสั่งจองคิดเป็นเงินจำนวน10,936,655.50บาทโดยไม่มีรายละเอียดเพียงพอที่จะให้เข้าใจได้ว่าผู้จองห้องพักและได้ยกเลิกการสั่งจองในภายหลังนั้นได้จองห้องพักเมื่อใดจองห้องพักจำนวนมากน้อยและมีกำหนดระยะเวลาที่จองนานเท่าใดกับได้ยกเลิกการสั่งจองห้องพักเมื่อใดเป็นฟ้องแย้งที่ไม่แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นเป็นฟ้องแย้งที่เคลือบคลุม ตามสัญญาจ้างกำหนดว่าจำเลยจ้างโจทก์มีกำหนดระยะเวลา3ปีโดยจำเลยหรือโจทก์ต่างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างก่อนครบกำหนดระยะเวลา3ปีดังกล่าวได้การที่จำเลยบอกเลิกจ้างโจทก์ก่อนครบกำหนดระยะเวลา3ปีเป็นการใช้สิทธิเลิกสัญญาจ้างตามที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้างดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม จำเลยจะมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายหรือเงินจำนวนใดๆให้โจทก์ดังคำให้การต่อสู้คดีของจำเลยทั้งสองเพียงใดหรือไม่จะต้องพิจารณาถึงเหตุของการเลิกจ้างในขณะที่เลิกจ้างเป็นสำคัญซึ่งตามหนังสือเลิกจ้างโจทก์ของจำเลยไม่ได้ระบุเหตุของการเลิกจ้างว่าเพราะโจทก์กระทำผิดตามประเด็นข้อพิพาทข้อ3ถึงข้อ6การที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์กระทำผิดตามประเด็นข้อพิพาทข้อ3ถึงข้อ6จึงเป็นการยกข้อต่อสู้นอกเหนือหนังสือเลิกจ้างซึ่งจำเลยจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 195-197/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างเนื่องจากไม่ได้รับการปรับค่าจ้าง 3 ปีต่อเนื่อง ข้อบังคับใหม่ใช้บังคับได้ทันที
ผลของการที่โจทก์ทั้งสามไม่ได้รับการปรับอัตราค่าจ้างประจำปีรวม3ปีติดต่อกันเป็นการหย่อนสมรรถภาพในการทำงานตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานใหม่เป็นเงื่อนไขที่มีอยู่ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเดิมข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานใหม่ได้เปลี่ยนแปลงเพียงเงื่อนเวลาการไม่ได้รับการปรับค่าจ้างประจำปีจากเดิมซึ่งไม่จำต้องเป็น3ปีขยายมาเป็นมีกำหนดระยะเวลา3ปีเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่เป็นคุณแก่ลูกจ้างมีผลบังคับใช้ได้ทันทีเมื่อผลการปฏิบัติงานของโจทก์ทั้งสามเข้าเกณฑ์ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานใหม่จำเลยย่อมเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามได้มิได้เป็นการบังคับย้อนหลังหรือไม่เป็นคุณแก่โจทก์ทั้งสามเป็นการไม่เป็นธรรมแต่ประการใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7044/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลกระทบ พ.ร.บ.ประดิทิน พ.ศ.2483 ต่อการคำนวณอายุ และการเลิกจ้างก่อนเกษียณ
ตาม พ.ร.บ.ปีประดิทิน พ.ศ.2483 เปลี่ยนระยะเวลาสิบสองเดือนของปีประดิทินจากเดือนเมษายนถึงเดือนมีนาคมมาเป็นเดือนมกราคมถึงเดือนธันวาคมของแต่ละปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2484 และบัญญัติให้เดือนมกราคมกุมภาพันธ์ และมีนาคม ของปี 2483 เป็นเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคมของปี 2484 โดยบทบัญญัติดังกล่าว สำหรับบุคคลที่เกิดก่อนวันที่ 1 มกราคม 2484หากเกิดในเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ หรือมีนาคม อายุจริงของบุคคลนั้นจะน้อยกว่าอายุที่นัยตามประดิทิน 1 ปี เพราะอายุที่นับตามประดิทินต้องนับอายุของปี 2483ที่ตัดออกไปเข้าไปด้วยทั้งปี ดังเช่นกรณีของโจทก์ซึ่งเกิดวันที่ 9 มีนาคม 2480 ในวันที่ 9 มีนาคม 2484 ถ้านับตามประดิทินโจทก์มีอายุ 4 ปีบริบูรณ์ ทั้ง ๆ ที่ตามความเป็นจริงในวันดังกล่าวโจทก์มีอายุเพียง 3 ปีบริบูรณ์เท่านั้น เพราะวันที่ 9มีนาคม 2484 นั้น ถ้าไม่มี พ.ร.บ.ประดิทิน พ.ศ.2483 ออกใช้บังคับ ก็เป็นวันที่9 มีนาคม 2483 นั่นเอง ดังนั้นการนับอายุจริงสำหรับบุคคลที่เกิดก่อนวันที่ 1มกราคม 2484 และเกิดในเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ หรือมีนาคม จึงต้องนำอายุตามประดิทินมาบวกอีก 1 ปี โจทก์ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2480 มีอายุครบ55 ปี ตามประดิทินในปี 2535 เมื่อบวกอีก 1 ปี โจทก์จึงมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ในวันที่ 9 มีนาคม 2536 ซึ่งตามระเบียบของจำเลย โจทก์จะต้องเกษียณอายุในวันที่ 31 ธันวาคม 2536 การเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างก่อนเกษียณอายุและเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5780/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือเตือน, การเลิกจ้างที่เป็นธรรม, การหักกลบลบหนี้เงินทดรองจ่าย: สิทธิและหน้าที่นายจ้างลูกจ้าง
อุทธรณ์เรื่องการแปลความหมายแห่งเอกสารว่าเป็นหนังสือเตือนหรือไม่ เป็นอุทธรณ์ในข้อกฎหมาย เอกสารที่เป็นคำรับของโจทก์ว่ามาทำงานสายอันเป็นการกระทำฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลย และโจทก์ให้สัญญาว่าจะไม่มาทำงานสายอีกหากไม่ปฏิบัติตามคณะกรรมการสอบสวนจะได้พิจารณาเสนอให้ออกก่อนโดยไม่ได้บำเหน็จก็ได้ โจทก์และคณะกรรมการสอบสวนได้ลงลายมือชื่อไว้มีลักษณะเป็นหนังสือเตือนอยู่ในตัว และคณะกรรมการสอบสวนผู้ลงลายมือชื่อในหนังสือนั้นได้รับการแต่งตั้งจากจำเลยให้ดำเนินการในเรื่องนี้ต่อโจทก์ ย่อมมีอำนาจที่จะลงลายมือชื่อในหนังสือนั้นแทนจำเลยได้ เอกสารดังกล่าวจึงเป็นหนังสือเตือนของจำเลยโดยชอบเมื่อโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์เมื่อจำเลยเลิกจ้างและไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม การวินิจฉัยว่านายจ้างจะนำเงินทดรองจ่ายที่ลูกจ้างยืมไปอันเนื่องมาจากการทำงานมาหักชำระได้หรือไม่ ต้องวินิจฉัยจากข้อที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 30 ซึ่งถือได้ว่าเป็นกฎหมายพิเศษ ไม่อาจนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 346 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 286(3) ซึ่งบัญญัติไว้เป็นการทั่วไปมาวินิจฉัยได้ และเงินดังกล่าวมิใช่หนี้อื่นตามประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว จำเลยจึงมีสิทธินำเงินนั้นมาหักจากเงินค่าจ้างที่จำเลยจะต้องจ่ายให้โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5610/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การด่าทอและฉีกบัตรเวลาถือเป็นการจงใจขัดคำสั่งนายจ้าง ชอบธรรมที่นายจ้างจะเลิกจ้างโดยไม่ต้องบอกกล่าว
การที่ลูกจ้างด่าทอและฉีกบัตรบันทึกเวลาทำงาน ซึ่งเป็นการกระทำผิดวินัยตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้าง ย่อมถือว่าเป็นการจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายด้วย นายจ้างจึงมีเหตุอันสมควรที่จะเลิกจ้างลูกจ้างได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5610/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างที่กระทำผิดวินัยร้ายแรง ด่าทอ ฉีกบัตรเวลา ถือเป็นการจงใจขัดคำสั่งนายจ้างชอบด้วยกฎหมาย ไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
การที่ลูกจ้างด่าทอและฉีกบัตรบันทึกเวลาทำงาน ซึ่งเป็นการกระทำผิดวินัยตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้าง ย่อมถือว่าเป็นการจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายด้วย นายจ้างจึงมีเหตุอันสมควรที่จะเลิกจ้างลูกจ้างได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4736/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พิจารณาจากเหตุผลเลิกจ้าง มิใช่กระบวนการสอบสวน
การที่จะพิจารณาว่าการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่นั้นต้องพิจารณาที่เหตุแห่งการเลิกจ้างว่ามีเหตุจริงหรือไม่และเหตุนั้นเป็นเหตุที่สมควรที่นายจ้างจะเลิกจ้างหรือไม่ ส่วนกรณีที่จะต้องมีการสอบสวนถึงเหตุนั้นก่อนหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งจะนำมาเป็นหลักในการพิจารณาว่าถ้าไม่มีการสอบสวนตามระเบียบแล้วย่อมเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหาได้ไม่ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชามีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริต ทำให้จำเลยไม่อาจไว้วางใจโจทก์อีกต่อไป จำเลยจึงมีเหตุอันสมควรที่จะเลิกจ้างโจทก์ได้มิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้กระทำการอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3723/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างที่เรียกรับเงินจากผู้สมัครงาน แม้ไม่มีอำนาจหน้าที่ เป็นเหตุเลิกจ้างชอบธรรม
โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย แม้โจทก์จะไม่มีอำนาจหน้าที่ในการรับบุคคลภายนอกเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลย แต่เมื่อโจทก์เรียกและรับเงินจากผู้สมัครเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลย ทำให้เห็นได้ว่าโจทก์อาศัยตำแหน่งความเป็นลูกจ้างของจำเลยไปแอบอ้างผลประโยชน์จากบุคคลภายนอก ทำให้บุคคลภายนอกเข้าใจว่าการเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยจะต้องมีการวิ่งเต้นเสียเงินตอบแทนทำให้จำเลยเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังเป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ทั้งถือได้ว่าเป็นการประพฤติผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยอันเป็นกรณีร้ายแรง จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยมิใช่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม และจำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์อีกด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3723/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างที่รับเงินจากผู้สมัครงาน ถือเป็นการประพฤติชั่วและจงใจทำให้องค์กรเสียหาย
โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย แม้โจทก์จะไม่มีอำนาจหน้าที่ในการรบบุคคลภายนอกเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยก็ตามแต่การที่โจทก์เรียกและรับเงินจาก พ.กับว.ผู้สมัครเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลย ทำให้เห็นได้ว่าโจทก์อาศัยตำแหน่งความเป็นลูกจ้างไปแอบอ้างผลประโยชน์จากบุคคลภายนอกทำให้บุคคลภายนอกเข้าใจว่าการเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยจะต้องมีการวิ่งเต้นเสียเงินตอบแทน ทำให้จำเลยเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง เป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้ มิใช่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์อีกด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3723/2537 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างที่ใช้อำนาจหน้าที่แอบอ้างผลประโยชน์จากผู้สมัครงาน ทำให้จำเลยเสื่อมเสียชื่อเสียง
โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลย แม้โจทก์จะไม่มีอำนาจหน้าที่ในการรับบุคคลภายนอกเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยก็ตาม แต่การที่โจทก์เรียกและรับเงินจาก พ.กับ ว.ผู้สมัครเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลย ทำให้เห็นได้ว่าโจทก์อาศัยตำแหน่งความเป็นลูกจ้างของจำเลยไปแอบอ้างผลประโยชน์จากบุคคลภายนอกทำให้บุคคลภายนอกเข้าใจว่าการเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยจะต้องมีการวิ่งเต้นเสียเงินตอบแทน ทำให้จำเลยเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง เป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้ มิใช่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์อีกด้วย
of 154