คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ม. 49

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,535 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2160/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: คดีเดิมพิพากษายกฟ้องแล้ว การฟ้องคดีใหม่ด้วยเหตุเดิม แม้เรียกค่าเสียหายต่างกัน ก็เป็นฟ้องซ้ำ
คดีก่อนโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายอ้างว่าจำเลยให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการรถไฟแห่งประเทศไทยอันเป็นการผิดสัญญาจ้างและเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยมิใช่เป็นการเลิกจ้าง พิพากษายกฟ้องคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายอ้างว่าจำเลยให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการรถไฟ ฯ เช่นเดียวกับคดีก่อนอันเป็นการผิดสัญญาจ้าง ดังนี้ เหตุที่โจทก์นำมาเป็นมูลฟ้องเรียกค่าเสียหายในคดีนี้จึงเป็นเหตุเดียวกับคดีก่อน เพียงแต่อ้างเหตุแห่งการเรียกค่าเสียหายต่างกันเท่านั้น ฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2160/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: คดีเดิมพิพากษายกฟ้องแล้ว การฟ้องคดีใหม่ด้วยเหตุเดิม แม้เรียกค่าเสียหายต่างกัน ถือเป็นการฟ้องซ้ำ
คดีก่อนโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายอ้างว่าจำเลยให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการรถไฟแห่งประเทศไทยอันเป็นการผิดสัญญาจ้างและเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยมิใช่เป็นการเลิกจ้าง พิพากษายกฟ้องคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายอ้างว่าจำเลยให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการรถไฟ ฯ เช่นเดียวกับคดีก่อนอันเป็นการผิดสัญญาจ้าง ดังนี้ เหตุที่โจทก์นำมาเป็นมูลฟ้องเรียกค่าเสียหายในคดีนี้จึงเป็นเหตุเดียวกับคดีก่อน เพียงแต่อ้างเหตุแห่งการเรียกค่าเสียหายต่างกันเท่านั้น ฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2160/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากเหตุเดิม แม้เปลี่ยนเหตุแห่งการเรียกร้อง
คดีก่อนโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายอ้างว่าจำเลยให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการรถไฟแห่งประเทศไทยอันเป็นการผิดสัญญาจ้างและเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยมิใช่เป็นการเลิกจ้าง พิพากษายกฟ้อง คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายอ้างว่าจำเลยให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการรถไฟฯ เช่นเดียวกับคดีก่อนอันเป็นการผิดสัญญาจ้าง ดังนี้ เหตุที่โจทก์นำมาเป็นมูลฟ้องเรียกค่าเสียหายในคดีนี้จึงเป็นเหตุเดียวกับคดีก่อน เพียงแต่อ้างเหตุแห่งการเรียกค่าเสียหายต่างกันเท่านั้น ฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2133/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความค่าจ้าง, การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม, และขอบเขตการพิจารณาคดีแรงงานที่แยกจากคดีอาญา
การฟ้องคดีเรื่องเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เป็นการฟ้องตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานมาตรา 49 ซึ่งเป็นกฎหมายสารบัญญัติส่วนหนึ่งที่เกี่ยวด้วยการคุ้มครองแรงงาน หาใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาไม่ศาลแรงงานกลางไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา จำเลยจ่ายค่าจ้างเดือนละสองครั้ง กลางเดือนกับสิ้นเดือนโจทก์ถูกเลิกจ้างเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2525 วันที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องค่าจ้างได้ย่อมเริ่มนับแต่วันที่ 31 ตุลาคม2525 เป็นต้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 169สิทธิเรียกร้องค่าจ้างเช่นว่านี้เกิดแต่สัญญาจ้างแรงงานและเกิดแต่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีกำหนดอายุความสองปีตามมาตรา 165(9)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2133/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความค่าจ้าง, การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม, และขอบเขตการพิจารณาคดีแรงงานที่ไม่ผูกพันคดีอาญา
การฟ้องคดีเรื่องเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เป็นการฟ้องตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน มาตรา 49 ซึ่งเป็นกฎหมายสารบัญญัติส่วนหนึ่งที่เกี่ยวด้วยการคุ้มครองแรงงาน หาใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาไม่ ศาลแรงงานกลางไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
จำเลยจ่ายค่าจ้างเดือนละสองครั้ง กลางเดือนกับสิ้นเดือนโจทก์ถูกเลิกจ้างเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2525 วันที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องค่าจ้างได้ย่อมเริ่มนับแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2525 เป็นต้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 169 สิทธิเรียกร้องค่าจ้างเช่นว่านี้เกิดแต่สัญญาจ้างแรงงานและเกิดแต่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง มีกำหนดอายุความสองปีตามมาตรา 165 (9)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2133/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความค่าจ้าง แรงงาน: ศาลแรงงานพิจารณาจากข้อเท็จจริงในชั้นพิจารณา ไม่ผูกติดคำพิพากษาคดีอาญา
การฟ้องคดีเรื่องเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เป็นการฟ้องตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน มาตรา 49 ซึ่งเป็นกฎหมายสารบัญญัติส่วนหนึ่งที่เกี่ยวด้วยการคุ้มครองแรงงานหาใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาไม่ ศาลแรงงานกลางไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
จำเลยจ่ายค่าจ้างเดือนละสองครั้ง กลางเดือนกับสิ้นเดือนโจทก์ถูกเลิกจ้างเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2525 วันที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องค่าจ้างได้ย่อมเริ่มนับแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2525เป็นต้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 169 สิทธิเรียกร้องค่าจ้างเช่นว่านี้เกิดแต่สัญญาจ้างแรงงานและเกิดแต่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง มีกำหนดอายุความสองปีตามมาตรา 165(9).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2075/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีเลิกจ้างก่อนบังคับใช้ พ.ร.บ.แรงงาน และผลของการไม่โต้แย้งคำสั่งศาล
จำเลยเลิกจ้างโจทก์ก่อนวันที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 ใช้บังคับ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม และเรื่องอำนาจฟ้องดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ศาลฎีกาก็เห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำสั่งของศาลแรงงานกลางที่ไม่รับบัญชีระบุพยานโจทก์ โดยให้ถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ ให้งดสืบพยานโจทก์และนัดฟังคำพิพากษา เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาหากโจทก์ไม่เห็นด้วยและจะอุทธรณ์คำสั่งนั้น ก็จะต้องโต้แย้งคัดค้านไว้ในคดีนี้ศาลนัดฟังคำพิพากษาหลังจากมีคำสั่งดังกล่าวถึง 3 วัน จึงมีเวลาเพียงพอที่โจทก์จะโต้แย้งคัดค้านคำสั่งได้ เมื่อไม่โต้แย้งคัดค้าน โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งดังกล่าวต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522มาตรา 31.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2000/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ต้องพิจารณาเหตุแห่งการเลิกจ้างเป็นสำคัญ ไม่จำเป็นต้องพิจารณาการสอบสวนทางวินัย
ความที่ว่า 'การเลิกจ้างลูกจ้างผู้นั้นไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง'ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา49 มีความหมายว่า การที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างเป็นการเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุที่จะเลิกจ้างได้เลย หรือแม้จะมีเหตุแห่งการเลิกจ้างอยู่บ้างก็เป็นเหตุเพียงเล็กน้อยไม่สมควรถึงกับจะเลิกจ้างลูกจ้าง ดังนั้น เมื่อการปฏิบัติงานของโจทก์ล่าช้า ไม่ติดตามผลงานและผลงานต่ำกว่ามาตรฐาน การเลิกจ้างจึงเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุอันสมควรมิใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
ประเด็นที่ว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมหรือไม่ จะต้องพิเคราะห์ถึงเหตุแห่งการเลิกจ้างว่าเป็นอย่างไร มีเหตุอันสมควรที่จะเลิกจ้างได้หรือไม่ โดยมิพักต้องพิจารณาว่าก่อนการเลิกจ้างได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนทางวินัยโจทก์แล้วหรือไม่ การสอบสวนของคณะกรรมการได้กระทำไปโดยชอบหรือไม่ เพราะมิใช่เหตุที่จะทำให้การเลิกจ้างเป็นธรรมหรือไม่.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1929/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: การร้องเรียนเท็จและหมิ่นประมาทผู้บังคับบัญชาเป็นเหตุเพียงพอต่อการเลิกจ้าง
การที่จะพิจารณาว่านายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างเป็นธรรมหรือไม่หากสาเหตุแห่งการเลิกจ้างเกิดแต่ด้านลูกจ้าง พึงพิจารณาว่าลูกจ้างได้กระทำหรืองดเว้นการกระทำอันใดหรือไม่ และการนั้น ๆเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานเป็นการเพียงพอแก่การเลิกจ้างหรือไม่เป็นสำคัญ ส่วนการแต่งตั้งกรรมการสอบสวนลูกจ้างจะชอบหรือไม่ หรือคณะกรรมการสอบสวนมิได้ปฏิบัติตามข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานอย่างใด หาเป็นข้อสำคัญที่จะทำให้การเลิกจ้างเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมไม่
โจทก์ร้องเรียนกล่าวหาจำเลยที่ 2 ด้วยเรื่องอันเป็นเท็จ และเป็นการหมิ่นประมาทจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา พฤติการณ์ของโจทก์ถือได้ว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตามข้อบังคับของจำเลยที่1 ข้อ 60(6) การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุนี้ จึงมิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
ศาลแรงงานกลางไม่ได้วินิจฉัยว่าการกระทำของโจทก์เป็นการกระด้างกระเดื่องต่อผู้บังคับบัญชาหรือไม่ อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อที่ว่าการกระทำของโจทก์มิใช่เป็นการกระด้างกระเดื่องต่อผู้บังคับบัญชา จึงเป็นอุทธรณ์ที่มิได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1887/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประนีประนอมยอมความกับการเรียกร้องค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง: การชดใช้ค่าเสียหายซ้ำซ้อน
โจทก์เลิกจ้างจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ว่าโจทก์เลิกจ้างในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับ เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมขอให้จ่ายค่าเสียหาย ต่อมาจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์เรียกค่าเสียหายโดยอ้างว่าการที่โจทก์เลิกจ้าง เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและโจทก์จำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยโจทก์ยอมจ่ายเงินแก่จำเลยที่ 1 จำนวนหนึ่ง ศาลพิพากษาตามยอมแล้ว หลังจากนั้นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1 อีก ดังนี้ การที่โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ไม่ติดใจเรียกร้องจากโจทก์อีก ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างของโจทก์แล้ว ไม่สมควรให้โจทก์ต้องใช้ค่าเสียหายตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์อีก ศาลย่อมพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์เสีย
of 154