พบผลลัพธ์ทั้งหมด 68 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1322/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้สมรู้ร่วมคิดวิ่งราวทรัพย์: การแบ่งแยกหน้าที่และบทบาทของผู้ให้ความช่วยเหลือ
จำเลยร่วมรู้กับตัวการในการวิ่งราวทรัพย์ แต่จำเลยมิได้ลงมือทำการวิ่งราวด้วยพฤติการณ์ยังชี้ไม่ได้ว่ามีการแบ่งแยกหน้าที่กันทำ จำเลยเป็นแต่ให้รถเพื่อใช้เป็นกำลังพาหนะเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงผู้สมรู้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1031/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคดีภาษี และความผิดฐานสมรู้ร่วมคิดในคดีบัญชี การยกฟ้องจำเลยที่ 2
จำเลยผู้ทำการโรงสีไม่ได้ทำบัญชีข้าวและข้าวเปลือกตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 201 อันมีโทษตาม มาตรา 208แต่ขณะพิจารณาคดีได้ประกาศใช้ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ.2496 บังคับแล้ว พระราชบัญญัตินี้ได้ยกเลิกและบัญญัติเรื่องการทำบัญชีข้าวและข้าวเปลือกใหม่ตาม มาตรา 40 โดยแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร มาตรา 87ทวิขึ้นใหม่และมีบทลงโทษตาม มาตรา 93 ซึ่งมีโทษเบากว่า การกระทำของจำเลยจึงต้องนำ มาตรา 87ทวิและ มาตรา 93 มาใช้บังคับและต้องนำอายุความสำหรับบทลงโทษ ตามกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะพิจารณาคดีซึ่งมีโทษเบากว่ามาใช้บังคับแก่คดีด้วย
หน้าที่ทำบัญชีตาม พระราชบัญญัติบัญชีนั้นเป็นหน้าที่เฉพาะบุคคลตามที่ระบุไว้ใน พระราชบัญญัติการบัญชี มาตรา 7บุคคลอื่นที่ไม่มีหน้าที่ทำบัญชีจะเรียกว่าเป็นผู้ละเว้นกระทำไม่ได้ และจะช่วยสมรู้หรือสมคบในการไม่กระทำตามหน้าที่ของคนอื่นก็ไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 1 ผู้เดียว โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานสมรู้กระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ฎีกาถ้าเป็นเหตุในลักษณะคดีแล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจแก้ไขคำพิพากษาให้เป็นผลดีแก่จำเลยที่ 1 ได้
หน้าที่ทำบัญชีตาม พระราชบัญญัติบัญชีนั้นเป็นหน้าที่เฉพาะบุคคลตามที่ระบุไว้ใน พระราชบัญญัติการบัญชี มาตรา 7บุคคลอื่นที่ไม่มีหน้าที่ทำบัญชีจะเรียกว่าเป็นผู้ละเว้นกระทำไม่ได้ และจะช่วยสมรู้หรือสมคบในการไม่กระทำตามหน้าที่ของคนอื่นก็ไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 1 ผู้เดียว โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานสมรู้กระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ฎีกาถ้าเป็นเหตุในลักษณะคดีแล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจแก้ไขคำพิพากษาให้เป็นผลดีแก่จำเลยที่ 1 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1031/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความและหน้าที่ทำบัญชี: ศาลยกฟ้องฐานสมรู้ร่วมคิดหากไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายเฉพาะ
จำเลยผู้ทำการโรงสีไม่ได้ทำบัญชีข้าวและข้าวเปลือกตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 201 อันมีโทษตาม มาตรา 208แต่ขณะพิจารณาคดีได้ประกาศใช้ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ.2496 บังคับแล้ว พระราชบัญญัตินี้ได้ยกเลิกและบัญญัติเรื่องการทำบัญชีข้าวและข้าวเปลือกใหม่ตาม มาตรา 40 โดยแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร มาตรา 87ทวิขึ้นใหม่และมีบทลงโทษตาม มาตรา 93 ซึ่งมีโทษเบากว่า การกระทำของจำเลยจึงต้องนำ มาตรา 87ทวิและ มาตรา 93 มาใช้บังคับและต้องนำอายุความสำหรับบทลงโทษ ตามกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะพิจารณาคดีซึ่งมีโทษเบากว่ามาใช้บังคับแก่คดีด้วย
หน้าที่ทำบัญชีตาม พระราชบัญญัติบัญชีนั้นเป็นหน้าที่เฉพาะบุคคลตามที่ระบุไว้ใน พระราชบัญญัติการบัญชี มาตรา 7บุคคลอื่นที่ไม่มีหน้าที่ทำบัญชีจะเรียกว่าเป็นผู้ละเว้นกระทำไม่ได้ และจะช่วยสมรู้หรือสมคบในการไม่กระทำตามหน้าที่ของคนอื่นก็ไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 1 ผู้เดียว โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานสมรู้กระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ฎีกาถ้าเป็นเหตุในลักษณะคดีแล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจแก้ไขคำพิพากษาให้เป็นผลดีแก่จำเลยที่ 1 ได้
หน้าที่ทำบัญชีตาม พระราชบัญญัติบัญชีนั้นเป็นหน้าที่เฉพาะบุคคลตามที่ระบุไว้ใน พระราชบัญญัติการบัญชี มาตรา 7บุคคลอื่นที่ไม่มีหน้าที่ทำบัญชีจะเรียกว่าเป็นผู้ละเว้นกระทำไม่ได้ และจะช่วยสมรู้หรือสมคบในการไม่กระทำตามหน้าที่ของคนอื่นก็ไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 1 ผู้เดียว โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานสมรู้กระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ฎีกาถ้าเป็นเหตุในลักษณะคดีแล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจแก้ไขคำพิพากษาให้เป็นผลดีแก่จำเลยที่ 1 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 357/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์: ความผิดฐานสมรู้ร่วมคิด vs. ความผิดฐานยักยอกทรัพย์โดยตรง
พนักงานบำรุงป่า รับเงินเดือนจากงบประมาณประเภทบำรุงป่าเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ป่าไม้ตาม พระราชบัญญัติป่าไม้การสอบ บรรจุโอนตั้งย้ายและให้ความดีความชอบเลื่อนอันดับเงินเดือน ถือตาม พระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือนโดยอนุโลมนั้น ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายแล้ว
เจ้าพนักงานอื่นร่วมใจกับเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ปกครองรักษาเงินในหน้าที่ราชการยักยอกเงินซึ่งอยู่ในความปกครองรักษาของตนไปนั้นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ปกครองรักษาเงินมีผิดตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 131 ส่วนเจ้าพนักงานอื่นนั้น มีผิดเพียงฐานสมรู้ เท่านั้น
เจ้าพนักงานอื่นร่วมใจกับเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ปกครองรักษาเงินในหน้าที่ราชการยักยอกเงินซึ่งอยู่ในความปกครองรักษาของตนไปนั้นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ปกครองรักษาเงินมีผิดตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 131 ส่วนเจ้าพนักงานอื่นนั้น มีผิดเพียงฐานสมรู้ เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 357/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์: ความรับผิดของเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ปกครองรักษาเงินและผู้สมรู้ร่วมคิด
พนักงานบำรุงป่า รับเงินเดือนจากงบประมาณประเภทบำรุงป่า เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ป่าไม้ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ การสอบ บรรจุ โอนตั้งย้ายและให้ความดีความชอบเลื่อนอันดับเงินเดือน ถือตาม พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือนโดยยอมโลม นั้น ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายแล้ว
เจ้าพนักงานอื่นร่วมในกับเจ้าพนักงานมีหน้าที่ปกครองรักษาเงินในหน้าที่ราชการ ยักยอกเงินซึ่งอยู่ในความปกครองรักษาของตนไปนั้น เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ปกคครองรักษาเงินมีผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 131 ส่วนเจ้าพนักงานอื่นนั้น มีผิดเพียงฐานสมรู้ เท่านั้น
เจ้าพนักงานอื่นร่วมในกับเจ้าพนักงานมีหน้าที่ปกครองรักษาเงินในหน้าที่ราชการ ยักยอกเงินซึ่งอยู่ในความปกครองรักษาของตนไปนั้น เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ปกคครองรักษาเงินมีผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 131 ส่วนเจ้าพนักงานอื่นนั้น มีผิดเพียงฐานสมรู้ เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1090/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมคบกันวิ่งราวทรัพย์: การเปลี่ยนแปลงฐานความผิดและบทลงโทษในชั้นอุทธรณ์และการยืนตามคำพิพากษาเดิมในชั้นฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยสมคบกันวิ่งราวทรัพย์ผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 297,63 จำคุก 3 ปี ศาลอุทธรณ์แก้ว่า จำเลยผิดเพียงฐานสมรู้และแก้โทษเป็นจำคุก 2 ปี ดังนี้เป็นการแก้บทและแก้กำหนดโทษ จึงเป็นการแก้มาก คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 587/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สมรู้ร่วมคิดปล้นทรัพย์: การอุดหนุน vs. ตัวการ
จำเลย 2 คนได้ร่วมรู้กับคนร้าย ไปในการปล้นทรัพย์แต่ไม่ได้ไปลงมือทำการปล้นด้วยเป็นแต่นั่งรออยู่ในรถยนต์ซึ่งคนร้ายใช้เป็นพาหนะไปปล้น จอดอยู่ห่างที่เกิดเหตุราว 20 เส้น เมื่อคนร้ายปล้นได้ทรัพย์แล้ว ก็มาขึ้นรถ จำเลยทั้งสองก็กลับมารถพร้อมกันจำเลยคนหนึ่งเป็นคนขับรถยนต์นั้น ดังนี้ ต้องถือว่าจำเลยทั้ง 2 ได้กระทำการอุดหนุนแก่ผู้กระทำผิดในการปล้นทรัพย์มีผิดฐานสมรู้ยังไม่ถึงขั้นเป็นตัวการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 587/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สมรู้ร่วมคิดปล้นทรัพย์: การกระทำสนับสนุนและการไม่ถึงขั้นเป็นตัวการ
จำเลย 2 คน ได้ร่วมรู่กับคนร้าย ไปในการปล้นทรัพย์ แต่ไม่ได้ไปลงมือทำการปล้นด้วยเป็นการแต่นั่งรอยู่ในรถ ยนต์ ซึ่งคนร้ายใช้เป็นพาหนะไปปล้น จอดอยู่ห่างที่เกิดเหตุราว 20 เส้น เมื่อคนร้ายปล้นได้ทรัพย์แล้ว ก็มาขึ้นรถ จำเลยทั้งสิงก็กลับมารถพร้อมกัน จำเลยคนหนึ่งเป็นคุณขับรถยนต์นั้น ดังนี้ ต้องถือว่าจำเลยทั้ง 2 ได้กระทำการ อุดหนุนแก่ผู้กระทำผิดในการปล้นทรัพย์ มีผิดฐานสมรู้ ยังไม่ถึงขั้นเป็นตัวการ./
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1029/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานใช้อำนาจในทางทุจริตเรียกรับเงิน, สมคบกระทำผิด, ความผิดฐานชิงทรัพย์
จำเลยเป็นตำรวจประจำการได้สมคบกับพวกแกล้งกล่าวหาว่าเขาทำผิดกฎหมาย แล้วนำตัวเขาไปเพื่อจะดำเนินคดี ระหว่างทางเขายอมให้เงิน 60 บาทแก่พวกจำเลยตามคำเรียกร้องของจำเลยกับพวก แล้วจำเลยก็ปล่อยเขากลับบ้านได้ ดังนี้จะถือว่าจำเลยกับพวกใช้กำลังทำร้ายหรือขู่เข็ญจะทำร้ายอันจะปรับบทเป็นความผิด ฐานชิงทรัพย์ไม่ได้ แต่อาจเป็นความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 136 ได้
ฟ้องบรรยายว่า จำเลยกับพวกอีกคนหนึ่ง สมคบกันใช้วาจาขู่เข็ญผู้เสียหายว่า จะจับกุมเพราะไม่เสียภาษีและไม่ออกใบรับเงินปิดอากรแสตมป์โดยประสงค์จะเรียกร้องบังคับเอาเงินเป็นผลประโยชน์รายได้ อันมิควรจะได้ตามกฎหมายผู้เสียหายได้ถูกจับกุมไป ระหว่างทางมีความกลัวจึงให้เงินแก่พวกจำเลย เพื่อให้จำเลยปล่อยตัวฯลฯ จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานีฯลฯ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 136,298 ดังนี้ พอถือได้ว่าเป็นฟ้องที่มีข้อหาในฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริตด้วย ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 136 ได้
สำหรับผู้ที่มิได้เป็นเจ้าพนักงานนั้น ถ้าได้สมคบกับเจ้าพนักงานกระทำผิดตามมาตรา 136 แล้ว ก็มีโทษตามมาตรา 136 ได้ แต่ผิดเพียงฐานสมรู้
ฟ้องบรรยายว่า จำเลยกับพวกอีกคนหนึ่ง สมคบกันใช้วาจาขู่เข็ญผู้เสียหายว่า จะจับกุมเพราะไม่เสียภาษีและไม่ออกใบรับเงินปิดอากรแสตมป์โดยประสงค์จะเรียกร้องบังคับเอาเงินเป็นผลประโยชน์รายได้ อันมิควรจะได้ตามกฎหมายผู้เสียหายได้ถูกจับกุมไป ระหว่างทางมีความกลัวจึงให้เงินแก่พวกจำเลย เพื่อให้จำเลยปล่อยตัวฯลฯ จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานีฯลฯ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 136,298 ดังนี้ พอถือได้ว่าเป็นฟ้องที่มีข้อหาในฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริตด้วย ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 136 ได้
สำหรับผู้ที่มิได้เป็นเจ้าพนักงานนั้น ถ้าได้สมคบกับเจ้าพนักงานกระทำผิดตามมาตรา 136 แล้ว ก็มีโทษตามมาตรา 136 ได้ แต่ผิดเพียงฐานสมรู้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1029/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานใช้อำนาจในหน้าที่โดยทุจริต และความผิดฐานสมรู้ร่วมคิดในการเรียกรับเงิน
จำเลยเป็นตำรวจประจำการได้สมคบกับพวกแกล้งกล่าวหาว่าเขาทำผิดกฎหมาย แล้วนำตัวเขาไปเพื่อดำเนินคดีระหว่างทางเขายอมให้เงิน 60 บาท แก่พวกจำเลยตามคำเรียกร้องของจำเลยกับพวก แล้วจำเลยก็ปล่อยเขากลับบ้านได้ ดังนี้จะถือได้ว่าจำเลยกับพวกใช้กำลังทำร้ายหรือขู่เข็ญจะทำหร้ายอันจะปรับบทเป็นความผิด ฐานชิงทรัพย์ไม่ได้ แต่อาจเป็นความผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 136 ได้
ฟ้องบรรยายว่า จำเลยกับพวกอีกคนหนึ่ง สมคบกันให้ใช้วาจาขู่เข็ญผู้เสียหายว่า จะจับกุมเพราะไม่เสียภาษีและไม่ออกใบรับเงินปิดอากรแสตมป์ โดยประสงค์จะเรียกร้องบังคับเอาเงินเป็นผลประโยชน์รายได้ อันมิควรจะได้ตามกฎหมาย ผู้เสียหายได้ถูกจับกุมไป ระหว่างทางมีความกลัวจึงให้เงินแก่พวกจำเลย เพื่อ+++จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานี...ฯลฯ ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 136, 298 ดังนี้ พอถือได้ว่าเป็นฟ้องที่มีข้อหาในฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริตด้วย ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 136 ได้
สำหรับผู้ทีมิได้เป็นเจ้าพนักงานนั้น ถ้าได้สมคบกับเจ้าพนักงานกระทำผิดตามมาตรา 136 แล้ว ก็มีโทษตามมาตรา 136 ได้ แต่ผิดเพียงฐานสมรู้
ฟ้องบรรยายว่า จำเลยกับพวกอีกคนหนึ่ง สมคบกันให้ใช้วาจาขู่เข็ญผู้เสียหายว่า จะจับกุมเพราะไม่เสียภาษีและไม่ออกใบรับเงินปิดอากรแสตมป์ โดยประสงค์จะเรียกร้องบังคับเอาเงินเป็นผลประโยชน์รายได้ อันมิควรจะได้ตามกฎหมาย ผู้เสียหายได้ถูกจับกุมไป ระหว่างทางมีความกลัวจึงให้เงินแก่พวกจำเลย เพื่อ+++จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานี...ฯลฯ ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 136, 298 ดังนี้ พอถือได้ว่าเป็นฟ้องที่มีข้อหาในฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริตด้วย ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 136 ได้
สำหรับผู้ทีมิได้เป็นเจ้าพนักงานนั้น ถ้าได้สมคบกับเจ้าพนักงานกระทำผิดตามมาตรา 136 แล้ว ก็มีโทษตามมาตรา 136 ได้ แต่ผิดเพียงฐานสมรู้