คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
กันส่วน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 23 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6752/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องเงินจากการบังคับคดีและการกันส่วนทรัพย์สินของผู้รับโอนสิทธิจากคำพิพากษาตามยอม
จำเลยที่ 2 ทำสัญญาประนีประนอมตกลงยกที่ดินพร้อมบ้านพิพาทส่วนของจำเลยที่ 2 ให้แก่ผู้ร้อง โดยจะโอนกรรมสิทธิ์ให้เมื่อผู้ร้องมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว ขณะยื่นคำร้องขอกันส่วนผู้ร้องมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์แล้ว คำพิพากษาตามยอมจึงมีผลบังคับให้จำเลยที่ 2 ต้องโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องจึงเป็นผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 คดีนี้เดิมโจทก์บังคับคดียึดที่ดินทั้งแปลงพร้อมกัน ผู้ร้องยื่นคำร้องขอกันส่วนโดยอ้างว่าจะได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์เฉพาะส่วนของตนตามคำพิพากษา มิได้อ้างว่าทรัพย์ที่ถูกยึดทั้งหมดไม่ใช่ของจำเลย จึงเป็นเรื่องร้องขอกันส่วนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287 มิใช่ร้องขัดทรัพย์ตามมาตรา 288 แม้ว่า ร. ขอกันส่วนที่ดินพร้อมบ้านส่วนของตนครึ่งหนึ่ง และผู้ร้องขอกันส่วนที่ดินพร้อมบ้านพิพาทส่วนนี้จนไม่เหลือส่วนของจำเลยที่ 2 มีผลให้โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้นำยึดไม่อาจจะบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์ที่ยึดและขายทอดตลาดได้ แต่ศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้ธนาคาร อ. รับชำระหนี้จำนองเงินขายทอดตลาดได้ก่อนเจ้าหนี้อื่น และให้เข้าสวมสิทธิเข้ายึดทรัพย์แทนโจทก์ได้ ดังนั้น แม้โจทก์จะบังคับชำระหนี้เอาจากเงินที่ขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไม่ได้ แต่เมื่อธนาคาร อ. มีอำนาจเข้าสวมสิทธิยึดทรัพย์แทนโจทก์ต่อไปได้ โดยเมื่อกันส่วนของ ร. แล้ว ธนาคาร อ. ก็มีสิทธิรับชำระหนี้จำนองจากเงินที่เหลือจากการขายทอดตลาดทรัพย์ในส่วนของจำเลยที่ 2 ที่จะต้องโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ร้องตามคำร้องตามคำพิพากษาก่อนเจ้าหนี้อื่นได้ เมื่อมีเงินเหลือจึงกันเป็นส่วนของผู้ร้องต่อไปได้ ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอกันส่วนของตนจากเงินที่ขายททอดตลาดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8154/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกัน - การยินยอมให้มีการกันส่วนของสินสมรสไม่ปลดเปลื้องความรับผิด
จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้เงิน ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันการกู้เงินดังกล่าว โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ภายในวงเงินที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ค้ำประกันไว้ ซึ่งตามหนังสือสัญญาค้ำประกันระบุว่า "...นอกจากนี้ผู้ค้ำประกันย่อมไม่พ้นจากความรับผิดเพราะเหตุธนาคารอาจกระทำการใด ๆ ไปเป็นเหตุให้ผู้ค้ำประกันไม่อาจเข้ารับช่วงได้ทั้งหมดหรือบางส่วนในสิทธิใด ๆ ก็ดี จำนองก็ดี จำนำก็ดี และบุริมสิทธิซึ่งลูกหนี้หรือบุคคลอื่นใดก็ตามได้ให้ไว้แก่ธนาคารแต่ก่อน หรือในขณะหรือหลังจากวันทำสัญญาค้ำประกันนี้" และข้อตกลงดังกล่าวไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะคู่สัญญา ดังนี้ แม้โจทก์ผู้รับจำนองเพิกเฉยไม่คัดค้านการร้องขอกันส่วนของจำเลยที่ 4 สามีจำเลยที่ 1 ในฐานะสินสมรส ทำให้จำเลยที่ 4 ได้รับเงินส่วนที่ขอกันไว้ 750,000 บาท จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินซึ่งจำนอง เป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องเสียหายก็ตาม จำเลยที่ 2 และที่ 3ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากความรับผิดไปได้ และต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1605/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการกันส่วนสินสมรสจากการบังคับคดี กรณีหนี้ไม่ใช่หนี้ร่วม
ขณะที่จำเลยที่ 1 ไปติดต่อขอสินเชื่อจากโจทก์ จำเลยที่ 1กับผู้ร้องได้แยกกันอยู่ และจำเลยที่ 1 ไม่ได้นำเงินสินเชื่อที่ได้รับจากโจทก์ไปใช้อุปการะเลี้ยงดูผู้ร้อง หนี้ที่จำเลยที่ 1เป็นหนี้โจทก์เป็นหนี้ที่จำเลยที่ 1 ก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียว จึงไม่ใช่หนี้ร่วมระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490 ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอกันส่วนจากเงินที่ขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างได้กึ่งหนึ่งในฐานะคู่สมรส ผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้กันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดให้ผู้ร้องแล้ว ตราบใดที่คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับหรืองดเสีย คำสั่งของศาลชั้นต้นย่อมมีผลผูกพันโจทก์กับผู้ร้องนับตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 การที่ศาลชั้นต้นให้แจ้งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้กันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงเป็นการชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5559/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าของร่วมในที่ดินจำนอง: การบังคับคดีตามคำพิพากษาและการกันส่วน
ผู้ร้องมีส่วนเป็นเจ้าของทรัพย์อยู่ครึ่งหนึ่ง และไม่ได้ยินยอมให้จำเลยนำทรัพย์ส่วนของผู้ร้องเข้าร่วมจำนองด้วย แต่โจทก์ผู้รับจำนองไม่ทราบ เนื่องจากจำเลยผู้จำนองมิได้แจ้งเรื่องนี้ การจำนองจึงสมบูรณ์และมีผลผูกพัน ทรัพย์จำนองทั้งหมดทุกส่วน เมื่อจำเลยถูกโจทก์ฟ้องบังคับจำนอง และศาลพิพากษาให้บังคับตามสัญญาจำนอง โจทก์ย่อมมีสิทธิ ที่จะบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาได้ ส่วนการที่จำเลย นำทรัพย์ส่วนของผู้ร้องเข้าร่วมจำนองโดยไม่ได้รับความยินยอม ของผู้ร้อง หากเป็นเหตุให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายอย่างไร ผู้ร้องก็ชอบที่จะไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต่างหาก จะมาร้องขอกันส่วนให้การบังคับคดีมีผลผิดไปจาก คำพิพากษาหาไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4832/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการบังคับคดีและการกันส่วนทรัพย์สิน: ทรัพย์สินที่ไม่ได้เป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา
บ้านพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการขายฝาก จึงมิใช่ทรัพย์สินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา การที่โจทก์ขอให้บังคับคดีและเจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการให้โจทก์เข้าครอบครองบ้านพิพาทนั้นเป็นการใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของโจทก์จากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิที่จะยึดไว้มิใช่เป็นการบังคับคดี หรือบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาจึงไม่เข้าเกณฑ์ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในอันที่ผู้ร้องจะขอกันส่วนบ้านพิพาทได้ ทั้งนี้ เพราะการร้องขอกันส่วนได้แก่การที่บุคคลภายนอกผู้เป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิหรือสิทธิอื่น ๆ ร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่มีการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินนั้น หรือขอให้เอาเงินที่ได้จากการขายหรือจำหน่ายทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษามาชำระหนี้ของตนก่อนเจ้าหนี้อื่น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287หรือ 289 แล้วแต่กรณี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 770/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท: การกันส่วนที่ดินจากการบังคับคดี
โจทก์นำยึดที่ดินพิพาทซึ่งมีใบแจ้งการครอบครอง (ส.ค. 1)ของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา ปรากฏว่าผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของตลอดมา ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเป็นสัดส่วนตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง โจทก์จะนำยึดที่ดินส่วนที่ผู้ร้องครอบครองอยู่ออกขายทอดตลาดไม่ได้ ผู้ร้องย่อมมีสิทธิที่จะขอให้กันส่วนที่ดินของผู้ร้องออกก่อนที่จะดำเนินการขายทอดตลาดได้ ปัญหาว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสหรือไม่ เป็นปัญหาที่ไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4529/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิคัดค้านการบังคับคดี: ผู้ไม่มีส่วนได้เสียในคดีกันส่วน ไม่มีสิทธิคัดค้านการขายทอดตลาด
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอกันส่วนทรัพย์ที่ยึดอ้างว่า ทรัพย์เป็นของผู้ร้องและสามี คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์โดยมิได้แจ้งคำสั่งศาลและวันขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทราบ ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด ต่อมาศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ยกคำร้องในคดีร้องขอกันส่วน ผู้ร้องจึงมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี ไม่มีสิทธิร้องคัดค้านการขายทอดตลาด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2478/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนี้ร่วมจากกิจการสมรส: สิทธิในการกันส่วนทรัพย์สินจากการบังคับคดี
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า หนี้ตามฟ้องเป็นหนี้ที่ผู้ตายได้ก่อขึ้นระหว่างที่ผู้ตายกับผู้ร้องเป็นสามีภริยากันและร่วมกันประกอบกิจการโรงงาน อันเป็นหนี้ร่วมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1490ดังนี้ทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดมาขายทอดตลาด แม้ผู้ร้องจะมีกรรมสิทธิ์ร่วมอยู่ด้วยหรือไม่ก็ตาม ผู้ร้องก็ไม่มีสิทธิขอกันส่วนในทรัพย์สินดังกล่าวได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3346/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาก่อนสมรสโมฆะเมื่อไม่ได้จดแจ้งข้อความในทะเบียนสมรส ทำให้สิทธิในการกันส่วนทรัพย์สินไม่มีผล
สัญญาก่อนสมรสที่ผู้ร้องและจำเลยทำขึ้นมีข้อความว่า ให้ทรัพย์สินที่มีอยู่ก่อนสมรสตกเป็นสินสมรสนั้น เมื่อปรากฏว่าผู้ร้องและจำเลยมิได้จดแจ้งข้อความอันเป็นสัญญาก่อนสมรสไว้ในทะเบียนสมรสพร้อมกับการจดทะเบียนสมรส หรือมิได้ทำสัญญาก่อนสมรสเป็นหนังสือลงลายมือชื่อคู่สมรสและพยานอย่างน้อยสองคนแนบไว้ท้ายทะเบียนสมรส และได้จดไว้ในทะเบียนสมรสพร้อมกับการจดทะเบียนสมรสว่าได้มีสัญญานั้นแนบไว้ สัญญาก่อนสมรสดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1466 เมื่อทรัพย์สินดังกล่าวถูกโจทก์ยึดขายทอดตลาดชำระหนี้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอกันส่วนของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3346/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาก่อนสมรสต้องจดแจ้งในทะเบียนสมรสจึงมีผล หากไม่จดแจ้ง สัญญาเป็นโมฆะและไม่มีสิทธิร้องขอกันส่วน
สัญญาก่อนสมรสที่ผู้ร้องและจำเลยทำขึ้นมีข้อความว่า ให้ทรัพย์สินที่มีอยู่ก่อนสมรสตกเป็นสินสมรสนั้น เมื่อปรากฏว่าผู้ร้องและจำเลยมิได้จดแจ้งข้อความอันเป็นสัญญาก่อนสมรสไว้ในทะเบียนสมรสพร้อมกับการจดทะเบียนสมรส หรือมิได้ทำสัญญาก่อนสมรสเป็นหนังสือลงลายมือชื่อคู่สมรสและพยานอย่างน้อยสองคนแนบไว้ท้ายทะเบียนสมรส และได้จดไว้ในทะเบียนสมรสพร้อมกับการจดทะเบียนสมรสว่าได้มีสัญญานั้นแนบไว้ สัญญาก่อนสมรสดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1466เมื่อทรัพย์สินดังกล่าวถูกโจทก์ยึดขายทอดตลาดชำระหนี้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอกันส่วนของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287.
of 3