พบผลลัพธ์ทั้งหมด 12 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2472/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานในคดีชิงทรัพย์ และขอบเขตการฟ้องคดีอาญาที่แตกต่างจากข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้
แม้บันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของ ต.จะเป็นพยานบอกเล่าซึ่งโดยลำพังไม่อาจรับฟังชี้ลงไปได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้กระทำความผิด แต่อาจรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ เมื่อโจทก์มีพันตำรวจตรี ว. พนักงานสอบสวนเบิกความว่า จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ และมีรายละเอียดเป็นขั้นตอนโดยให้การในวันรุ่งขึ้นหลังจากวันที่ถูกจับ อีกทั้งยังได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอก ส.ว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้ตรวจค้นจำเลยที่ 2 พบเงินสดอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 2 จำนวน 30,000 บาทเศษ ซึ่งจำเลยที่ 2 ให้การรับว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการชิงทรัพย์ และได้นำเจ้าพนักงานตำรวจไปชี้จุดที่จำเลยที่ 2 นำทรัพย์สินบางส่วนที่ได้มาจากการชิงทรัพย์ของผู้เสียหายทั้งสองไปฝังไว้ด้วยเช่นนี้ เมื่อพิจารณาคำให้การชั้นสอบสวนของ ต. ประกอบกับคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 และบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพแล้ว พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ชิงทรัพย์ผู้เสียหายจริงตามฟ้อง
ส่วนจำเลยที่ 1 นั้น นอกจากคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนแล้ว คงมีเพียงคำให้การของจำเลยที่ 2 ที่ซัดทอดว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดซึ่งเป็นคำชัดทอดระหว่างผู้กระทำความผิดด้วยกัน จึงยังไม่อาจรับฟังว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ตามฟ้อง
แม้พยานหลักฐานของโจทก์จะฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงมือกระทำผิดฐานรับของโจร แต่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อให้จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ด้วยการใช้จ้างวาน มิได้ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงมือกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญ กรณีย่อมไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานรับของโจร ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคสองได้
ส่วนจำเลยที่ 1 นั้น นอกจากคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนแล้ว คงมีเพียงคำให้การของจำเลยที่ 2 ที่ซัดทอดว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดซึ่งเป็นคำชัดทอดระหว่างผู้กระทำความผิดด้วยกัน จึงยังไม่อาจรับฟังว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ตามฟ้อง
แม้พยานหลักฐานของโจทก์จะฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงมือกระทำผิดฐานรับของโจร แต่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อให้จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ด้วยการใช้จ้างวาน มิได้ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงมือกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญ กรณีย่อมไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานรับของโจร ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคสองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6039/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยนอกฟ้อง: ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยภารจำยอมเกินขอบเขตประเด็นที่โจทก์กล่าวอ้าง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันนำดินถมลำรางสาธารณประโยชน์เพื่อสร้างตึกแถว โดยชายคาตึกแถวรุกล้ำลำรางสาธารณประโยชน์ทำให้โจทก์เสียหายนั้น โจทก์มิได้กล่าวอ้างมาในคำฟ้องว่าร่องน้ำพิพาทเป็นภารจำยอมที่โจทก์ได้มาโดยอายุความแต่อย่างใดเมื่อจำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธว่าร่องน้ำพิพาทมิใช่ลำรางสาธารณประโยชน์ คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าร่องน้ำพิพาทเป็นภารจำยอมที่โจทก์ได้มาโดยอายุความหรือไม่ ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกปัญหาเรื่องภารจำยอมขึ้นวินิจฉัยว่าร่องน้ำพิพาทเป็นภารจำยอม จึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้อง นอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 605/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการบังคับตามสัญญา – โจทก์ฟ้องเฉพาะค่าปรับตามสัญญา ข้อ 8 ศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินกว่าที่ฟ้อง
โจทก์ฟ้องมุ่งขอบังคับตามสัญญาข้อ 8 คือ ค่าปรับร้อยละ 5 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้ส่งให้โจทก์ตามสัญญาเพียงกรณีเดียว มิได้ฟ้องขอบังคับเอาค่าเสียหายอย่างอื่นจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายอย่างอื่นแก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่ฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 339/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนการกระทำความผิดบุกรุกป่า และการจำกัดขอบเขตการลงโทษตามฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยตัดฟันไม้ แผ้วถางป่า ฯลฯ แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิด ดังนี้ จะลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้ใช้ไม่ได้คงลงโทษได้เพียงเป็นผู้สนับสนุน
เมื่อโจทก์ไม่ด้บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 11 ก็จะลงโทษจำเลยตามมาตรานี้ตามคำขอท้ายฟ้องไม่ได้
เมื่อโจทก์ไม่ด้บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 11 ก็จะลงโทษจำเลยตามมาตรานี้ตามคำขอท้ายฟ้องไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 631/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาฐานทุจริต ยักยอกทรัพย์ และใช้เอกสารปลอม: ขอบเขตการฟ้อง และอำนาจเรียกคืนทรัพย์สิน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทุจริตปลอมเอกสารและนำออกใช้และเบียดบังยักยอกเงินไป แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าปลอมใช้เอกสารมากกว่า 2 ครั้ง ซึ่งเกินกว่าที่ระบุในฟ้อง ก็ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 ซึ่งให้พนักงานอัยการเรียกทรัพย์สิน หรือราคาคืนในคดียักยอกทรัพย์นั้นหมายรวมทั้งคดีเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ด้วย ตามแบบอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ 1907/2494
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 ซึ่งให้พนักงานอัยการเรียกทรัพย์สิน หรือราคาคืนในคดียักยอกทรัพย์นั้นหมายรวมทั้งคดีเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ด้วย ตามแบบอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ 1907/2494
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 923/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการฟ้องคดี: ศาลจำกัดการพิพากษาตามที่โจทก์ฟ้องและเสียค่าขึ้นศาล แม้ข้อเท็จจริงจะพิสูจน์ได้มากกว่า
ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดิน 4 ไร่ และเสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ 4 ไร่เท่านั้น แม้จะฟังได้ว่าที่ดินทั้ง 30 ไร่เป็นของโจทก์ ศาลก็พิพากษาให้โจทก์ชนะได้เพียง 4 ไร่ เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 17/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำกัดขอบเขตการฟ้องร้องตามคำบรรยายฟ้อง การวินิจฉัยนอกประเด็นฟ้อง
เมื่อฟ้องของโจทก์ข้อ 3 บรรยายว่า "บัดนี้โจทก์ทราบว่าจำเลยประพฤติผิดสัญญาเช่า โดยเอาตึกที่เช่านี้บางส่วนไปให้เช่าช่วง โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ โจทก์จึงไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไป โจทก์ได้มีหนังสือบอกเลิกการเช่าไปยังจำเลยดังสำเนาท้ายคำฟ้อง จำเลยรับทราบแล้วไม่ปฏิบัติตาม โจทก์จึงจำต้องมาขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง" ดังนี้ เห็นได้ว่า โจทก์ยกเหตุเช่าช่วงเป็นข้ออ้างขอให้ศาลขับไล่ หาได้ยกเหตุอื่นใด (สิทธิบอกเลิกการเช่าอย่างสัญญาเช่าธรรมดา) เป็นข้ออ้างไม่ ข้อวินิจฉัยของศาลล่างที่นอกเหนือจากประเด็นเช่าช่วง จึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 420/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการฟ้องคดีมรดก: ศาลไม่พิพากษาแบ่งมรดก หากโจทก์เพียงขอห้ามทายาท
ปรากฎจากฟ้องและกระบวนพิจารณาว่าโจทก์ประสงค์เพียงขอห้ามจำเลยไม่ให้เกี่ยวข้องแก่ทรัพย์มรดก โดยอ้างว่าจำเลยไม่ใช่บุตรของเจ้ามรดก ดั่งนี้ ไม่มีประเด็นเรื่องแบ่งมรดก ศาลจึงไม่พิพากษาให้แบ่งกันในชั้นนี้
ฟ้องขอห้าม แต่เสียค่าขึ้นศาลมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อศาลตัดสินให้ในประเด็นเรื่องขอห้ามแล้ว ศาลสั่งคืนค่าขึ้นศาลที่เสียมาอย่างคดีทุนทรัพย์นั้น คงเรียกไว้แต่อย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์
ฟ้องขอห้าม แต่เสียค่าขึ้นศาลมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อศาลตัดสินให้ในประเด็นเรื่องขอห้ามแล้ว ศาลสั่งคืนค่าขึ้นศาลที่เสียมาอย่างคดีทุนทรัพย์นั้น คงเรียกไว้แต่อย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1350/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการฟ้องคดีละเมิด: โจทก์ต้องแสดงเหตุแห่งการละเมิดตามที่ฟ้อง หากอ้างแต่การกระทำละเมิดโดยไม่แสดงสภาพของเรื่อง ศาลไม่อาจรับฟังข้อต่อสู้เกินขอบเขต
โจทก์ฟ้องกล่าวเป็นใจความว่า จำเลยไม่มีอำนาจอันชอบด้วยกฎหมายที่จะเก็บสิ่งของในตึก ซึ่งโจทก์ได้ให้ผู้อื่นเช่าเป็นการรบกวนผู้เช่าจะใช้ประโยชน์ในที่เช่า ขอให้บังคับให้จำเลยขนย้ายไป จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยเป็นผู้เช่าอยู่อาศัยในตึกนี้มาราว 20 ปีเศษแล้ว ดังนี้ เห็นได้ว่าโจทก์ฟ้องอ้างเหตุเพียงว่าจำเลยเอาของไว้ในตึกเป็นการละเมิดเท่านั้น มิได้แสดงถึงการเช่าของจำเลย ฉะนั้นโจทก์จะสืบถึงว่าแม้จะมีการเช่า จำเลยก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ ย่อมเป็นเรื่องห่างไกลประเด็นที่กล่าวในฟ้อง ศาลย่อมไม่รับฟัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 84/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการฟ้องร้อง: การฟ้องละเมิดต้องสอดคล้องกับข้ออ้างเดิม หากข้อเท็จจริงนำสืบไม่ตรงกับที่ฟ้องไว้ คดีต้องยก
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยบังอาจละเมิดรื้อเรือนของโจทก์ โดยโจทก์กล่าวอ้างว่าเรือนพิพาทเป็นของโจทก์แต่ผู้เดียว เมื่อทางพิจารณาไม่ได้ความสมฟ้องว่าเรือนพิพาทเปนของโจทก์แต่ผู้เดียว ทั้งยังได้ความว่าจำเลยยังมีส่วนเป็นเจ้าของร่วมอยุ่ด้วย ดังนี้คดีก็ต้องยกฟ้อง จะให้พิจารณาเลยไปถึงสิทธิและหน้าที่ของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของรวมด้วยนั้น เป็นการเกินกว่าโจทก์กล่าวในฟ้อง ไม่มีประเด็นจะพึงพิจารณาให้