คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ค่าธรรมเนียมบังคับคดี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 39 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4660/2549

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าธรรมเนียมบังคับคดี: การคำนวณจากราคาประเมินทรัพย์สินหรือจำนวนหนี้ และความรับผิดค่าธรรมเนียมถอนยึด
กรณีที่ยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย การเสียค่าธรรมเนียมร้อยละ 3 ครึ่งของราคาทรัพย์สินที่ยึดนั้น คำว่าราคาทรัพย์สินที่ยึดหมายถึงราคาทรัพย์สินที่ยึดซึ่งไม่เกินจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนการยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 2 เสียค่าธรรมเนียมถอนการยึดทรัพย์ตามจำนวนหนี้ตามคำพิพากษาที่จำเลยที่ 2 ต้องใช้ให้แก่โจทก์ ให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมถอนการยึดทรัพย์ในส่วนที่เหลือทั้งหมด โดยวินิจฉัยว่า โจทก์นำยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 เกินกว่าที่พอจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาพร้อมค่าฤชาธรรมเนียมในคดี และค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 284 โจทก์จึงต้องรับผิดต่อจำเลยที่ 2 ตามมาตรา 284 วรรคสอง และต้องรับผิดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีในการยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายในส่วนที่เกินกว่าจำนวนหนี้ตามคำพิพากษาที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น คำวินิจฉัยที่ว่าโจทก์นำยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ขัดต่อกฎหมาย และให้ถอนการยึดทรัพย์สินดังกล่าวเป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 แต่คำสั่งให้จำเลยที่ 2 เสียค่าธรรมเนียมถอนการยึดทรัพย์สินไม่ได้เป็นไปตามคำวินิจฉัยนั้น ถือว่าคำวินิจฉัยและคำสั่งขัดกัน ทั้งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 161 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 166 ให้คู่ความฝ่ายที่ดำเนินกระบวนพิจารณาใดไปเพราะความผิด ทำให้ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมในกระบวนพิจารณานั้นต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมนั้น โดยไม่คำนึงว่าคู่ความฝ่ายนั้นจะชนะคดีหรือไม่ โจทก์จึงต้องเป็นฝ่ายที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมถอนการยึดทรัพย์รายนี้เพียงฝ่ายเดียว คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงไม่ชอบ และเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน กรณีเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นสั่งเรื่องค่าธรรมเนียมไม่ถูกต้อง แม้คู่ความไม่อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4642/2549 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าธรรมเนียมบังคับคดี: การประเมินราคาทรัพย์สินใหม่เพื่อคำนวณค่าธรรมเนียมเมื่อราคาเดิมสูงเกินไป
ป.วิ.พ. มาตรา 149 วรรคหนึ่ง และตาราง 5 หมายเลข 3 (เดิม) ท้าย ป.วิ.พ. ที่กำหนดว่า ค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย โจทก์ผู้นำยึดและขอถอนการยึดต้องเสียในอัตราร้อยละ 3 ครึ่ง ของราคาทรัพย์สินที่ยึด ส่วนการคำนวณราคาทรัพย์สินที่ยึดเพื่อเสียค่าธรรมเนียมดังกล่าวให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้กำหนด ถ้าไม่ตกลงกันให้คู่ความที่เกี่ยวข้องเสนอเรื่องต่อศาลตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 296 นั้น หมายถึงเสียค่าธรรมเนียมร้อยละ 3 ครึ่ง ของราคาทรัพย์สินที่ยึด แต่ไม่เกินจำนวนหนี้ที่ต้องรับผิดในการบังคับคดี ทั้งบทบัญญัติดังกล่าวยังให้อำนาจเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้กำหนดราคมทรัพย์สินที่ยึดเพื่อคำนวณค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีด้วย ส่วนการประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าวเป็นการประเมินราคาเบื้องต้นเท่านั้น ยังถือเป็นราคาทรัพย์สินที่แน่นอนแล้วไม่ได้ ดังนั้น หากพฤติการณ์ต่างๆ ปรากฏในภายหลังว่าราคาทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้ในขณะทำการยึดนั้นไม่เหมาะสมหรือสูงเกินไป เจ้าพนักงานบังคับคดีชอบที่จะประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดเสียใหม่ให้เหมาะสมได้ และราคาทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินใหม่นี้ถือได้ว่าเป็นราคาทรัพย์สินที่ยึดเพื่อเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี แต่ไม่เกินจำนวนหนี้ที่ต้องรับผิดในการบังคับคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4642/2549

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าธรรมเนียมบังคับคดีคำนวณจากราคาประเมินทรัพย์สินใหม่ที่เหมาะสม ไม่ใช่ยอดหนี้ตามคำพิพากษา
ป.วิ.พ. มาตรา 149 วรรคหนึ่ง ตาราง 5 หมายเลข 3 (เดิม) ท้าย ป.วิ.พ. ที่กำหนดให้ผู้นำยึดและขอถอนการยึดต้องเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีในอัตราร้อยละ 3 ครึ่ง ของราคาทรัพย์สินที่ยึด หมายถึงเสียค่าธรรมเนียมร้อยละ 3 ครึ่ง ของราคาทรัพย์สินที่ยึดแต่ไม่เกินจำนวนที่ต้องรับผิดในการบังคับคดี ทั้งบทบัญญัติดังกล่าวยังให้อำนาจเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้กำหนดราคาทรัพย์สินที่ยึดเพื่อคำนวณค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีด้วย ส่วนการประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าวเป็นการประเมินราคาเบื้องต้นเท่านั้น ยังถือเป็นราคาทรัพย์สินที่แน่นอนแล้วไม่ได้ ดังนั้น หากปรากฏในภายหลังว่าราคาทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้ในขณะทำการยึดนั้นไม่เหมาะสมหรือสูงเกินไป เจ้าพนักงานบังคับคดีชอบที่จะประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดเสียใหม่ให้เหมาะสมได้
เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาที่ดินที่ยึดตารางวาละ 10,000 บาท เป็นเงิน 1,160,000 บาท และประเมินราคาสิ่งปลูกสร้างที่ยึดเป็นเงิน 15,000 บาท ต่อมาได้ประกาศขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวแล้วรวม 17 ครั้ง เป็นเวลานานถึง 2 ปีเศษ แต่ไม่มีผู้ใดเสนอราคาสูงถึงราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้ แสดงว่าราคาทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้ในครั้งแรกเป็นราคาที่สูงเกินไป เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงชอบที่จะประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดเสียใหม่ให้เหมาะสมได้ และราคาทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินใหม่นี้ถือได้ว่าเป็นราคาทรัพย์ที่ยึดเพื่อเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี แต่ไม่เกินจำนวนหนี้ที่ต้องรับผิดในการบังคับคดี เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์สินที่ยึดใหม่เป็นเงิน 595,000 บาท โจทก์จึงต้องเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีร้อยละ 3 ครึ่ง จากเงินจำนวนดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6395/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าธรรมเนียมบังคับคดี: การยึดทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้ แม้มีการวางเงินชำระหนี้บางส่วน
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ จำเลยต้องรับผิดชำระค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งรวมถึงค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีด้วยแม้ก่อนหน้าในวันที่โจทก์นำยึดทรัพย์สินของจำเลยนั้น จำเลยจะวางเงินชำระหนี้แก่โจทก์ 1,000,000 บาท ก็เป็นการชำระหนี้เพียงบางส่วนยังมีหนี้ตามคำพิพากษาอยู่อีกถึง 1,965,741.45 บาท ชอบที่โจทก์จะนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาในส่วนที่เหลือได้และแม้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวจะมีราคาสูง แต่ก็เป็นทรัพย์สินที่จำเลยวางเป็นประกันการชำระหนี้ตามคำพิพากษาในชั้นทุเลาการบังคับโดยสภาพไม่สมควรแบ่งการยึดระหว่างที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพราะอาจทำให้ทรัพย์สินเสื่อมราคา การกระทำของโจทก์หาใช่ทำให้ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมในกระบวนพิจารณาใด ๆ ที่ได้ดำเนินไปโดยไม่จำเป็นซึ่งโจทก์ต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1946/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าธรรมเนียมบังคับคดี: คำนวณจากหนี้ที่บังคับได้จริง ไม่ใช่ราคาทรัพย์ที่ยึด
ตามตาราง 5 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ได้ กำหนดเรื่องค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีในกรณีเมื่อยึด ทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย โดย ให้เสียค่าธรรมเนียมร้อยละ 3 ครึ่ง ของราคาทรัพย์สินที่ยึดนั้น คำว่า ราคาทรัพย์สินที่ยึด หมายถึง ราคาทรัพย์สินที่ยึดซึ่ง ต้องไม่เกินจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดีด้วย เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 26,957.13 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 13.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 7 กันยายน 2522 เป็นต้นไป เมื่อคิดคำนวณยอดหนี้พร้อมดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งสองจะต้อง รับผิดต่อโจทก์ตามคำพิพากษาโดยคิดถึงวันที่ 13 มกราคม 2538 อันเป็นวันที่โจทก์ขอถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยเนื่องจากจำเลย ได้ชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว ยังมีจำนวนไม่ถึง 160,000 บาท อันเป็นราคาทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดและเจ้าพนักงานบังคับคดี ประเมินราคาไว้ในครั้งแรก โจทก์จึงต้องเสียค่าธรรมเนียม การยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายร้อยละ 3 ครึ่ง ของจำนวนหนี้ ที่จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดในการบังคับคดีอันมีจำนวนน้อยกว่า ราคาทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดดังกล่าว ดังนั้น ไม่ว่าราคาทรัพย์สิน ที่โจทก์นำยึดทรัพย์จะมีราคาประเมินจำนวน 160,000 บาท หรือ จำนวน 2,527,300 บาท ก็ไม่มีผลทำให้ความรับผิดในค่าธรรมเนียม เจ้าพนักงานบังคับคดีของโจทก์เปลี่ยนแปลงไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3939/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าธรรมเนียมบังคับคดี: การคำนวณราคาทรัพย์สินที่ยึดเมื่อไม่ขายทอดตลาด
กรณีที่ยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายการเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีร้อยละ 3 ครึ่ง ของราคาทรัพย์สินที่ยึดนั้นคำว่า ราคาทรัพย์สินที่ยึด ตามตาราง 5 ท้าย ป.วิ.พ.ข้อ 3 หมายถึงราคาทรัพย์สินที่ยึดซึ่งไม่เกินจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5810/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าธรรมเนียมบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขาย ถือเป็นค่าฤชาธรรมเนียม ฝ่ายแพ้คดีต้องรับผิด
ค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สินซึ่งมิใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายตามตาราง 5(3) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นค่าฤชาธรรมเนียมอย่างหนึ่งซึ่งคู่ความฝ่ายที่แพ้คดีจะต้องรับผิดในชั้นที่สุด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2729/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าธรรมเนียมบังคับคดี: การกำหนดความรับผิดชอบระหว่างโจทก์และจำเลย โดยคำนึงถึงความสุจริตและเหตุผลสมควร
แม้โจทก์เป็นผู้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินทั้งสามแปลงของจำเลย ซึ่งถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างอื่นต้องเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 149 และเมื่อขายทอดตลาดที่ดินที่ยึดเพียงแปลงเดียวได้เงินเพียงพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์ ทำให้ไม่ต้องขายทอดตลาดที่ดินที่ยึดอีกสองแปลง ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ถอนการยึดแล้ว โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีตามตาราง 5 ข้อ 3 ท้ายป.วิ.พ. ก็ตาม แต่ ป.วิ.พ. มาตรา 149 ก็อยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติว่าด้วยความรับผิดชั้นที่สุดของคู่ความในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตามมาตรา 161 ซึ่งตามมาตรา 161 วรรคสอง ให้รวมถึงค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดีด้วยคดีนี้จำเลยเป็นฝ่ายที่แพ้คดีต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา ความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความในคดีย่อมตกอยู่แก่จำเลย แต่ตามมาตรา 161 วรรคแรก ก็บัญญัติให้เป็นดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดหรือทั้งสองฝ่ายเสียค่าฤชาธรรมเนียมทั้งหมดหรือแต่บางส่วน โดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการดำเนินคดีของคู่ความทั้งปวงได้ เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายไม่สุจริตในการบังคับคดีประวิงการชำระหนี้แก่โจทก์ คดีจึงมีเหตุผลสมควรให้จำเลยเป็นผู้รับผิดในค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2729/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าธรรมเนียมบังคับคดี: ศาลฎีกาตัดสินให้จำเลยรับผิดเนื่องจากไม่สุจริตในการบังคับคดีและประวิงการชำระหนี้
โจทก์เป็นผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 มีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีตามตาราง 5 ข้อ 3 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งซึ่งเป็นค่าฤชาธรรมเนียมตามมาตรา 161 วรรคสอง แต่บทบัญญัติในมาตรา 149 อยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติว่าด้วยความรับผิดชันที่สุดของคู่ความในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม ซึ่งมาตรา 161 วรรคแรกบัญญัติให้ความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความในคดีย่อมตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่แพ้คดี และให้เป็นดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดหรือทั้งสองฝ่ายเสียค่าฤชาธรรมเนียมทั้งหมดหรือแต่บางส่วนโดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการดำเนินคดีของคู่ความทั้งปวงได้ เมื่อโจทก์เป็นผู้นำเจ้าพักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินทั้งสามแปลงของจำเลยโดยสุจริต แต่จำเลยเป็นฝ่ายไม่สุจริตในการบังคับคดีและประวิงการชำระหนี้แก่โจทก์ ศาลจึงให้จำเลยเป็นผู้รับผิดในค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายตามตาราง 5 ข้อ 3 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2729/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดค่าธรรมเนียมบังคับคดี: ผู้แพ้คดีต้องรับผิด แม้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการยึดทรัพย์
โจทก์เป็นผู้นำ เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินของจำเลยซึ่งเป็น ลูกหนี้ตามคำพิพากษา ตามปกติแล้วโจทก์เป็นฝ่ายมีหน้าที่ต้องชำระ ค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีในการยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายตามตาราง5ข้อ3ท้ายป.วิ.พ.และป.วิ.พ.มาตรา149แต่มาตรา149อยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติว่าด้วยความรับผิดชั้นที่สุดของคู่ความในเรื่อง ค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งมาตรา161วรรคแรกบัญญัติให้ความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่แพ้คดีและวรรคสองบัญญัติว่าถ้ามิได้ระบุค่าฤชาธรรมเนียมชนิดใดไว้โดยเฉพาะค่าฤชาธรรมเนียมนั้นให้รวมถึงค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีด้วยคดีนี้จำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดีจึงต้องรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความในคดีอย่างไรก็ตามบทบัญญัติมาตรา161วรรคแรกให้เป็นดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดหรือทั้งสองฝ่ายเสียค่าฤชาธรรมเนียมทั้งหมดหรือแต่บางส่วนโดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการดำเนินคดีของคู่ความทั้งปวงได้
of 4