พบผลลัพธ์ทั้งหมด 467 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7667/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันจ้างวานฆ่า: พยานหลักฐานเชื่อมโยงจำเลยที่ 4 ในฐานะผู้ว่าจ้างมือปืน
จ่าสิบตำรวจ ม. และจำเลยที่ 1 ต่างเป็นบุตรเขยของผู้ตาย การที่จ่าสิบตำรวจ ม. มีส่วนเกี่ยวข้องช่วยสืบสวนหาตัวคนร้ายจึงเป็นเรื่องปรกติและสมควร พฤติกรรมของจำเลยที่ 1 ที่ถูกสงสัยหรือถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการฆ่าผู้ตายเป็นเรื่องร้ายแรง หากจำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำความผิดก็ต้องยืนยันปฏิเสธไว้จะยอมรับสารภาพไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการพูดกับจ่าสิบตำรวจ ม. หรือบุคคลใดก็ตาม ทั้งการยอมรับสารภาพโดยคิดว่าจ่าสิบตำรวจ ม. จะช่วยเหลือพาหลบหนีได้ ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำความผิด ดังนั้น การที่จ่าสิบตำรวจ ม. สืบทราบว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ร่วมกระทำความผิดและแจ้งต่อพนักงานสอบสวนจึงเป็นการช่วยเหลือพนักงานสอบสวนสืบสวนหาข้อเท็จจริงเพื่อจับกุมดำเนินคดีกับคนร้าย จึงถือไม่ได้ว่าพนักงานสอบสวนใช้อุบายหลอกลวงให้จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ การสอบสวนคดีนี้จึงชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7035/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานข่มขืนและฆ่าเพื่อปกปิดความผิด: ศาลฎีกาแก้ไขโทษฐานความผิดต่างกรรม
การกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรากับความผิดฐานฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน เป็นความผิดต่างกรรมกัน แต่เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษ ศาลฎีกาจึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคแรก อีกกระทงหนึ่งได้ เพราะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 1 ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225 แต่ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5776/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวหรือหลายกรรม: การทำร้ายร่างกายและฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเดียวกัน
จำเลยทั้งสองได้ชกต่อยผู้เสียหายและผู้ตาย และจำเลยที่ 2 ได้ใช้ไม้ตีผู้เสียหายและผู้ตาย จนผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กายและผู้ตายถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยทั้งสองต่างเป็นการกระทำต่อผู้เสียหายและผู้ตาย โดยจำเลยทั้งสองต่างมีเจตนาชกต่อยและจำเลยที่ 2 ใช้ไม้ตีผู้เสียหายและผู้ตายในเวลาเดียวกันโดยมิได้แบ่งแยกว่าใครเป็นใคร ลักษณะของการกระทำมีเจตนาในการกระทำความผิดเป็นเจตนาเดียว การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงต่างเป็นการกระทำกรรมเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8775/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนและฆ่าเพื่อปกปิดความผิด ศาลฎีกาแก้ไขโทษจำคุกเป็นงดการฝึกอบรมบางส่วน
จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายในขณะที่ผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ และหลังจากที่ข่มขืนกระทำชำเราแล้วจำเลยกลัวความผิดจึงนำผู้ตายไปซ่อนในท่อน้ำ การที่จำเลยนำผู้ตายไปซุกซ่อนไว้ในท่อน้ำซึ่งอยู่ห่างไปจากที่เกิดเหตุจนผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะสำลักน้ำโคลน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราและฆ่าผู้ตายเพื่อปกปิดความผิดของตน อันเป็นความผิดสองกรรม
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ไม่อาจนำเอาโทษจำคุก 4 ปี ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งศาลชั้นต้นได้เปลี่ยนโทษจำคุกดังกล่าวเป็นให้ส่งไปฝึกและอบรมแล้ว มารวมกับโทษจำคุกในความผิดฐานฆ่าผู้ตายเพื่อปกปิดความผิดของตน โดยโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษในความผิดฐานดังกล่าว ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยแก้ไขให้ถูกต้องได้
ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา จำเลยได้ถูกควบคุมตัวและฝึกอบรมตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว เมื่อคิดหักระยะเวลาการควบคุมตัวและฝึกอบรมของจำเลยดังกล่าวแล้ว คงเหลือระยะเวลาที่จะต้องฝึกและอบรมอีกระยะหนึ่งถึงจะครบกำหนดระยะเวลาตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด แต่ปรากฏว่าระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาจำเลยถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว การที่จะให้จำเลยเข้ารับการฝึกและอบรมต่อในระยะเวลาที่เหลืออยู่ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้น จึงไม่เหมาะสม ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขกำหนดระยะเวลาฝึกและอบรมดังกล่าวเสียให้เหมาะสม โดยให้งดการฝึกและอบรมจำเลยในส่วนระยะเวลาที่เหลืออยู่
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ไม่อาจนำเอาโทษจำคุก 4 ปี ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งศาลชั้นต้นได้เปลี่ยนโทษจำคุกดังกล่าวเป็นให้ส่งไปฝึกและอบรมแล้ว มารวมกับโทษจำคุกในความผิดฐานฆ่าผู้ตายเพื่อปกปิดความผิดของตน โดยโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษในความผิดฐานดังกล่าว ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยแก้ไขให้ถูกต้องได้
ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา จำเลยได้ถูกควบคุมตัวและฝึกอบรมตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว เมื่อคิดหักระยะเวลาการควบคุมตัวและฝึกอบรมของจำเลยดังกล่าวแล้ว คงเหลือระยะเวลาที่จะต้องฝึกและอบรมอีกระยะหนึ่งถึงจะครบกำหนดระยะเวลาตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด แต่ปรากฏว่าระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาจำเลยถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว การที่จะให้จำเลยเข้ารับการฝึกและอบรมต่อในระยะเวลาที่เหลืออยู่ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้น จึงไม่เหมาะสม ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขกำหนดระยะเวลาฝึกและอบรมดังกล่าวเสียให้เหมาะสม โดยให้งดการฝึกและอบรมจำเลยในส่วนระยะเวลาที่เหลืออยู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาลงโทษจำเลยในคดีฆ่าพ่อและเหตุผลในการลดโทษจากอาการทางจิต
ทนายจำเลยขอส่งตัวจำเลยไปตรวจจิตที่โรงพยาบาล โจทก์แถลงว่ากรณีไม่เข้าเหตุตาม ป.วิ.อ. มาตรา 14 ศาลชั้นต้นเห็นว่าในระหว่างการสอบสวนและพิจารณาจำเลยสามารถต่อสู้คดีได้ เหตุที่ทนายจำเลยขอส่งตัวจำเลยไปตรวจจิตที่โรงพยาบาลนั้นไม่เข้าเหตุตาม ป.วิ.อ. มาตรา 14 ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นชี้ขาดว่า จำเลยสามารถต่อสู้คดีได้และจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้าน การดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
จำเลยกับผู้ตายซึ่งเป็นบิดาของจำเลยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ทั้งไม่มีมูลเหตุใดอันเป็นเรื่องรุนแรงพอที่จะทำให้จำเลยต้องฆ่าผู้ตายซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูจำเลยมาโดยตลอด จึงน่าเชื่อว่าจำเลยมีความผิดปกติในความคิดและการรับรู้ แม้ยังไม่เป็นการชัดแจ้งว่าจำเลยกระทำผิดในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้เพราะมีจิตบกพร่อง แต่การที่จำเลยเกิดความหวาดกลัวว่าจะมีคนมาทำร้ายและหลังเกิดเหตุจำเลยวิ่งหลบหนีไปนั้น แสดงว่าจำเลยมีอาการผิดปกติทางจิตใจหรือจิตบกพร่อง แต่ก็เชื่อได้ว่าจำเลยยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง ซึ่งศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ตาม ป.อ. มาตรา 65 วรรคสอง
จำเลยกับผู้ตายซึ่งเป็นบิดาของจำเลยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ทั้งไม่มีมูลเหตุใดอันเป็นเรื่องรุนแรงพอที่จะทำให้จำเลยต้องฆ่าผู้ตายซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูจำเลยมาโดยตลอด จึงน่าเชื่อว่าจำเลยมีความผิดปกติในความคิดและการรับรู้ แม้ยังไม่เป็นการชัดแจ้งว่าจำเลยกระทำผิดในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้เพราะมีจิตบกพร่อง แต่การที่จำเลยเกิดความหวาดกลัวว่าจะมีคนมาทำร้ายและหลังเกิดเหตุจำเลยวิ่งหลบหนีไปนั้น แสดงว่าจำเลยมีอาการผิดปกติทางจิตใจหรือจิตบกพร่อง แต่ก็เชื่อได้ว่าจำเลยยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง ซึ่งศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ตาม ป.อ. มาตรา 65 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6966/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน: การกระทำที่แสดงถึงการวางแผนและตัดสินใจล่วงหน้า
ขณะเกิดเหตุผู้ตายและจำเลยต่างเป็นข้าราชการตำรวจอยู่ที่สถานีตำรวจแห่งเดียวกัน ก่อนเกิดเหตุ เมื่อผู้ตายพบจำเลย ผู้ตายชอบพูดแหย่จำเลยว่าจะจีบคนรักของจำเลยซึ่งเป็นพยาบาล จนทำให้จำเลยมีอาการหึงหวงและโกรธผู้ตาย วันเกิดเหตุจำเลยเห็นผู้ตายยืนรอโทรศัพท์ที่ข้างตู้โทรศัพท์สาธารณะฝั่งตรงข้ามกับสถานีตำรวจ จำเลยก็ขับรถจักรยานยนต์ไปจอดฝั่งตรงข้ามกับตู้โทรศัพท์สาธารณะดังกล่าวแล้วเดินกลับไปกลับมาบริเวณหน้าสถานีตำรวจ 3 ถึง 4 เที่ยว อันเป็นการคิดตัดสินใจไว้ล่วงหน้า จากนั้นจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทางด้านหลังถึง 5 นัด จนผู้ตายถึงแก่ความตาย เป็นการยิงโดยไตร่ตรองไว้ก่อน หาใช่เป็นการตัดสินใจทันทีทันใดไม่ จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5714/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าโดยบันดาลโทสะ: การยั่วยุต้องร้ายแรงถึงข่มเหงอย่างร้ายแรง
จำเลยไปหาผู้ตายที่ที่ทำงานของผู้ตายและถามผู้ตายว่า มึงเล่นชู้กับเมียกูทำไม การที่ผู้ตายพูดว่ามึงไม่มีน้ำยากูเลยเล่นนั้นเป็นการพูดตอบจำเลยแม้จะพูดในทำนองยั่วยุ แต่ไม่ถึงขนาดที่จะถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างรุนแรง ทั้งผู้ตายไม่ได้พูดต่อหน้าผู้อื่นที่จะทำให้จำเลยได้รับความอับอายขายหน้าผู้อื่น ยังไม่ได้ถือว่าจำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยบันดาลโทสะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8677/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน: เหตุบรรเทาโทษจากพฤติการณ์ผู้ตายหาเรื่องก่อน และการรับสารภาพ
ก่อนเกิดเหตุจำเลยมีเรื่องโกรธเคืองกับผู้ตาย เนื่องจากผู้ตายด่าจำเลยว่าไอ้หน้าตัวเมีย และท้าทายจำเลยให้มาชกต่อยกัน จำเลยก็ได้พูดกับผู้ตายว่า อีกสักครู่จะมา อันเป็นการรับคำท้าทาย จำเลยและ ค. ไปขออาวุธปืนและกระสุนปืนที่ ค. ฝากไว้กับ ข. คือ ค. รับอาวุธปืนและกระสุนปืนคืนมาแล้วก็มอบให้จำเลยไป จากนั้นจำเลยขับรถจักรยานยนต์ตามไปพบผู้ตายซึ่งเป็นเวลาห่างจากการพบกันครั้งแรกประมาณ 1 ชั่วโมง จำเลยพูดกับผู้ตายว่าจำเลยไม่ใช่นักเลงแต่ก็ใช้ได้ก่อนที่จำเลยจะใช้อาวุธปืนที่เตรียมมายิงผู้ตาย เห็นได้ว่า จำเลยมีโอกาสคิดไตร่ตรองไว้ก่อนแล้วว่า จะฆ่าผู้ตายหรือไม่ เมื่อจำเลยตามไปพบผู้ตายและได้โอกาสก็ยิงผู้ตาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตาม ป.อ. มาตรา 289 (4) พฤติการณ์ก่อนเกิดเหตุที่ผู้ตายเป็นฝ่ายหาเรื่องจำเลย ชวนทะเลาะวิวาทด่าจำเลยว่าไอ้หน้าตัวเมีย และยังท้าทายให้จำเลยชกต่อย ประกอบกับฎีกาของจำเลยรับว่าจำเลยเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับว่าเป็นเหตุบรรเทาโทษ สมควรลดโทษให้ตาม ป.อ. มาตรา 78 และให้มีผลถึงความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 466/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่างกาย vs. เจตนาฆ่า: การพิจารณาจากบาดแผลและพฤติการณ์
มีดที่จำเลยใช้เป็นอาวุธเป็นมีดสปาต้ายาวประมาณ 1 ศอก นับว่าเป็นมีดขนาดใหญ่ที่อาจใช้เป็นอาวุธฟันทำอันตรายแก่บุคคลอื่นถึงแก่ความตายได้ และจำเลยเข้าไปฟันผู้เสียหายบริเวณใบหน้าในขณะที่ผู้เสียหายนอนอยู่ไม่ทันได้ระวังตัว ซึ่งจำเลยสามารถที่จะฟันโดยแรงให้ผู้เสียหายมีแผลฉกรรจ์ได้ แต่ปรากฏว่าบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับบริเวณดั้งจมูกมีขนาดยาวเพียง 2 เซนติเมตร ส่วนที่ศีรษะด้านหลังก็มีขนาดยาวเพียง 3 เซนติเมตร บาดแผลทั้งสองแห่งเป็นแผลตื้นใช้เวลารักษาประมาณ 15 วัน เท่านั้น จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยฟันโดยแรง นอกจากนี้ยังได้ความจากผู้เสียหายว่ามีดที่จำเลยใช้ฟันมีผ้าพันทั้งด้าม โดยจำเลยเพียงดึงผ้าที่พันทางด้านปลายมีดออกเล็กน้อยเท่านั้น แสดงว่าจำเลยไม่ประสงค์ให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายถึงชีวิต สำหรับสาเหตุที่จำเลยใช้มีดฟันผู้เสียหายนั้น ปรากฏว่าผู้เสียหายไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้าจำเลยมาก่อน คงได้ความตามทางนำสืบของจำเลยว่ามีสาเหตุมาจากจำเลยเห็นว่าผู้เสียหายเป็นวัยรุ่นหมู่บ้านปลาปากที่เคยทำร้ายเพื่อนของจำเลยซึ่งมิใช่สาเหตุร้ายแรงถึงกับจะต้องเอาชีวิตกัน พฤติการณ์จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า คงฟังเพียงว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3617/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาต่อเนื่องในการฆ่า, ความผิดสองกรรม, และการลดโทษจากสารภาพ
ถ้อยคำที่ผู้ตายที่ 1 ด่าจำเลยว่า "โคตรพ่อโคตรแม่" แม้จะเป็นถ้อยคำก้าวร้าวหยาบคายเป็นที่ระคายเคืองแก่จำเลยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่จะถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมตาม ป.อ. มาตรา 72
ในชั้นสอบคำให้การจำเลย จำเลยให้การต่อสู้โดยอ้างเหตุบันดาลโทสะสำหรับความผิดฐานฆ่าผู้ตายที่ 2 เท่านั้น มิได้ต่อสู้ว่าเป็นการกระทำโดยป้องกันโดยสำคัญผิด ส่วนในชั้นสืบพยาน จำเลยนำสืบต่อสู้ไม่ชัดแจ้งว่าจำเลยประสงค์จะต่อสู้ว่าจำเลยยิงผู้ตายที่ 2 เพื่อป้องกันตัวโดยสำคัญผิดว่าผู้ตายที่ 2 จะเข้ามาทำรายจำเลย และในชั้นอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์โดยมิได้อ้างเหตุสำคัญผิดในข้อเท็จจริง ดังนั้น ฎีกาของจำเลยที่อ้างว่าการที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายที่ 2 เป็นการกระทำโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุโดยสำคัญผิดว่าผู้ตายที่ 2 ได้นำเครื่องมือทำงานที่เป็นเหล็กแหลมและค้อนติดตัวมาด้วย จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงสกัดมิให้ผู้ตายกับพวกเข้ามาทำร้ายจำเลยซึ่งมีขาพิการนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่าง
หลังจากจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายที่ 1 แล้ว จำเลยเห็นผู้ตายที่ 2 และหลานชายผู้ตายที่ 2 กรูเข้ามาหาจำเลยโดยวิ่งลงบันไดมา จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงสกัดขึ้นไป รวมทั้งใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายที่ 2 ด้วย แสดงว่าจำเลยมีเจตนายิงผู้ตายที่ 1 ก่อน ต่อมาเมื่อจำเลยเห็นผู้ตายที่ 2 วิ่งลงบันไดมา จำเลยจึงเกิดมีเจตนายิงผู้ตายที่ 2 เสียด้วย ซึ่งเป็นเจตนาที่เกิดขึ้นใหม่ในภายหลัง แม้จะเป็นการกระทำความผิดในเวลาต่อเนื่องกัน แต่ก็เป็นการกระทำความผิดที่อาศัยเจตนาที่แยกต่างหากจากกันได้ จึงเป็นความผิดสองกรรม
ในชั้นสอบคำให้การจำเลย จำเลยให้การต่อสู้โดยอ้างเหตุบันดาลโทสะสำหรับความผิดฐานฆ่าผู้ตายที่ 2 เท่านั้น มิได้ต่อสู้ว่าเป็นการกระทำโดยป้องกันโดยสำคัญผิด ส่วนในชั้นสืบพยาน จำเลยนำสืบต่อสู้ไม่ชัดแจ้งว่าจำเลยประสงค์จะต่อสู้ว่าจำเลยยิงผู้ตายที่ 2 เพื่อป้องกันตัวโดยสำคัญผิดว่าผู้ตายที่ 2 จะเข้ามาทำรายจำเลย และในชั้นอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์โดยมิได้อ้างเหตุสำคัญผิดในข้อเท็จจริง ดังนั้น ฎีกาของจำเลยที่อ้างว่าการที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายที่ 2 เป็นการกระทำโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุโดยสำคัญผิดว่าผู้ตายที่ 2 ได้นำเครื่องมือทำงานที่เป็นเหล็กแหลมและค้อนติดตัวมาด้วย จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงสกัดมิให้ผู้ตายกับพวกเข้ามาทำร้ายจำเลยซึ่งมีขาพิการนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่าง
หลังจากจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายที่ 1 แล้ว จำเลยเห็นผู้ตายที่ 2 และหลานชายผู้ตายที่ 2 กรูเข้ามาหาจำเลยโดยวิ่งลงบันไดมา จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงสกัดขึ้นไป รวมทั้งใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายที่ 2 ด้วย แสดงว่าจำเลยมีเจตนายิงผู้ตายที่ 1 ก่อน ต่อมาเมื่อจำเลยเห็นผู้ตายที่ 2 วิ่งลงบันไดมา จำเลยจึงเกิดมีเจตนายิงผู้ตายที่ 2 เสียด้วย ซึ่งเป็นเจตนาที่เกิดขึ้นใหม่ในภายหลัง แม้จะเป็นการกระทำความผิดในเวลาต่อเนื่องกัน แต่ก็เป็นการกระทำความผิดที่อาศัยเจตนาที่แยกต่างหากจากกันได้ จึงเป็นความผิดสองกรรม