พบผลลัพธ์ทั้งหมด 15 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3286/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่เคลือบคลุม ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 และคืนค่าขึ้นศาล
ฟ้องเคลือบคลุมในคดีแพ่งไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยเองไม่ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) การที่ศาลยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยโดยมิได้มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง จึงเป็นการไม่ชอบ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายมาโดยชัดเจนถึงข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ตลอดจนความรับผิดของจำเลยแล้วจำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี อุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายของโจทก์เช่นนี้ จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ตามบัญชีท้าย ป.วิ.พ. ตาราง 1 (2) (ก) เมื่อปรากฏว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลดังกล่าวเกินมา จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินให้แก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายมาโดยชัดเจนถึงข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ตลอดจนความรับผิดของจำเลยแล้วจำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี อุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายของโจทก์เช่นนี้ จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ตามบัญชีท้าย ป.วิ.พ. ตาราง 1 (2) (ก) เมื่อปรากฏว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลดังกล่าวเกินมา จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3996/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่ชัดเจนความรับผิดจำเลยที่ 3 คำฟ้องเคลือบคลุม ศาลยกฟ้อง
คำฟ้องบรรยายไว้แต่เพียงว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นนายจ้างลูกจ้าง จำเลยที่ 3 ประกอบกิจการรับประกันวินาศภัย จำเลยที่ 2 กระทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 โดยขับรถดั๊มโดยประมาท กระบะหลังรถกระแทกถูกหลังคาปั๊มน้ำมันของบริษัท ค. ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ เสียหายเป็นเงิน 312,000 บาท โจทก์ชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้เอาประกันภัยแล้ว จึงรับช่วงสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยทั้งสาม ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 เกี่ยวข้องกับคดีนี้อย่างไร ร่วมกระทำละเมิด หรือต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดเพราะอะไรล้วนแต่ไม่ปรากฏทั้งสิ้น คำฟ้องของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 จึงไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง เป็นฟ้องเคลือบคลุม และแม้จำเลยที่ 3 จะให้การว่ารับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุก็ตาม ก็ไม่ทำให้คำฟ้องของโจทก์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมาแต่แรกกลับเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9413/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่เพียงพอต่อการรับฟังว่าจำเลยที่ 3 มีส่วนร่วมในการปล้นทรัพย์ จำเลยที่ 3 ได้รับยกฟ้อง
โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเห็นจำเลยที่ 3 เป็นคนร้ายขณะเกิดเหตุ พยานหลักฐานโจทก์มีเพียงบันทึกการจับกุมบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนที่จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพบันทึกนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและภาพถ่ายซึ่งจำเลยที่ 3 ปฏิเสธในชั้นศาลและไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 3 ได้รับส่วนแบ่งทรัพย์ที่ถูกปล้น จึงเป็นพยานบอกเล่าที่ไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยที่ 3ร่วมปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายทั้งสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9402/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกัน ไม่มีสิทธิฎีกา เนื่องจากศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะจำเลยที่ 1 และไม่มีผลกระทบต่อจำเลยที่ 3
คดี นี้ ศาลชั้นต้น พิพากษา ให้ จำเลย ที่ 1 ชำระเงิน จำนวน 18,327,369 บาท พร้อม ดอกเบี้ย แก่ โจทก์ และ ให้ จำเลย ที่ 3ผู้ค้ำประกัน ร่วม กับ จำเลยที่ 1 รับ ผิด ชำระเงิน จำนวน2,98,257.21 บาท พร้อม ดอกเบี้ย แก่ โจทก์ ปรากฏ ว่า เฉพาะ โจทก์ เท่านั้น ที่ อุทธรณ์ ขอให้ จำเลยที่ 1 รับผิด เพิ่มขึ้นจำเลยที่ 3 หา ได้ อุทธรณ์ ไม่ คดี สำหรับ จำเลย ที่ 3 จึง ถึงที่สุดตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น แม้ ศาลอุทธรณ์ จะ พิพากษา แก้ เป็น ว่าให้ จำเลย ที่ 1 ชำระเงิน 21,904,294.10 บาท พร้อม ดอกเบี้ยแก่ โจทก์ คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ ดังกล่าว ก็ หา มี ผล ทำให้จำเลยที่ 3 ต้อง รับผิด เพิ่ม ขึ้น จาก คำพิพากษา ศาลชั้นต้น ไม่จำเลยที่ 3 จึง ไม่ มี สิทธิ ฎีกา ว่า ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัย ว่าโจทก์ มี สิทธิ เรียก ดอกเบี้ย ทบต้น จาก จำเลยที่ 1 ได้ จนถึงวันที่ หัก ทอน บัญชี กัน ครั้งสุดท้าย คือ วันที่ 1 เมษายน 2534ไม่ ถูกต้อง เพราะ เป็น ข้อ ที่ มิได้ ยกขึ้น ว่า กัน มา แล้ว โดย ชอบใน ศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4263/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียม: ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำกัดความรับผิดของจำเลยที่ 3 ตามสัดส่วนทุนทรัพย์ที่แพ้คดี
เมื่อจำเลยที่ 3 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นเงิน105,000 บาท ก็ไม่ควรรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมร่วมกับจำเลยดังกล่าวเกินกว่าทุนทรัพย์ที่จำเลยที่ 3 แพ้คดี และศาลฎีกามีอำนาจที่จะสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตลอดไปถึงของศาลชั้นต้นด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 650/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันฆ่าโดยเจตนา แม้ไม่มีประจักษ์พยาน พยานหลักฐานอื่นประกอบเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกระทำผิด
แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานมาสืบยืนยันว่า จำเลยที่ 3 ได้ ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย และคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน ของจำเลยที่ 1 ที่กล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 3 ร่วมกระทำผิดด้วยเป็น คำบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย แต่โจทก์มีพยานหลักฐานอื่นประกอบให้เห็นว่า คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 เป็นความจริง และพยานหลักฐาน โจทก์ประกอบคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 มีน้ำหนัก รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้ไม้ท่อนวิ่งไล่ตีผู้ตายเข้าไปในสวนยางจนผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 3 จึง มีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1808/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดสิทธิฎีกา: จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิฎีกาในความรับผิดของจำเลยที่ 3 เนื่องจากเป็นคู่ความร่วมกัน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดต่อโจทก์ในวงเงินที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 ไม่ส่งต้นฉบับกรมธรรม์ประกันภัย ไม่ชอบที่จะรับฟังสำเนาเอกสารเป็นพยานหลักฐาน ขอให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดต่อโจทก์เต็มจำนวนด้วยนั้น จำเลยที่ 2 มิได้อยู่ในฐานะเป็นคู่ความคนละฝ่ายกับจำเลยที่ 3. จึงไม่มีสิทธิฎีกาในปัญหาเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 3 และปัญหานี้โจทก์มิได้ฎีกา การที่โจทก์ยกขึ้นกล่าวอ้างไว้ในคำแก้ฎีกาไม่เป็นประเด็นในชั้นฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3446/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยมีหน้าที่นำสืบข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ตนเองกล่าวอ้าง
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2. ซึ่งได้เอาประกันภัยค้ำจุนไว้กับจำเลยที่ 3 ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 โดยประมาทชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสามให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ 3 ให้การรับว่าได้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ไว้จริง แต่จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย เพราะจำเลยที่ 1 ผู้ขับขี่รถยนต์คันนี้ไม่ได้รับอนุญาตให้ขับขี่รถยนต์ได้ตามกฎหมาย ซึ่งเป็นข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย ข้ออ้างดังกล่าวจำเลยที่ 3 เป็นฝ่ายกล่าวอ้างขึ้นในคำให้การ จึงมีหน้าที่นำสืบในข้อนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 867/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกัน - การชำระหนี้ด้วยเช็คใหม่ไม่ถือเป็นการแปลงหนี้ - จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดตามสัญญา
จำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันให้ไว้กับโจทก์ว่า หากเช็คที่จำเลยที่ 1 นำมาขายลดให้โจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้จำเลยที่ 3 ยอมร่วมรับผิดใช้เงินให้แก่โจทก์ ต่อมาเช็คที่จำเลยที่ 1 นำมาขายลดให้โจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยที่ 3 ย่อมมีความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันการที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันสั่งจ่ายเช็คฉบับใหม่เพื่อชำระหนี้เงินที่โจทก์เรียกเก็บไม่ได้ จึงเป็นชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระเป็นเงินหาใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ไม่ เมื่อเช็คฉบับใหม่ขึ้นเงินไม่ได้หนี้ที่จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดจึงยังไม่ระงับ จำเลยที่3 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2492/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประกันภัยรถยนต์: จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดหากไม่ใช่ประกันภัยค้ำจุน
ตามคำฟ้องโจทก์มิได้กล่าวอ้างหรือแสดงว่าจำเลยที่ 3รับประกันภัย รถยนต์พิพาทไว้ในลักษณะประกันภัยค้ำจุน ซึ่งจำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัย ตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัย เพื่อความวินาศภัย อันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง และซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ ฟ้องโจทก์จึงขาดสารสำคัญอันเป็นมูลที่จะให้จำเลยที่ 3 ต้องรับผิด จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิด