คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
จำเลยปฏิเสธ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 34 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7806/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุจำเลยแถลงข้อเท็จจริงปฏิเสธความผิด ไม่ได้คัดค้านดุลพินิจศาลอุทธรณ์
แม้ฎีกาของจำเลยที่ 2 จะได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 2 ได้ไปติดต่อล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจากจำเลยที่ 1 และพวกตลอดทั้งพฤติการณ์ที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 2 และหลอกลวงให้ทำบันทึกคำรับสารภาพไว้ โดยละเอียดก็ตาม แต่ฎีกาของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการแถลงข้อเท็จจริงปฏิเสธความผิดของตนโดยมิได้ยกเหตุขึ้นคัดค้านหรือกล่าวอ้างว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายในข้อใดอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่มิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 และมาตรา 216

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1496/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความผิดฐานมียาเสพติดเพื่อจำหน่าย จำเลยปฏิเสธ พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟัง
ในความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโจทก์ไม่มีพยานนำสืบให้ชัดแจ้งว่า จำเลยมีพฤติการณ์ในการจำหน่ายประการใดบ้างส่วนคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นเพียงพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย ทั้งจำเลยก็ได้ให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณา จึงไม่อาจอาศัยมาฟังลงโทษจำเลยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นความผิดที่มีโทษฉกรรจ์ ซึ่งตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำพยานเข้าสืบประกอบ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพพยานหลักฐานโจทก์จึงไม่พอฟังลงโทษจำเลยฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
เจ้าพนักงานผู้จับกุมได้พบตัวจำเลยขณะขับรถโดยสารประจำทางจึงได้ติดตามไปทำการจับกุมและตรวจค้นในทันทีทันใด ที่จำเลยขับรถเข้าไปจอดในอู่รถโดยสารประจำทาง มิฉะนั้น จำเลยย่อมหลบหนีหรือเคลื่อนย้ายยาเสพติดให้โทษของกลางไปได้ เป็นกรณีที่เจ้าพนักงานผู้จับกุมสามารถค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายค้นตาม ป.วิ.อ.มาตรา 92(4)
ที่จำเลยฎีกาว่า มีปัญหาส่วนตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้จับกุมด้วย ก็มิได้ปรากฏว่า มีข้อเท็จจริงใด ๆ เป็นการยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้นั้นคือใครและได้กระทำการอันมิชอบแต่ประการใด จึงไม่เป็นสาระที่จะเปลี่ยนแปลงผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5024/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระการพิสูจน์ในคดีกู้ยืมเงิน: โจทก์ต้องพิสูจน์การทำสัญญาและรับเงิน หากจำเลยปฏิเสธ
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ จำเลยได้รับเงินจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยให้การว่าจำเลยไม่เคยทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ สัญญากู้ยืมเงิน เป็นเอกสารปลอมโดยโจทก์กรอกข้อความลงในเอกสารว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ ทั้งที่ไม่เป็นความจริง คำให้การของจำเลยเป็นการปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ตามฟ้อง โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายกล่าวอ้างจึงมีภาระการพิสูจน์ให้ได้ความว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ตามข้ออ้างของตน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6806/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรวมโทษคดีอาญา: จำเลยปฏิเสธตัวบุคคล, โจทก์ไม่มีหลักฐานพิสูจน์
จำเลยให้การแต่เพียงว่าจำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อหาโดยจำเลยมิได้ให้การรับว่าจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ ทั้งโจทก์ก็มิได้นำสืบหรือแสดงหลักฐานในเรื่องดังกล่าวให้รับฟังเป็นความจริงได้ จึงไม่อาจนำโทษในคดีก่อนที่รอการลงโทษไว้มาบวกกับโทษของจำเลยในคดีนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 522/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หลักฐานไม่เพียงพอฟังลงโทษคดีลักทรัพย์ จำเลยอ้างว่าเห็นแต่พฤติการณ์ที่ไม่ชัดเจน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันลักอะไหล่รถยนต์6รายการและแผ่นอะลูมิเนียม3แผ่นไปจากบริษัท ต. แต่คำเบิกความของ จ. พยานโจทก์ไม่ได้ความชัดว่าภายในกล่องกระดาษซึ่งพยานเห็น ช. คนงานก่อสร้างซึ่งเป็นพวกของจำเลยยกออกจากโรงซ่อมของบริษัท ต. มาวางไว้ด้านหลังโรงซ่อมนั้นมีสิ่งของใดหรือไม่และที่อ้างว่าจำเลยที่1กับ พ. ซึ่งเป็นพวกของจำเลยด้วยได้มาช่วยยกแผ่นอะลูมิเนียม2แผ่นบริเวณก่อสร้างนำไปรวมไว้กับกล่องกระดาษที่ ช. นำมาวางนั้นก็ไม่ปรากฏว่าเป็นแผ่นอะลูมิเนียมของผู้เสียหายหรือไม่และที่อ้างว่าเห็นจำเลยที่2ยกกล่องกระดาษ2ใบไปใส่ในรถของจำเลยที่2ก็ไม่ได้ความแน่ชัดว่าจำเลยที่2นำกล่องกระดาษจากที่ใดและภายในบรรจุสิ่งของใดหรือไม่โจทก์จึงขาดพยานหลักฐานที่มั่นคงที่จะฟังลงโทษจำเลยทั้งสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 446/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าไม่พอฟัง พยานหลักฐานไม่เชื่อมโยง จำเลยปฏิเสธ และไม่มีพฤติการณ์หลบหนี ศาลฎีกายกฟ้อง
คำเบิกความของผู้เสียหายได้ความเพียงว่า บ. ซึ่งนั่งคร่อมซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยจอดอยู่ริมถนนเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ขับรถผ่านหน้าไปในระยะห่างเพียง2เมตรแต่กระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหายแม้จำเลยจะขับรถจักรยานยนต์ตามผู้เสียหายไปแต่ไม่ปรากฏว่าตามไปในลักษณะใดอีกทั้งเมื่อผู้เสียหายจอดรถแล้ววิ่งย้อนกลับมาตามทางเดิมจำเลยกับพวกก็ยังขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านเลยไปโดยมิได้ติดตามยิงผู้เสียหายอีกจึงอาจเป็นว่า บ.ยิงขู่ผู้เสียหายเท่านั้นประกอบกับเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้ที่บ้านจำเลยในวันเกิดเหตุโดยจำเลยมิได้หลบหนีและให้การปฏิเสธตลอดมาพยานโจทก์จึงไม่พอฟังว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1775/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รับของโจร - พยานหลักฐานไม่สอดคล้องกัน - จำเลยปฏิเสธ - ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ
จากการนำสืบของโจทก์ได้ความจากคำเบิกความของ อ.ว่าอ.ได้ลักรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุมาให้จำเลยช่วยขายให้เพราะเคยรู้จักกันมาก่อนจำเลยไม่ยอมช่วยขายแต่บอกว่า ท.เพื่อนของจำเลยต้องการจะได้ อ.จึงตกลงขายให้ ท.ในราคา 1,500 บาท และมอบรถจักรยานยนต์ให้แก่ ท.ไป ดังนี้ อ.มิได้ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางจาก อ.โดยจำเลยทราบว่ารถของกลางถูกลักมา แต่กลับได้ความว่าจำเลยไม่รับซื้อ ท.ซึ่งอยู่กับจำเลยด้วยในขณะนั้นจึงรับซื้อจาก อ.โดยได้ขอยืมเงินจากจำเลยไปอีก 800 บาท การที่จำเลยให้ ท.ยืมเงินไป 800 บาทนั้น ถือไม่ได้ว่าเป็นการช่วยจำหน่ายรถจักรยานยนต์ของกลางแต่อย่างใด เพราะ ท.ตกลงซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางจาก อ.เองอยู่แล้วโดยไม่ต้องให้จำเลยช่วยขาย นอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหาย กับต.และ บ.ในทำนองเดียวกันอีกว่า เมื่อผู้เสียหายนำสิบตำรวจโท พ.ไปจับ อ.ได้นั้นในตอนแรก อ.ได้บอกแก่สิบตำรวจโท พ.ทันทีว่าได้ลักรถจักรยานยนต์ของกลางไปขายเพียงคนเดียว และนำไปขายที่อำเภอท่ามะกาโดยไม่ได้ระบุว่าขายให้แก่ผู้ใดหากขายให้แก่จำเลยก็น่าจะระบุชื่อจำเลยทันทีเพราะรู้จักกันโดยไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องปิดบังไว้ ประการสำคัญได้ความจากคำเบิกความของนาย ต.ว่า ที่สถานี-ตำรวจ จำเลยบอกว่าจำเลยไม่ได้ซื้อรถจักรยานยนต์ของกลาง แต่คนอื่นซื้อซึ่งเงินไม่พอต้องขอยืมจำเลยไปอีก 800 บาท ตรงกับที่จำเลยนำสืบต่อสู้ แม้โจทก์มีพนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความประกอบบันทึกคำให้การของ อ.ว่า อ.นำรถจักรยานยนต์ของกลางไปขายให้แก่จำเลยก็ตาม แต่คำให้การของ อ.เป็นเพียงพยานบอกเล่ามิได้ทำต่อหน้าจำเลย ซึ่งจำเลยไม่มีโอกาสถามค้าน ทั้งยังขัดแย้งกับคำเบิกความของ อ.เองที่เบิกความว่า อ.ได้ขายรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่ ท.เช่นนี้ คำเบิกความของพนักงานสอบสวนจึงไม่มีน้ำหนัก คดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธมาตั้งแต่ต้นและพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาไม่สอดคล้องต้องกัน จึงไม่มีน้ำหนักพอฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจรตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2789/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่โจทก์อ้างเป็นสำเนา ต้นฉบับไม่อยู่ในครอบครองจำเลย ศาลไม่รับฟังสัญญา
จำเลยคัดค้านว่าสำเนาสัญญาซื้อขายที่โจทก์อ้างส่งโดยอ้างว่าต้นฉบับอยู่ที่จำเลยนั้นไม่อยู่ในความครอบครองของจำเลยและนำสืบว่าไม่มีต้นฉบับเอกสารนี้เมื่อชั้นพิจารณาโจทก์ไม่มีต้นฉบับเอกสารมาแสดงโดยไม่ปรากฏว่าหาไม่ได้เพราะสูญหายหรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัยจึงรับฟังข้อความตามสำเนาเอกสารไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3379/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยปฏิเสธสัญญาค้ำประกัน ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นการรับรองลายมือชื่อและขอบเขตความรับผิดตามสัญญา
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ว่าจำเลยที่ 2 ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันกับโจทก์ สัญญาค้ำประกันตามเอกสารท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอม และไม่ว่ากรณีจะเป็นอย่างไร หากจำเลยที่ 2จะต้องรับผิดต่อโจทก์แล้วก็จะต้องรับผิดไม่เกิน 150,000 บาท ดังนี้คำให้การจำเลยที่ 2 ตอนต้นเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงส่วนตอนหลังเป็นเรื่องปัญหาข้อกฎหมายว่าจะต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงใด หาได้ขัดกันไม่จึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันหรือไม่ และจะต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงใด คำให้การของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว ไม่ได้ให้การในรายละเอียดว่าลายมือชื่อผู้ค้ำประกันในเอกสารท้ายฟ้องดังกล่าวไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธินำสืบว่าลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันไม่ใช่ของจำเลยที่ 2 ข้อนำสืบของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวเป็นเรื่องนอกคำให้การ จึงรับฟังไม่ได้ จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ให้ถือเอาคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2เป็นคำฟ้องฎีกาของจำเลยที่ 2 ด้วยนั้น เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งเป็นฎีกาที่ไม่ชอบจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5045/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพนัน: สถานที่เกิดเหตุเป็นสาธารณสถาน จำเลยปฏิเสธ โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันความผิด
แม้จะฟังได้ว่าจำเลยอยู่ในวงการพนันไฮโลว์ด้วยก็ตาม แต่วงการพนันไฮโลว์ที่เกิดเหตุอยู่ที่เพิงขายอาหารซึ่งตั้งอยู่บนทางสาธารณะ หน้าอู่รถโดยสารประจำทาง ซึ่งประชาชนทั่วไปมีความชอบธรรมจะเข้าไปได้ ที่เกิดเหตุจึงเป็นสาธารณสถาน ต้องด้วยข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 6 ที่มิให้สันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้เข้าเล่นการพนันด้วยเมื่อจำเลยให้การปฏิเสธตลอดมาตั้งแต่ชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน จนถึงชั้นพิจารณา จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบให้ได้ความว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ ศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้อง
of 4