พบผลลัพธ์ทั้งหมด 11 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5230/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความเสียหายในคดีอาญา และการอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง
คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยพยานหลักฐานโจทก์ว่า สัญญาซื้อขายหุ้นทำระหว่าง ว. กับจำเลยโดยโจทก์ไม่เกี่ยวข้องทั้งโจทก์มิได้นำสืบตัวโจทก์ในชั้นไต่สวนและในชั้นพิจารณากับข้อเท็จจริงคงได้จากพยานหลักฐานว่า ว. ให้โจทก์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินเข้าบัญชีแทน โจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบจึงไม่เป็นผู้เสียหาย แม้คำวินิจฉัยจะมิได้กล่าวไปถึงคำเบิกความของ ว. ที่ว่า ว. นำเช็คพิพาทไปแบ่งให้แก่โจทก์ เพราะเดิมโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินตามสัญญาซื้อขายหุ้นเอกสารหมาย จ.2 จะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม แต่คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่ว่าโจทก์มิได้เกี่ยวข้องกับสัญญาขายหุ้นทั้งโจทก์มิได้นำสืบตัวโจทก์ ดังนี้เท่ากับแสดงว่าศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักคำเบิกความของ ว. ดังกล่าว แล้วว่าไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้นั่นเอง ดังนั้น อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงในคดีนี้จนครบถ้วนเท่ากับยังไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นโดยประสงค์ให้ศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงไปตามคำเบิกความทั้งหมดของพยานโจทก์คือตัว ว. เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาที่โจทก์อ้างเป็นข้อกฎหมายว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายอันถือว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลอุทธรณ์ยกอุทธรณ์ของโจทก์จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4246/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การห้ามอุทธรณ์ประเด็นใหม่ & การชั่งน้ำหนักพยาน
แม้จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม แต่ประเด็นที่จำเลยที่ 2 กล่าวในอุทธรณ์ไม่ตรงกับที่เคยให้การไว้ ปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2ข้อนี้จึงมิใช่ข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น และมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงชอบแล้ว
การวินิจฉัยพยานหลักฐานในทางแพ่งเป็นการชั่งน้ำหนักพยานทั้งสองฝ่ายว่าฝ่ายใดมีนำหนักให้เชื่อฟังมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจึงชี้ขาดให้ฝ่ายนั้นชนะคดี โจทก์มี ด.เจ้าหน้าที่ของโจทก์มาเบิกความเป็นพยานประกอบเอกสารได้ความสอดคล้องตรงกันแม้โจทก์ไม่ได้ตัวลูกค้าของโจทก์มาเบิกความเป็นพยาน ก็มีน้ำหนักน่าเชื่อว่าฝ่ายจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่มีพยานมานำสืบแต่ประการใดเลย
การวินิจฉัยพยานหลักฐานในทางแพ่งเป็นการชั่งน้ำหนักพยานทั้งสองฝ่ายว่าฝ่ายใดมีนำหนักให้เชื่อฟังมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจึงชี้ขาดให้ฝ่ายนั้นชนะคดี โจทก์มี ด.เจ้าหน้าที่ของโจทก์มาเบิกความเป็นพยานประกอบเอกสารได้ความสอดคล้องตรงกันแม้โจทก์ไม่ได้ตัวลูกค้าของโจทก์มาเบิกความเป็นพยาน ก็มีน้ำหนักน่าเชื่อว่าฝ่ายจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่มีพยานมานำสืบแต่ประการใดเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4246/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ฟ้องเคลือบคลุมที่ไม่ตรงกับข้อต่อสู้เดิม และการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทางแพ่ง
แม้จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม แต่ประเด็นที่จำเลยที่ 2 กล่าวในอุทธรณ์ไม่ตรงกับที่เคยให้การไว้ ปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ข้อนี้จึงมิใช่ข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น และมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงชอบแล้ว การวินิจฉัยพยานหลักฐานในทางแพ่งเป็นการชั่งน้ำหนักพยานทั้งสองฝ่ายว่าฝ่ายใดมีน้ำหนักให้เชื่อฟังมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจึงชี้ขาดให้ฝ่ายนั้นชนะคดี โจทก์มี ด. เจ้าหน้าที่ของโจทก์มาเบิกความเป็นพยานประกอบเอกสารได้ความสอดคล้องตรงกันแม้โจทก์ไม่ได้ตัวลูกค้าของโจทก์มาเบิกความเป็นพยาน ก็มีน้ำหนักน่าเชื่อกว่าฝ่ายจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่มีพยานมานำสืบแต่ประการใดเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 555/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชั่งน้ำหนักพยานในคดีแพ่ง: ภาระการพิสูจน์และความน่าเชื่อถือของพยาน
การชั่งน้ำหนักคำพยานในคดีแพ่งนั้น หาใช่หมายถึง จะต้องชั่งน้ำหนักคำพยานอันเกิดจากการนำสืบของคู่ความทั้งสองฝ่ายเสมอไปไม่ ถ้า ปรากฏว่าฝ่ายใดมีภาระการพิสูจน์ก่อนแต่ คำพยานไม่น่าเชื่อถือ นำสืบไม่สมข้ออ้าง แม้เป็นการนำสืบฝ่ายเดียวโดยคู่ความอีกฝ่ายไม่มีพยานมาสืบก็ต้อง แพ้คดี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2607/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในน้ำมันเตาโอนเมื่อส่งมอบและชั่งน้ำหนักตรวจสอบปริมาณ การลักทรัพย์ทำให้โจทก์เสียหาย
บริษัท อ.นำน้ำมันเตาจำนวน 12,000 ลิตรที่โจทก์ร่วมสั่งซื้อไปส่งยังบริษัทโจทก์ร่วมโดยรถบรรทุกน้ำมัน และจะรับรู้หรือรับผิดชอบถ้าหากลวดซีลที่ฝาปิดเปิดอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อย แสดงว่าบริษัทอ.ผู้ขายได้หมาย หรือ นับ ชั่ง ตวง วัด หรือคัดเลือกบ่งตัวทรัพย์สินคือน้ำมันเตาที่โจทก์ร่วมสั่งซื้อไว้แน่นอนเป็นจำนวน12,000 ลิตร และบรรจุไว้ในรถเรียบร้อยแล้ว กรรมสิทธิ์ในน้ำมันเตาที่ซื้อขายย่อมโอนไปเป็นของโจทก์ร่วมการที่โจทก์ร่วมนำรถบรรทุกน้ำมันไปชั่งน้ำหนักอีกทีหนึ่งเป็นเพียงวิธีการตรวจสอบว่าบริษัทอ. ได้ส่งมอบน้ำมันเตาที่สั่งซื้อให้โจทก์ร่วมครบถ้วนหรือไม่เท่านั้น หาใช่เป็นการกระทำเพื่อให้ทราบราคาที่แน่นอนไม่เมื่อจำเลยลักน้ำมันเตาไป 4,000 ลิตร โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 635/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง: การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานและข้อสงสัยตามกฎหมาย
คดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลย5 ปี เป็นคดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ฎีกาของจำเลยที่ว่าพยานหลักฐานในคดีไม่ปรากฏว่าใครเป็นเจ้าของทรัพย์ที่แท้จริง และโจทก์ก็มิได้นำสืบถึงผู้เสียหาย และเจ้าของทรัพย์ที่ถูกลัก การที่ศาลลงโทษจำเลยโดยอาศัยพยานหลักฐานแวดล้อมเป็นการฟังพยานหลักฐานที่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227และเมื่อคดีมีข้อสงสัยว่า จำเลยจะได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย โดยพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียนั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร โดยบรรยายฟ้องตอนต้นว่า มีคนร้ายเข้าไปลักทรัพย์ในเคหสถานของผู้เสียหายต่อมาในฟ้องข้อ 2 โจทก์ได้บรรยายฟ้องต่อไปว่า มีผู้พบเห็นทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกลักไปอยู่ในความครอบครองของจำเลย จึงกล่าวหาว่า จำเลยเป็นคนร้ายลักทรัพย์ดังกล่าวไปหรือมิฉะนั้นจำเลยก็รับทรัพย์นั้นไว้จากคนร้ายโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์อันเป็นความผิดฐานรับของโจร โดยขอให้ลงโทษจำเลยฐานใดฐานหนึ่งซึ่งก็แล้วแต่ทางพิจารณาว่าจำเลยกระทำผิดฐานใด โจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐาน ดังนั้น คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ขัดแย้งกัน และสมบูรณ์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) แล้ว.(ที่มา-เนติ)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร โดยบรรยายฟ้องตอนต้นว่า มีคนร้ายเข้าไปลักทรัพย์ในเคหสถานของผู้เสียหายต่อมาในฟ้องข้อ 2 โจทก์ได้บรรยายฟ้องต่อไปว่า มีผู้พบเห็นทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกลักไปอยู่ในความครอบครองของจำเลย จึงกล่าวหาว่า จำเลยเป็นคนร้ายลักทรัพย์ดังกล่าวไปหรือมิฉะนั้นจำเลยก็รับทรัพย์นั้นไว้จากคนร้ายโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์อันเป็นความผิดฐานรับของโจร โดยขอให้ลงโทษจำเลยฐานใดฐานหนึ่งซึ่งก็แล้วแต่ทางพิจารณาว่าจำเลยกระทำผิดฐานใด โจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐาน ดังนั้น คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ขัดแย้งกัน และสมบูรณ์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) แล้ว.(ที่มา-เนติ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 429/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน และอุทธรณ์ต้องระบุข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังคลาดเคลื่อน
อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า คำเบิกความของตัวโจทก์ พยานจำเลย และพฤติการณ์ของจำเลยประกอบกันฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดดังฟ้องนั้น เป็นการโต้เถียงการชั่งน้ำหนักในการรับฟังพยานหลักฐาน จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนนอกฟ้องนอกประเด็นนั้น โจทก์มิได้แสดงโดยชัดเจนว่าศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนนอกฟ้องนอกประเด็นอย่างไร หาเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ไม่
การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ ไม่เป็นการอนุญาตให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวง ฯ พ.ศ.2499มาตรา 22 ทวิ
ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนนอกฟ้องนอกประเด็นนั้น โจทก์มิได้แสดงโดยชัดเจนว่าศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนนอกฟ้องนอกประเด็นอย่างไร หาเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ไม่
การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ ไม่เป็นการอนุญาตให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวง ฯ พ.ศ.2499มาตรา 22 ทวิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 341-342/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำพินัยกรรมโดยมิสมัครใจ และการรับฟังพยานหลักฐานในคดีอาญา
คำพิพากษาคดีแพ่งว่าจำเลยจัดให้มีการทำพินัยกรรมของเจ้ามรดกขึ้น หาใช่เจ้ามรดกสมัครใจทำขึ้นไม่ เป็นเรื่องชั่งน้ำหนักคำพยานจะนำข้อเท็จจริงนั้นมารับฟังว่าจำเลยปลอมเอกสารในคดีอาญาไม่ได้ พยานในคดีอาญาแตกต่างไม่น่าเชื่อไม่พอรับฟังลงโทษจำเลย ศาลพิพากษายกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 462/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพนักงานรัฐ ชั่งน้ำหนักอ้อยเกินจริงเพื่อประโยชน์ตนเอง
จำเลยเป็นลูกจ้างของโรงงานน้ำตาลสุพรรณบุรีอันเป็นโรงงานของบริษัทส่งเสริมเศรษฐกิจแห่งชาติจำกัด ซึ่งรัฐบาลมีทุนเกินกว่าร้อยละห้าสิบ. โดยจำเลยมีหน้าที่ซ่อมเครื่องจักรของโรงงานฯ. แต่ในระหว่างเกิดคดีนี้ได้รับคำสั่งจากผู้จัดการให้เป็นพนักงานชั่งอ้อยของโรงงาน. จำเลยมีรายได้ประจำจากโรงงาน. ดังนี้ ถือว่าจำเลยเป็นพนักงานตามความหมายของมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502.และการที่จำเลยได้ทำการชั่งอ้อยที่มีผู้นำมาส่งหรือขายให้แก่โรงงานนั้น. ได้ชื่อว่าจำเลยมีหน้าที่ทำ หรือจัดการทรัพย์ใดๆ ตามความหมายใน มาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัตินี้. การที่จำเลยถือโอกาสชั่งอ้อยจำนวนเดียวโดยโยกคันชั่ง 2 ครั้ง เป็นเหตุให้ได้สลิพการชั่งอ้อยเกินมา 1 ชุด. แล้วนำสลิพที่ได้เกินมานั้นไปใช้เป็นหลักฐาน ว่าเป็นการชั่งอ้อยของผู้มีชื่อในวันถัดมา. อันจะทำให้โรงงานต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้มีชื่อเกินกว่าที่จะต้องจ่าย. หากมีผู้พบปะทราบการกระทำนั้นเสียก่อนที่โรงงานจะจ่ายเงินถือว่าเป็นความผิด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 808/2472
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชั่งน้ำหนักพยาน: อายุ, สภาพจิตใจ, และความน่าเชื่อถือของคำให้การ
ลักษณพะยาน เด็กฟังได้เพียงใดผู้ใหญ่อายุ 64 ฟังได้เพียงใด เมื่อมีเหตุอื่นทำให้ความจำลดน้อยลงการชั่งน้ำหนักคำพะยาน