พบผลลัพธ์ทั้งหมด 13 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1401/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการงดสืบพยานเมื่อข้อเท็จจริงเพียงพอชี้ขาดคดีได้ และการใช้สิทธิเรียกร้องทางจำเป็นในที่ดิน
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 104 ศาลชั้นต้นมีอำนาจวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความจะนำสืบนั้นมีความจำเป็นต้องนำสืบหรือไม่ หากไม่จำเป็นศาลชั้นต้นก็มีอำนาจงดสืบพยานหลักฐานนั้นได้
ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริงจากโจทก์แล้วได้ความว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 29140 และ 29141 ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ เป็นที่ดินที่แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 22417 ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ ซึ่งมีอาณาเขตทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ติดทางสาธารณะคือทางหลวงเทศบาลถนนนารถวิถี โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าว ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ได้ความข้างต้นจึงเพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีได้แล้วว่า โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 29140 และ 29141 จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องเอาทางเดินออกสู่ทางสาธารณะได้เฉพาะที่ดินโฉนดเลขที่ 22417 ซึ่งเป็นที่ดินแปลงที่โจทก์แบ่งแยกมาเท่านั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องเอาทางพิพาทในที่ดินจำเลยซึ่งเป็นที่ดินแปลงอื่นเป็นทางผ่านไปสู่ทางสาธารณะหาได้ไม่ คดีจึงไม่จำต้องสืบพยานโจทก์ เพราะแม้จะให้โจทก์นำพยานเข้าสืบก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริงจากโจทก์แล้วได้ความว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 29140 และ 29141 ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ เป็นที่ดินที่แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 22417 ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ ซึ่งมีอาณาเขตทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ติดทางสาธารณะคือทางหลวงเทศบาลถนนนารถวิถี โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าว ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ได้ความข้างต้นจึงเพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีได้แล้วว่า โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 29140 และ 29141 จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องเอาทางเดินออกสู่ทางสาธารณะได้เฉพาะที่ดินโฉนดเลขที่ 22417 ซึ่งเป็นที่ดินแปลงที่โจทก์แบ่งแยกมาเท่านั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องเอาทางพิพาทในที่ดินจำเลยซึ่งเป็นที่ดินแปลงอื่นเป็นทางผ่านไปสู่ทางสาธารณะหาได้ไม่ คดีจึงไม่จำต้องสืบพยานโจทก์ เพราะแม้จะให้โจทก์นำพยานเข้าสืบก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1124/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำท้าชี้ขาดคดีต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่ตกลง หากเงื่อนไขไม่เป็นไปตามนั้น คำท้าเป็นอันตกไป ศาลต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
โจทก์และจำเลยแถลงต่อศาลชั้นต้นขอให้สั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ไปรังวัดทำแผนที่พิพาทหากพนักงานเจ้าหน้าที่ทำแผนที่พิพาทแล้วปรากฏว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่8049หรือนอกเขตที่ดินโฉนดเลขที่8033แล้วโจทก์ยอมแพ้แต่ถ้าหากที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่8033แล้วจำเลยยอมแพ้โดยคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยานหลักฐานต่อไปต่อมาเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ทำแผนที่พิพาทเสร็จแล้วไม่สามารถให้ความเห็นได้ว่าที่พิพาทจะอยู่ในเขตโฉนดที่ดินแปลงใดเนื่องจากไม่สามารถรังวัดปูโฉนดได้เพราะที่ดินตามโฉนดเดิมไม่มีระวางโยงยึดและหมุดหลักที่แน่นอนจึงยังถือไม่ได้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่มีความเห็นว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของฝ่ายใดศาลจึงยังไม่อาจวินิจฉัยชี้ขาดคดีให้เป็นไปตามคำท้าของโจทก์และจำเลยได้ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นตรวจดูแผนที่พิพาทและระวางแผนที่อีกครั้งหนึ่งแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วให้งดชี้สองสถานแล้วพิพากษาโดยนำตำแหน่งของที่พิพาทมาเปรียบเทียบกับระวางแผนที่แล้ววินิจฉัยว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่8033ให้จำเลยแพ้คดีตามคำท้าจึงเป็นการไม่ชอบเพราะไม่ตรงตามคำท้าของโจทก์และจำเลยที่ตกลงกันกรณีเช่นนี้ถือได้ว่าคำท้าของโจทก์จำเลยย่อมเป็นอันตกไปศาลชั้นต้นชอบที่จะดำเนินการชี้สองสถานหากจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงก็ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1580/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำท้าการรังวัดที่ดิน: ศาลไม่สามารถชี้ขาดตามคำท้าได้หากรังวัดไม่ได้ แต่ชอบที่จะสั่งรังวัดใหม่และห้ามขัดขวาง
คู่ความท้ากันขอให้ถือเอาผลการรังวัดที่ดินของเจ้าพนักงานที่ดิน แต่ไม่อาจรังวัดได้เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ยอมให้เข้าไปในที่ดินเพื่อรังวัด เมื่อคำท้ามิได้กำหนดให้จำเลยที่ 1 แพ้คดีในกรณีนี้ศาลจึงไม่อาจชี้ขาดตามคำท้าได้ แต่ศาลชอบที่จะสั่งให้ช่างรังวัดทำการรังวัดใหม่และห้ามจำเลยขัดขวางการรังวัดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 144/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาและการปฏิบัติตามขั้นตอนวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลต้องสั่งขาดนัดก่อนชี้ขาดคดี
กรณีจำเลยไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานจำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนและไม่มีเหตุผลให้ศาลเห็นเป็นอย่างอื่น ศาลจะต้องสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาเสียก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 202 แล้วจึงจะทำการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวได้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบตามข้ออ้างและข้อต่อสู้ ให้นัดสืบพยานโจทก์โดยไม่ชี้ลงไปว่าเป็นเรื่องขาดนัดพิจารณา จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ปัญหานี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยมีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ฎีกาได้แม้จะไม่ได้โต้แย้งการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นไว้ และศาลฎีกาย่อมให้มีการพิจารณาใหม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1268/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรังวัดสอบเขตที่ดินตามคำท้าของคู่ความ ศาลต้องดำเนินการให้ถูกต้องก่อนชี้ขาดคดี
คู่ความท้ากันให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตตามโฉนดที่ดินของแต่ละฝ่ายโดยให้ถือแผนที่หลังโฉนดเป็นหลักแล้วทำแผนที่พิพาทแสดงอาณาเขตให้ชัดเจนว่าอาคารในที่ดินของแต่ละฝ่ายมีการรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของอีกฝ่ายหรือไม่เพียงใดเช่นนี้ย่อมกระทำได้โดยชอบและอยู่ในวิสัยที่เจ้าพนักงานที่ดินจะปฏิบัติได้หากเจ้าพนักงานที่ดินยังทำมาไม่ถูกต้องครบถ้วนอย่างไรก็ชอบที่ศาลชั้นต้นจะสั่งให้ทำมาใหม่ให้ถูกต้องแล้วชี้ขาดตัดสินคดีไปตามนั้น ศาลชั้นต้นสืบพยานคู่ความแล้วจึงวินิจฉัยชี้ขาดคดีโดยไม่ปรากฏเหตุว่าการปฏิบัติตามคำท้าไม่อาจทำได้จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาให้เป็นไปตามคำท้าของคู่ความแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1632-1633/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประวิงคดีโดยจำเลย: ศาลมีอำนาจงดสืบพยานและชี้ขาดคดีได้
พฤติการณ์ที่ถือว่าจำเลยจงใจประวิงหน่วงเหนี่ยวให้คดีชักช้าโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร ซึ่งศาลมีอำนาจงดสืบพยานจำเลยและชี้ขาดคดีไป โดยไม่ต้องสืบพยานจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1632-1633/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประวิงคดีโดยจำเลย ศาลมีอำนาจงดสืบพยานและชี้ขาดคดีได้ หากมีเจตนาจงใจประวิงคดีโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
พฤติการณ์ที่ถือว่าจำเลยจงใจประวิงหน่วงเหนี่ยวให้คดีชักช้าโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร ซึ่งศาลมีอำนาจงดสืบพยานจำเลย และชี้ขาดคดีไป โดยไม่ต้องสืบพยานจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 726/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขาดนัดพิจารณา: ศาลต้องมีคำสั่งแสดงการขาดนัดก่อนชี้ขาดคดีตามมาตรา 202
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 197 วรรคสองเป็นบทบัญญัติถึงลักษณะของการที่จะถือว่าคู่ความขาดนัดพิจารณาส่วนมาตรา 202 เป็นบทบัญญัติที่กำหนดวิธีการปฏิบัติเมื่อจำเลยขาดนัดพิจารณา บทบัญญัติสองมาตรานี้ผิดแผกแตกต่างกัน
ในกรณีที่จำเลยไม่มาศาลในวันสืบพยานและมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาลเสียก่อนลงมือสืบพยานซึ่งถือว่าจำเลยขาดนัดพิจารณานั้น ศาลจำต้องมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาเสียก่อนแล้วจึงจะทำการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 202 และมาตราต่อๆ ไปได้ หากไม่มีคำสั่งดังกล่าวเสียก่อน ก็ไม่เป็นการพิจารณาฝ่ายเดียวตามกฎหมาย
ในกรณีที่จำเลยไม่มาศาลในวันสืบพยานและมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาลเสียก่อนลงมือสืบพยานซึ่งถือว่าจำเลยขาดนัดพิจารณานั้น ศาลจำต้องมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาเสียก่อนแล้วจึงจะทำการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 202 และมาตราต่อๆ ไปได้ หากไม่มีคำสั่งดังกล่าวเสียก่อน ก็ไม่เป็นการพิจารณาฝ่ายเดียวตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 726/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณา: ศาลต้องมีคำสั่งแสดงการขาดนัดก่อนชี้ขาดคดี
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 197 วรรคสองเป็นบทบัญญัติถึงลักษณะของการที่จะถือว่าคู่ความขาดนัดพิจารณา. ส่วนมาตรา 202 เป็นบทบัญญัติที่กำหนดวิธีการปฏิบัติเมื่อจำเลยขาดนัดพิจารณา บทบัญญัติสองมาตรานี้ผิดแผกแตกต่างกัน.
ในกรณีที่จำเลยไม่มาศาลในวันสืบพยานและมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาลเสียก่อนลงมือสืบพยาน. ซึ่งถือว่าจำเลยขาดนัดพิจารณานั้น ศาลจำต้องมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาเสียก่อน. แล้วจึงจะทำการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 202 และมาตราต่อๆ ไปได้. หากไม่มีคำสั่งดังกล่าวเสียก่อน. ก็ไม่เป็นการพิจารณาฝ่ายเดียวตามกฎหมาย.
ในกรณีที่จำเลยไม่มาศาลในวันสืบพยานและมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาลเสียก่อนลงมือสืบพยาน. ซึ่งถือว่าจำเลยขาดนัดพิจารณานั้น ศาลจำต้องมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาเสียก่อน. แล้วจึงจะทำการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 202 และมาตราต่อๆ ไปได้. หากไม่มีคำสั่งดังกล่าวเสียก่อน. ก็ไม่เป็นการพิจารณาฝ่ายเดียวตามกฎหมาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 857/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงที่รับกันต่อหน้าศาลมีผลผูกพัน ไม่ต้องสืบพยานเพิ่มเติม หากข้อเท็จจริงเพียงพอชี้ขาดคดี
ข้อเท็จจริงใดซึ่งคู่ความรับกันและศาลจดไว้แล้ว คู่ความไม่ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้นอีก
เมื่อข้อเท็จจริงที่รับกันเพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดีแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจงดสืบพยาน และพิพากษาคดีไปโดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานอื่นใดอีก
คู่ความท้ากันสืบพยานเพียงประเด็นข้อเดียว ส่วนประเด็นข้ออื่นไม่ติดใจว่ากล่าวย่อมถือว่าสละข้อต่อสู้อื่น และไม่มีประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะต้องวินิจฉัยนอกเหนือไปจากที่ท้ากัน
เมื่อข้อเท็จจริงที่รับกันเพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดคดีแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจงดสืบพยาน และพิพากษาคดีไปโดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานอื่นใดอีก
คู่ความท้ากันสืบพยานเพียงประเด็นข้อเดียว ส่วนประเด็นข้ออื่นไม่ติดใจว่ากล่าวย่อมถือว่าสละข้อต่อสู้อื่น และไม่มีประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะต้องวินิจฉัยนอกเหนือไปจากที่ท้ากัน