พบผลลัพธ์ทั้งหมด 28 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 223/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา: การประเมินเจตนาจากพฤติการณ์ชุลมุนและการกระทำหลังเกิดเหตุ
ก่อนเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตายพักอาศัยอยู่ร่วมกันและไม่มีเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนจึงไม่มีเหตุผลที่จำเลยจะต้องฆ่าผู้ตายทั้งขณะเกิดเหตุเป็นช่วงชุลมุน จำเลยคว้ามีดทำครัวซึ่งอยู่ใกล้มือแทงไปทันทีเพียงครั้งเดียวโดยไม่มีโอกาสจะเลือกแทงว่าเป็นส่วนไหนของร่างกาย บังเอิญไปถูกอวัยวะสำคัญของร่างกายจึงทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และจำเลยก็มิได้แทงผู้ตายซ้ำอีก ทั้งที่มีโอกาสจะทำได้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตายเพียงแต่มีเจตนาทำร้ายเท่านั้น เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยจึงต้องมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 290 เมื่อข้อเท็จจริงพิจารณาได้ความว่าจำเลยทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายโดยไม่มีเจตนาฆ่า ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192วรรคสุดท้าย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 290 เมื่อข้อเท็จจริงพิจารณาได้ความว่าจำเลยทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายโดยไม่มีเจตนาฆ่า ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192วรรคสุดท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7945/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงข้อกล่าวหาจากทำร้ายร่างกายสาหัสเป็นความผิดฐานประทุษร้ายต่อร่างกายจากเหตุชุลมุน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 แต่ทางพิจารณาได้ความว่าผู้เสียหายถูกทำร้ายเนื่องจากมีการชุลมุนต่อสู้กันระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป ถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฎในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญ ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 299 ไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3614/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อสู้ทำร้ายซึ่งกันและกันและการใช้เจตนาทำร้าย vs. เจตนาฆ่า
ว.พ.ป.ส.ค และ ช. กับพวกนั่งคุยและผิงไฟจับกลุ่มกันอยู่ที่ถนนหน้าบ้าน จำเลยขับรถอีแต๋นจะกลับบ้านและรถได้ตกลงไปในคลองข้างบ้าน พ.จำเลยไปขอให้บุคคลเหล่านั้นไปช่วยยกรถ บุคคลเหล่านั้นไม่ยอมไปช่วย จำเลยต่อว่าว่า ไม่มีน้ำใจ แล้วกลับไปเอามีดเหลียนมาไล่ฟัน พ. พวกของ พ.ก็เข้าไปช่วยเหลือ พ. แล้วเกิดต่อสู้ทำร้ายซึ่งกันและกันโดยจำเลยใช้มีดเหลียนฟัน ป.ส่วนพวกของ พ. ใช้จอบฟันและใช้ไม้ตีจำเลย ดังนี้ การที่จำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุโดยไปเอามีดเหลียนและใช้มีดเหลียนไล่ฟัน พ.ก่อน จำเลยจะอ้างเหตุป้องกันตัวหาได้ไม่ แต่พฤติการณ์แห่งคดีน่าเชื่อว่าจำเลยใช้มีดเหลียนฟัน ป.ในขณะชุลมุนต่อสู้ทำร้ายซึ่งกันและกัน ซึ่งจำเลยไม่มีโอกาสที่จะเลือกฟันได้และฟันไปเพียงครั้งเดียวจึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า ป. คงมีเจตนาเพียงทำร้ายเท่านั้น บาดแผลของ ป.ต้องใช้เวลารักษาประมาณ 30 วัน ทำให้ ป.ทำงานตามปกติไม่ได้เป็นเวลา1 เดือนเศษ จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 297 (8) คดีนี้แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้อื่น แต่ความผิดดังกล่าวรวมการกระทำโดยเจตนาทำร้ายด้วยซึ่งเป็นความผิดอยู่ในตัว เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยมีความผิดฐานทำร้ายผู้อี่นได้รับอันตราสาหัส ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในฐานความผิดตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5647/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนโดยชอบธรรม: ชุลมุนแย่งมีดและแทงตอบโต้เพื่อหยุดยั้งการทำร้าย
จำเลยอายุ 17 ปี ต้อนฝูงโคไปตามทาง ผู้ตายอายุ 43 ปีรูปร่างใหญ่กว่าจำเลย ขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านไปไม่ได้เพราะฝูงโคเดินเกะกะ จึงด่าและหาว่าจำเลยกลั่นแกล้ง ผู้ตายจอดรถจักรยานยนต์แล้วเข้ามาตบหน้าจำเลย 4 ที จำเลยถอยหนี ผู้ตายเข้ามาจะตบซ้ำ จำเลยจึงชักมีดปลายแหลมออกมาและพูดห้ามอย่าเข้ามาแต่ผู้ตายยังเข้ามาเตะจำเลยที่ลำตัว 2 ที กับเข้าแย่งมีดได้แล้วแทงจำเลยที่บริเวณหน้าอกซ้าย 1 ที ถือเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย จำเลยแย่งมีดจากผู้ตายคืนมาแล้วแทงผู้ตายหลายที แต่มิได้เลือกว่ามีดจะถูกบริเวณใดของร่างกายและแทงไปเพื่อหยุดยั้งการทำร้ายของผู้ตาย เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1652/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวและการใช้สิทธิป้องกันตัวเมื่อถูกทำร้ายก่อน
ผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุวิวาทและทำร้ายร่างกายจำเลยก่อนโดย จำเลยไม่ได้สมัครใจวิวาทด้วย การที่จำเลยแทงผู้ตายเนื่องจากถูก ผู้ตายใช้ ขวดเปล่าขว้างถูก หน้าผากจำเลยและใช้ ไม้ไผ่ตัน ตีทำร้ายร่างกายจำเลยก่อน จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะแทงผู้ตายเพื่อป้องกันตัวได้ และที่ผู้ตายถูก จำเลยใช้ มีดแทงถึง 3 แห่งที่หน้าอกซ้าย หน้าอกขวาและต้น ขาซ้าย นั้น เกิดจากการชุลมุนกอดรัดกันขณะจำเลยถูกทำร้ายล้มลงแล้ว จำเลยไม่มีโอกาสเลือกแทงผู้ตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4804/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันทำร้ายจนถึงแก่ความตาย: ความรับผิดฐานร่วมกันฆ่าโดยเจตนา แม้ไม่ได้ลงมือแทง
กรณีชุลมุน ต่อสู้กันระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป และมีบุคคลถึงตาย ตาม ป.อ. มาตรา 294 หมายถึงกรณีที่ไม่ทราบว่าผู้ใดหรือผู้ใดร่วมกับใครได้ทำร้ายผู้ตายถึงตาย มิใช่กรณีที่ฝ่ายหนึ่งกลุ้มรุมกันทำร้ายผู้ตายถึงตาย ซึ่งฝ่ายนั้นต้องรับผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายโดยเจตนา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2358/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าร่วม การทำร้ายร่างกายชุลมุน และขอบเขตความรับผิดชอบของตัวการ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 รุม ชก ต่อยผู้ตายในขณะเกิดเหตุชุลมุนระหว่างพวกจำเลยที่ 1 กับพวกผู้ตาย แล้วจำเลยที่ 1 หยิบมีดที่ตก อยู่ บนพื้นแทงผู้ตายถึงแก่ความตาย โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่อาจคาดคะเนได้ล่วงหน้าว่าจำเลยที่ 1 จะใช้มีดแทงผู้ตาย ทั้งไม่อาจเล็งเห็นได้ว่าผู้ตายจะถูกทำร้ายจนถึงแก่ความตาย และการที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ขัดขวางห้ามปรามจำเลยที่ 1 ก็มิใช่เป็นข้อบ่งชี้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีเจตนาฆ่าผู้ตาย ดังนี้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการฆ่าผู้ตายคงรับผิดเฉพาะ เป็นตัวการทำร้ายผู้ตายตามมาตรา 290 เท่านั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2216/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจากการชุลมุนช่วยเหลือญาติ ศาลตัดสินว่าไม่มีเจตนาฆ่า เป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกาย
ญาติของจำเลยทะเลาะและเข้าชุลมุนกอดปล้ำกับผู้เสียหายทั้งสอง จำเลยซึ่งกำลังทำครัวอยู่เห็นเหตุการณ์ จึงได้เข้าช่วยญาติของตน ด้วยการใช้มีดทำครัวฟันผู้เสียหายทั้งสอง ผู้เสียหายคนหนึ่งมีบาดแผลถูกฟันที่ศีรษะ 2 แผลกว้าง 0.5 เซนติเมตร ยาว 3 เซนติเมตร ลึกถึงกะโหลกศีรษะ กับมีบาดแผลอื่นที่ศีรษะซึ่งมิได้เกิดจากถูกจำเลยฟันอีก 2 แผล บาดแผลทั้งหมดแพทย์ลงความเห็นว่ารักษาหายภายใน 15 วัน ส่วนผู้เสียหายอีกคนหนึ่งมีบาดแผลทั้งหมด 8 แผล แต่บาดแผลที่เกิดจากถูกจำเลยฟันมี 2 แผล แผลหนึ่งกว้าง 1 เซนติเมตร ยาว 5 เซนติเมตรลึกแค่ผิวหนัง อีกแผลหนึ่งที่กลางใบหูซ้ายขาดลึกถึงกระดูกอ่อนที่ใบหูยาวตลอดลำคอด้านซ้าย กว้าง 2 เซนติเมตร ยาว 15 เซนติเมตร ลึกถึงกล้ามเนื้อแพทย์มิได้เบิกความว่าบาดแผลนี้จะทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย บาดแผลดังกล่าวไม่เป็นบาดแผลที่ทำให้เกิดอันตรายแก่กายสาหัส ไม่มีรายงานการชันสูตรไว้โดยเฉพาะว่ารักษาหายภายในกี่วัน จึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งสองจำเลยคงมีความผิดฐานทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 91 เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2216/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจากเหตุชุลมุน: ศาลฎีกาตัดสินว่าการกระทำเป็นเพียงทำร้ายร่างกาย ไม่ถึงขั้นฆ่า
ญาติของจำเลยทะเลาะและเข้าชุลมุนกอดปล้ำกับผู้เสียหายทั้งสอง จำเลยซึ่งกำลังทำครัวอยู่เห็นเหตุการณ์ จึงได้เข้าช่วยญาติของตน ด้วยการใช้มีดทำครัวฟันผู้เสียหายทั้งสองผู้เสียหายคนหนึ่งมีบาดแผลถูกฟันที่ศีรษะ 2 แผลกว้าง0.5 เซนติเมตร ยาว 3 เซนติเมตร ลึกถึงกะโหลกศีรษะ กับมีบาดแผลอื่นที่ศีรษะซึ่งมิได้เกิดจากถูกจำเลยฟันอีก 2 แผล บาดแผลทั้งหมดแพทย์ลงความเห็นว่ารักษาหายภายใน 15 วัน ส่วนผู้เสียหายอีกคนหนึ่งมีบาดแผลทั้งหมด 8 แผล แต่บาดแผลที่เกิดจากถูกจำเลยฟันมี 2 แผล แผลหนึ่งกว้าง 1 เซนติเมตร ยาว 5 เซนติเมตรลึกแค่ผิวหนัง อีกแผลหนึ่งที่กลางใบหูซ้ายขาดลึกถึงกระดูกอ่อนที่ใบหูยาวตลอดลำคอด้านซ้าย กว้าง 2 เซนติเมตรยาว 15 เซนติเมตร ลึกถึงกล้ามเนื้อแพทย์มิได้เบิกความว่าบาดแผลนี้จะทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย บาดแผลดังกล่าวไม่เป็นบาดแผลที่ทำให้เกิดอันตรายแก่กายสาหัส ไม่มีรายงานการชันสูตรไว้โดยเฉพาะว่ารักษาหายภายในกี่วัน จึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งสองจำเลยคงมีความผิดฐานทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295,91 เท่านั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2802/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธจนเป็นอันตรายสาหัส ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม ไม่รับฟังเหตุบันดาลโทสะและข้อต่อสู้เรื่องการชุลมุน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย และในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222
เหตุเกิดขึ้นเพราะฝ่ายโจทก์ร่วมกับจำเลยทะเลาะวิวาทด่าว่าแล้วท้าทายกัน กรณีจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมการที่จำเลยทำร้ายโจทก์ร่วม จึงไม่ใช่ลักษณะที่ทำไปเพราะบันดาลโทสะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
โจทก์ร่วมถูกฟันด้วยมีด มีบาดแผลฉีกขาด ขอบเรียบที่ต้นแขนปลายแขน ส่วนบนและบริเวณข้อมือขวารวม 3 แห่งขนาดบาดแผลยาว 5 เซนติเมตร กว้าง 1 เซนติเมตร ลึกผ่านชั้นกล้ามเนื้อแขนและตัดผ่านประสาทที่ไปเลี้ยงแขนต้องรักษาตัว 2 เดือนเศษจึงหายเป็นปกติแต่ทำงานหนักไม่ได้ ลักษณะบาดเจ็บของโจทก์ร่วมดังกล่าวถึงอันตรายสาหัสต้องตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 (8) แล้ว
โจทก์ร่วมวิ่งตามนาง พ. ไปเห็นจำเลยตบหน้านาง พ. แล้วเงื้อมีดดาบจะฟัน โจทก์ร่วมจึงผลักนาง พ. ให้พ้นทางไป ขณะนั้นเองจำเลยก็ฟันถูกโจทก์ร่วมถึง 3 ครั้งลักษณะการทำร้ายของจำเลยดังกล่าวมิใช่เนื่องในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299
เหตุเกิดขึ้นเพราะฝ่ายโจทก์ร่วมกับจำเลยทะเลาะวิวาทด่าว่าแล้วท้าทายกัน กรณีจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมการที่จำเลยทำร้ายโจทก์ร่วม จึงไม่ใช่ลักษณะที่ทำไปเพราะบันดาลโทสะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
โจทก์ร่วมถูกฟันด้วยมีด มีบาดแผลฉีกขาด ขอบเรียบที่ต้นแขนปลายแขน ส่วนบนและบริเวณข้อมือขวารวม 3 แห่งขนาดบาดแผลยาว 5 เซนติเมตร กว้าง 1 เซนติเมตร ลึกผ่านชั้นกล้ามเนื้อแขนและตัดผ่านประสาทที่ไปเลี้ยงแขนต้องรักษาตัว 2 เดือนเศษจึงหายเป็นปกติแต่ทำงานหนักไม่ได้ ลักษณะบาดเจ็บของโจทก์ร่วมดังกล่าวถึงอันตรายสาหัสต้องตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 (8) แล้ว
โจทก์ร่วมวิ่งตามนาง พ. ไปเห็นจำเลยตบหน้านาง พ. แล้วเงื้อมีดดาบจะฟัน โจทก์ร่วมจึงผลักนาง พ. ให้พ้นทางไป ขณะนั้นเองจำเลยก็ฟันถูกโจทก์ร่วมถึง 3 ครั้งลักษณะการทำร้ายของจำเลยดังกล่าวมิใช่เนื่องในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299