คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ชู้

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 39 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3861/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายโดยบันดาลโทสะ ไม่ถือเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้พบเห็นชู้ขณะนอนหลับ
แม้จำเลยเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ ต. มีสิทธิป้องกันมิให้หญิงอื่นมามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามีของตน แต่ขณะจำเลยพบโจทก์ร่วมนั้น โจทก์ร่วมกำลังนอนหลับอยู่กับ ต. เท่านั้น มิได้กำลังร่วมประเวณีกัน พฤติการณ์เช่นนี้ยังถือไม่ได้ว่ามีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง อันจำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของจำเลยแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่การที่โจทก์ร่วมเข้าไปนอนหลับอยู่กับ ต. สามีโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่เตียงนอนในฟาร์มเลี้ยงไก่ของ ต. เช่นนี้นับได้ว่าเป็นการกระทำที่ข่มเหงจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม เมื่อจำเลยพบเห็นโดยบังเอิญมิได้คาดคิดมาก่อนและไม่สามารถอดกลั้นโทสะไว้ได้ ใช้มีดฟันศีรษะโจทก์ร่วมไปในทันทีทันใด การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ตาม ป.อ. มาตรา 72 หาใช่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายดังที่จำเลยฎีกาไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3596/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหย่า, ค่าทดแทน, ค่าอุปการะเลี้ยงดู กรณีมีชู้, ความผิดทางแพ่งต่อเนื่อง, อายุความ
โจทก์จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 2 และอยู่กินด้วยกันอย่างเปิดเผยโดยยังมิได้หย่าขาดกับโจทก์ โจทก์จึงฟ้องหย่าเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจากจำเลยที่ 1 และเรียกค่าทดแทนจากจำเลยทั้งสอง แม้โจทก์ทราบว่าจำเลยทั้งสองจดทะเบียนสมรสและอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาตั้งแต่ปี 2536 แต่จำเลยทั้งสองก็อยู่กินร่วมกันตลอดมาจนถึงวันฟ้อง ลักษณะการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการละเมิดต่อโจทก์ต่อเนื่องกันมายังมิได้หยุดการกระทำ อายุความจึงยังไม่เริ่มนับ
จำเลยที่ 1 อุปการะเลี้ยงดูและยกย่องจำเลยที่ 2 ฉันสามีภริยาอันเป็นเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(1) และศาลพิพากษาให้โจทก์และจำเลยที่ 1 หย่ากันด้วยเหตุดังกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลยทั้งสองได้ตามมาตรา 1523 วรรคแรก
สิทธิของบุตรผู้เยาว์ที่จะได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูจากบิดามารดาเป็นสิทธิของบุตรแต่ละคนจะพึงได้รับตามความสามารถของผู้มีหน้าที่ให้ ฐานะของผู้รับและพฤติการณ์แห่งคดี การที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่บุตรทั้งสองรวมกันจึงไม่ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6558/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าทดแทนจากการแสดงตนเป็นชู้: พิจารณาจากความเสียหาย สถานะคู่สมรส และพฤติการณ์แห่งคดี
การที่จำเลยกับป. สามีโจทก์ พักอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันในท้องที่ย่านชุมนุมชน โดยเปิดเผย และมีความสัมพันธ์ฉันสามีภริยาจนมีบุตรด้วยกัน โดยบุตรก็ใช้นามสกุล ของ ป. ด้วยนั้น เป็นพฤติการณ์ที่แสดงโดยเปิดเผยว่าจำเลยมีความสัมพันธ์กับ ป.ในทำนองชู้สาวแล้วโดยไม่จำเป็นต้องออกงานสังคมร่วมกับ ป. แต่อย่างใด ตามปกติภริยาย่อมต้องรักใคร่หวงแหนมิให้สามีไปมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับ หญิงอื่นเว้นแต่จะมีเหตุผลพิเศษอย่างยิ่ง โจทก์มีความรักและหวงแหน ป. ผู้เป็นสามีถึงกับต้อง ย้ายจากจังหวัดนครศรีธรรมราชติดตามมาอยู่กับ ป. ที่จังหวัดจันทบุรีและยังไปร้องเรียน ต่อผู้บังคับบัญชา ป.ให้ว่ากล่าวตักเตือน ป.ให้ยุติความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับจำเลยด้วย ไม่ปรากฏว่ามีเหตุผลหรือพฤติการณ์พิเศษอย่างใดที่โจทก์มีความจำเป็นต้องยินยอมให้จำเลยมาเป็นภริยาของ ป. อีกคนหนึ่ง เมื่อจำเลยแสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์กับ ป. ในทำนองชู้สาวโดยโจทก์มิได้ยินยอมเช่นนี้ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสอง ค่าทดแทนที่ภริยาเรียกจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมี ความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาวนั้น พิจารณาจากความเสียหายที่ภริยาพึงได้รับ พฤติการณ์แห่งคดีและสถานะของคู่สมรสเป็นหลัก โจทก์สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย มหิดลประกอบอาชีพรับราชการนับว่าเป็นผู้มีเกียรติฐานะในวงสังคม โจทก์กับ ป.สมรส กันมานานถึง 10 ปี มีบุตรด้วยกัน 1 คน สถานะของครอบครัวมีความมั่นคงสมบูรณ์ การกำหนดให้จำเลยใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์จำนวน 100,000 บาท นับว่าเหมาะสมแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5258/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บันดาลโทสะจากการกระทำชู้และการยั่วยุทางจิตใจ: การกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นและพกพาอาวุธปืน
ผู้เสียหายพาภริยาจำเลยไปดื่มสุรากันสองต่อสองที่บ้านของผู้เสียหายในเวลาประมาณ 21 ถึง 23 นาฬิกา ระหว่างดื่มสุรามีการโอบกอดกัน การกระทำของผู้เสียหายจึงเป็นการล่วงเกินภริยาจำเลยในทำนองชู้สาวและผู้เสียหายทราบมาก่อนเกิดเหตุแล้วว่า อ.เป็นภริยาของจำเลย อีกทั้งจำเลยเองก็ทราบการกระทำของผู้เสียหายกับภริยาตนว่ารักใคร่ชอบพอกันมาก่อนเกิดเหตุแล้ว จึงได้ติดตามคอยดูพฤติการณ์ของบุคคลทั้งสองอยู่เสมอ คืนเกิดเหตุจำเลยพบเห็นผู้เสียหายกับภริยาตนอยู่กันตามลำพังมีการดื่มสุราโอบกอดกันด้วยเช่นนี้ การที่จำเลยถามผู้เสียหายว่าเป็นชู้กับภริยาตนหรือไม่และทำไมต้องมาพบกันอีก ก็เนื่องมาจากเกิดอารมณ์หึงหวงในฐานะที่เป็นสามีชอบที่จะถามเอาความจริงจากผู้เสียหายได้ แต่ผู้เสียหายกลับหาว่าภริยาจำเลยมาหาผู้เสียหายเอง เป็นเหตุให้จำเลยตบตีภริยาและผู้เสียหายได้ยั่วยุอารมณ์จำเลยด้วยการด่าว่าเป็นสัตว์หน้าตัวเมียรังแกผู้หญิงย่อมเหลือวิสัยที่จำเลยผู้เป็นสามีจะอดกลั้นโทสะไว้ได้กรณีหาใช่เป็นการโต้เถียงกันไม่ พฤติการณ์ดังกล่าวมานับได้ว่าผู้เสียหายได้กระทำการอันเป็นการกระทำที่ถูกข่มเหงในทางจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยบันดาลโทสะขึ้นในขณะนั้นและได้ใช้ปืนยิงผู้เสียหายการกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ตาม ป.อ.มาตรา 72
การที่จำเลยพาอาวุธปืนของกลางซึ่งเป็นอาวุธปืนที่จำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองติดตัวไปสืบหาภริยาที่ไปกับผู้เสียหายในทางชู้สาวโดยยังไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้เสียหายและภริยาอยู่ ณ ที่ใด และผู้เสียหายจะล่วงเกินภริยาในทางชู้สาวจริงหรือไม่ พฤติการณ์เช่นนี้จึงยังไม่มีเหตุสมควรที่จะนำอาวุธปืนของกลางติดตัวไป จำเลยจึงมีความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองหมู่บ้าน และทางสาธารณะตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5258/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำโดยบันดาลโทสะและการพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตหลังจากการถูกยั่วยุ
ผู้เสียหายพาภริยาจำเลยไปดื่มสุรากันสองต่อสองที่บ้านของผู้เสียหายในเวลาประมาณ 21 ถึง 23 นาฬิการะหว่างดื่มสุรามีการโอบกอดกัน การกระทำของผู้เสียหายจึงเป็นการล่วงเกินภริยาจำเลยในทำนองชู้สาวและผู้เสียหายทราบมาก่อนเกิดเหตุแล้วว่าอ. เป็นภริยาของจำเลย อีกทั้งจำเลยเองก็ทราบการกระทำของผู้เสียหายกับภริยาตนว่ารักใคร่ชอบพอกันมาก่อนเกิดเหตุแล้ว จึงไม่ติดตามคอยดูพฤติการณ์ของบุคคลทั้งสองอยู่เสมอ คืนเกิดเหตุจำเลยพบเห็นผู้เสียหายกับภริยาตนอยู่กันตามลำพังมีการดื่มสุราโอบกอดกันด้วยเช่นนี้ การที่จำเลยถามผู้เสียหายว่าเป็นชู้ กับภริยาตนหรือไม่และทำไมต้องมาพบกันอีก ก็เนื่องมาจากเกิดอารมณ์หึงหวงในฐานะที่เป็นสามีชอบที่จะถามเอาความจริงจากผู้เสียหายได้ แต่ผู้เสียหายกลับหาว่าภริยาจำเลยมาหาผู้เสียหายเอง เป็นเหตุให้จำเลยตบตีภริยาและผู้เสียหายได้ยั่วยุอารมณ์จำเลยด้วยการด่าว่าเป็นสัตว์หน้าตัวเมียรังแกผู้หญิงย่อมเหลือวิสัยที่จำเลยผู้เป็นสามีจะอดกลั้นโทสะไว้ได้ กรณีหาใช่เป็นการโต้เถียงกันไม่พฤติการณ์ดังกล่าวมานับได้ว่าผู้เสียหายได้กระทำการอันเป็นการกระทำที่ถูกข่มเหงในทางจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยบันดาล โทสะขึ้นในขณะนั้นและได้ใช้ปืนยิงผู้เสียหายการกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 72 การที่จำเลยพาอาวุธปืนของกลางซึ่งเป็นอาวุธปืนที่จำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองติดตัวไปสืบหาภริยาที่ไปกับผู้เสียหายในทางชู้สาวโดยยังไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้เสียหายและภริยาอยู่ ณ ที่ใด และผู้เสียหายจะล่วงเกินภริยาในทางชู้สาวจริงหรือไม่พฤติการณ์เช่นนี้จึงยังไม่มีเหตุสมควรที่จะนำอาวุธปืนของกลางติดตัวไป จำเลยจึงมีความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองหมู่บ้าน และทางสาธารณะตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7061/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุฟ้องหย่า: พฤติกรรมจำเลยไม่ถึงขั้นเป็นเหตุให้หย่าได้ แม้มีพฤติกรรมดื่มสุรา ตกปลา และอ้างว่ามีชู้
โจทก์ทราบดีก่อนสมรสกับจำเลยว่า จำเลยชอบดื่มสุราและไปตกปลา แต่จำเลยดื่มสุราแล้วไม่เคยก่อความเสียหาย ส่วนการไปตกปลาและนอนค้างที่บ่อปลาจำเลยก็มิได้ไปค้างทุกวัน จำเลยอยู่บ้านสัปดาห์ละ 2 - 3 วัน แม้โจทก์ย้ายไปอยู่กับบิดามารดาแล้ว จำเลยยังไปหาโจทก์และช่วยออกเงินต่อเติมห้องเพื่อใช้หลับนอนและไปเยี่ยมเยียนร่วมหลับนอนกับโจทก์ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยร่วมประเวณีกับหญิงอื่นทำให้โจทก์เดือดร้อนเกินควรเพราะเกรงว่าจำเลยจะนำโรคร้ายมาแพร่แก่โจทก์ ก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์เคยได้รับโรคร้ายจากจำเลย ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยประพฤติชั่วอันเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6288/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหย่าจากความผิดสามีมีชู้ และสิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพหลังหย่า
จำเลยที่ 1 อุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องจำเลยที่ 2 ฉันภริยาและมีความสัมพันธ์กันในทำนองชู้สาว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยที่ 1 ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(1)เมื่อเหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของจำเลยที่ 1 แต่ฝ่ายเดียวและการหย่านั้นจะทำให้โจทก์ยากจนลง โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงชีพได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1526นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด เพราะการหย่าโดยคำพิพากษามีผลแต่เวลาที่คำพิพากษาคดีถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1531 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 454/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการเป็นชู้ สิทธิฟ้องไม่ระงับ และพยานหลักฐานรับฟังได้ว่ามีการกระทำชู้
คำฟ้องบรรยายว่า จำเลยที่ 2 เป็นชู้สาวกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาโจทก์ การเป็นชู้ย่อมเป็นการล่วงสิทธิของโจทก์ นับเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์อยู่ในตัวทำให้โจทก์เสียหายแก่ชื่อเสียงเกียรติคุณ และขอให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทดแทน นับได้ว่าเป็นการแจ้งชัดทั้งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์นำสืบว่าโจทก์เดินทางไปต่างประเทศครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2526 และโจทก์ได้ทราบเรื่องจำเลยเป็นชู้เมื่อต้นเดือนเมษายน 2527 ซึ่งจำเลยมิได้สืบหักล้างให้เห็นว่าโจทก์ทราบเรื่องตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2526 จึงรับฟังได้ว่าโจทก์ทราบเรื่องเมื่อเดือนเมษายน 2527 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2527 ยังไม่พ้นกำหนด 1 ปี สิทธิฟ้องของโจทก์ย่อมไม่ระงับไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1529 วรรคหนึ่ง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2824/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บันดาลโทสะจากการเข้าใจผิดเรื่องชู้: ศาลฎีกายืนโทษจำเลย
ผู้เสียหายกับภริยาจำเลยเคยลักลอบได้เสียกันในทุ่งนามาแล้ว 2 ครั้ง ผู้ใหญ่บ้านได้เรียกผู้เสียหายมาว่ากล่าวตักเตือนหลายครั้งผู้เสียหายก็รับปากว่าจะเลิกคบชู้กับภริยาจำเลย หากไม่เลิกยอมให้จำเลยยิงในวันเกิดเหตุจำเลยเห็นผู้เสียหายอยู่ตามลำพังกับภริยาจำเลยในป่าละเมาะจำเลยเข้าใจว่าผู้เสียหายกับภริยาจำเลยลักลอบเป็นชู้กันอีก จำเลยจึงเกิดโทสะใช้ปืนยิงผู้เสียหายดังนี้ เป็นการที่จำเลยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงว่าผู้เสียหายลักลอบเป็นชู้กับภริยาจำเลยอีก อันเป็นการข่มเหงจำเลยด้วยเหตุร้ายแรงอันไม่เป็นธรรม การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ประกอบด้วยมาตรา 62 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 320/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกค่าทดแทนจากการเป็นชู้: สามีมีอำนาจฟ้องแม้ยังมิได้หย่า และภาระการพิสูจน์อยู่ที่จำเลย
การล่วงเกินในทำนองชู้สาวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสองมีความหมายรวมถึงการทำชู้ด้วย สิทธิเรียกค่าทดแทนนี้มิได้มีเงื่อนไขว่าสามีจะต้องฟ้องหย่าภริยาเสียก่อนจึงจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากผู้ล่วงเกินภริยาในทำนองชู้สาวได้ และค่าทดแทนในกรณีนี้เป็นค่าเสียหายอย่างหนึ่งที่ชายชู้ต้องรับผิด ศาลมีอำนาจกำหนดให้ตามฐานานุรูปแห่งผู้ต้องได้รับความเสียหาย ซึ่งรวมถึงความเสียหายแก่ชื่อเสียงและเกียรติคุณของโจทก์ด้วย
โจทก์ฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยอ้างว่าจำเลยเป็นชู้กับ น.ผู้ตายซึ่งเป็นภริยาโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ข้อหนึ่งว่าหาก น. เป็นภริยาโจทก์โจทก์ก็รู้เห็นเป็นใจให้ภริยามีชู้ ดังนี้ประเด็นที่ว่าโจทก์รู้เห็นเป็นใจให้จำเลยเป็นชู้กับผู้ตายนั้น ภาระการพิสูจน์ตกแก่จำเลย
of 4