พบผลลัพธ์ทั้งหมด 28 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 793/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประมาททางถนน: ผู้ขับชนท้ายต้องรับผิดชอบหากไม่ใช้ความระมัดระวังแม้ผู้ถูกชนกลับช่องทางไม่ปลอดภัย
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน ขณะที่คนขับรถยนต์คันที่บริษัทโจทก์รับประกันภัยไว้ขับรถแซงรถคันหน้าขึ้นไปแล้วกลับเข้ามาในช่องเดินรถเดิม จำเลยซึ่งขับรถอยู่ห่างจากรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ทางด้านหลัง ย่อมมองเห็นตลอดเวลาและควรใช้ความระมัดระวังชะลอความเร็วของรถลงเนื่องจากเป็นเวลาหลังฝนตกถนนลื่น เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ การที่รถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้แล่นกลับเข้ามาในช่องเดินรถเดิมและอยู่ห่างรถยนต์ที่จำเลยขับประมาณ2 เมตร แต่จำเลยไม่สามารถห้ามล้อหยุดรถได้ทัน เป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยขับชนท้ายรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ แสดงว่าจำเลยไม่ได้ใช้ความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ จำเลยจึงเป็นฝ่ายประมาทยิ่งกว่าคนขับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายสองในสามส่วนให้แก่โจทก์ที่รับช่วงสิทธิมาจากผู้เอาประกันภัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8639/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมในที่ดินจัดสรร: เจตนาผู้จัดสรรสร้างถนนสาธารณูปโภคเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินแปลงใน
ที่ดินของโจทก์และจำเลยเป็นที่ดินในหมู่บ้านจัดสรรอยู่ติดกันและเป็นที่ดินแปลงที่อยู่ด้านหลังทั้งคู่ โดยมีแนวเขตที่ดินด้านหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้างแปลงละ 3 เมตร ยาวตลอดแนวเขตที่ดินของแปลงที่อยู่ด้านหน้าซึ่งผู้จัดสรรได้ทำเป็นถนนคอนกรีตกว้าง 6 เมตร เชื่อมกับถนนสาธารณะของหมู่บ้าน ย่อมแสดงให้เห็นเจตนาของผู้จัดสรรว่า เพื่อต้องการให้เจ้าของที่ดินแปลงในมีทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะได้โดยสะดวก แม้ถนนคอนกรีตนี้จะไม่ปรากฏอยู่ในแผนผังการจัดสรรที่ดินและเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดินแปลงในที่อยู่ด้านหลังก็ตาม แต่เมื่อผู้จัดสรรที่ดินได้ทำถนนคอนกรีตดังกล่าวมาก่อนที่โจทก์และจำเลยจะมาซื้อที่ดินและบ้านในหมู่บ้านย่อมถือได้ว่าถนนคอนกรีตนี้เป็นสาธารณูปโภคที่ผู้จัดสรรที่ดินได้จัดให้มีขึ้นเพื่อการจัดสรรที่ดิน ถนนคอนกรีตดังกล่าวจึงตกอยู่ในภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรรตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ข้อ 30 แม้จำเลยจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่เป็นถนนคอนกรีต ก็ไม่มีสิทธิก่อสร้างกำแพงและสิ่งก่อสร้างอื่นบนถนนคอนกรีตนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1797/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปิดกั้นทางเข้าออกและการฟ้องร้อง: การกระทำที่ไม่เป็นการละเมิด
การที่โจทก์ทำประตูเหล็กปิดกั้นถนนพิพาท ไม่ยอมให้จำเลยเข้าออก เว้นแต่จะยอมเสียค่าตอบแทนแก่โจทก์ ย่อมทำให้จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าถูกโจทก์โต้แย้งสิทธิ ดังนั้นที่จำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้นขอให้เปิดถนนพิพาทและในระหว่างพิจารณาได้ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา จึงเป็นการใช้สิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ แม้ต่อมาศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง แต่ทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งโดยมีความเห็นหลงไปว่า การมีคำสั่งเช่นนั้นมีเหตุผลอันสมควรโดยความผิดหรือเลินเล่อของจำเลย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 263 (1)การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลย
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า ถนนพิพาทเป็นของโจทก์และมิได้ตกอยู่ในภาระจำยอมดังที่โจทก์อ้าง ก็ไม่อาจทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลชั้นต้นไม่วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวจึงชอบแล้ว
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า ถนนพิพาทเป็นของโจทก์และมิได้ตกอยู่ในภาระจำยอมดังที่โจทก์อ้าง ก็ไม่อาจทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลชั้นต้นไม่วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1797/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิฟ้องร้องหลังถูกกีดกันสิทธิ การพิพาทเรื่องถนนและภารจำยอม ศาลพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
การที่โจทก์ทำประตูเหล็กปิดกั้นถนนพิพาทไม่ยอมให้จำเลยเข้าออกเว้นแต่จะยอมเสียค่าตอบแทนแก่โจทก์ย่อมทำให้จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าถูกโจทก์โต้แย้งสิทธิดังนั้นที่จำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้นขอให้เปิดถนนพิพาทและในระหว่างพิจารณาได้ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาจึงเป็นการใช้สิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แม้ต่อมาศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องแต่ทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฎว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งโดยมีความเห็นหลงไปว่าการมีคำสั่งเช่นนั้นมีเหตุผลอันสมควรโดยความผิดหรือเลินเล่อของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา263(1)การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมิได้ทำละเมิดต่อโจทก์แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าถนนพิพาทเป็นของโจทก์และมิได้ตกอยู่ในภารจำยอมดังที่โจทก์อ้างก็ไม่อาจทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไปที่ศาลชั้นต้นไม่วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5112/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทิศที่ดินเพื่อถนนสาธารณะ: สภาพความเป็นสาธารณสมบัติไม่สิ้นสุดแม้ไม่ได้ใช้และถูกทำลาย
จำเลยที่ 1 และ ต. สามีจำเลยที่ 1 ผู้เป็นบิดาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้อุทิศที่ดินบางส่วนอันเป็นที่ดินของจำเลยที่ 1 และของจำเลยที่ 2กับที่ 3 ที่มีแนวเขตติดต่อกันให้ใช้ตัดถนนสายพิพาท ถนนสายพิพาทตลอดสายได้ตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (2) ทันทีที่จำเลยที่ 1 และ ต.ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของจำเลยที่ 2 และที่ 3 แสดงเจตนาอุทิศให้ แม้ทางราชการตัดถนนสายใหม่ซึ่งอยู่ใกล้กับถนนสายพิพาททำให้ไม่มีประชาชนใช้ถนนเฉพาะส่วนที่เป็นที่พิพาทอีก หรือแม้ ต.จะได้อุทิศที่พิพาทให้ตัดถนนสายพิพาทโดยมีเงื่อนไขต่อผู้มาเจรจาขอให้อุทิศส่วนที่เป็นที่พิพาทไว้ว่า หากทางราชการได้ตัดถนนสายใหม่แล้ว ให้ยกเลิกถนนสายพิพาท ส่วนที่เป็นที่พิพาทเสียก็ตาม ก็หาทำให้ถนนสายพิพาทตลอดสายสิ้นสภาพความเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไปไม่
ถนนส่วนที่เป็นที่พิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันแล้ว สภาพความเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหาได้สูญสิ้นไปเพราะการไม่ได้ใช้ไม่ แม้จำเลยจะได้ครอบครองถนนบริเวณส่วนที่เป็นที่พิพาทเป็นเวลานานเท่าใดก็ตาม ก็ไม่มีสิทธิที่จะยึดถือเอาที่ดินส่วนที่เป็นที่พิพาทกลับคืนมาเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยได้อีกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1306 การที่จำเลยร่วมกันขุดไถทำลายถนนส่วนที่เป็นที่พิพาท รวมทั้งการร่วมกันนำเสาคอนกรีตเสริมเหล็กและเสาไม้จำนวนหลายต้นไปปักลงในส่วนของถนนที่ถูกขุดไถทำลาย และการที่จำเลยร่วมกันนำเสาไปปักติดป้ายบอกข้อความว่าถนนดังกล่าวเป็นทางส่วนบุคคลที่จำเลยสงวนสิทธิ ย่อมเป็นการทำให้สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่อยู่ในความครอบครองดูแลรักษาของกรุงเทพมหานครโจทก์เสียหายการกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์
ถนนส่วนที่เป็นที่พิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันแล้ว สภาพความเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหาได้สูญสิ้นไปเพราะการไม่ได้ใช้ไม่ แม้จำเลยจะได้ครอบครองถนนบริเวณส่วนที่เป็นที่พิพาทเป็นเวลานานเท่าใดก็ตาม ก็ไม่มีสิทธิที่จะยึดถือเอาที่ดินส่วนที่เป็นที่พิพาทกลับคืนมาเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยได้อีกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1306 การที่จำเลยร่วมกันขุดไถทำลายถนนส่วนที่เป็นที่พิพาท รวมทั้งการร่วมกันนำเสาคอนกรีตเสริมเหล็กและเสาไม้จำนวนหลายต้นไปปักลงในส่วนของถนนที่ถูกขุดไถทำลาย และการที่จำเลยร่วมกันนำเสาไปปักติดป้ายบอกข้อความว่าถนนดังกล่าวเป็นทางส่วนบุคคลที่จำเลยสงวนสิทธิ ย่อมเป็นการทำให้สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่อยู่ในความครอบครองดูแลรักษาของกรุงเทพมหานครโจทก์เสียหายการกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3644/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระจำยอมในที่ดินจัดสรร: ต้องได้รับอนุญาตจัดสรรก่อน จึงเกิดภาระจำยอมต่อถนนสาธารณูปโภค
การจัดสรรที่ดินที่มีขึ้นภายหลังจากประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 286 ใช้บังคับ ถนนซึ่งเป็นสาธารณูปโภคที่ผู้จัดสรรที่ดินได้จัดให้มีขึ้นจะตกอยู่ในภารจำยอมก็ต่อเมื่อแผนผังและโครงการจัดสรรที่ดินนั้นได้รับอนุญาตแล้ว ดังนั้นการยื่นคำขอรวมและแบ่งแยกโฉนดที่ดินที่เป็นถนน ซึ่งเจ้าพนักงานได้ทำการรังวัดและแบ่งแยกที่ดินเสร็จสิ้นก่อนที่จะยื่นคำขออนุญาตและได้รับอนุญาตให้จัดสรรที่ดิน จึงยังไม่ตกอยู่ในภารจำยอม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4901/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยตัดถนนผ่านที่ดินโจทก์โดยไม่ได้รับความยินยอม เป็นการละเมิดต่อเนื่อง และโจทก์ฟ้องไม่ขาดอายุความ
จำเลยจัดสรรที่ดินและขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ จำเลยตัดถนนใหม่ผ่านที่ดินของโจทก์ ภายหลังจากออกโฉนดที่ดินพิพาทและโอนให้โจทก์แล้ว โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมจำเลยจึงไม่มีสิทธิให้ประชาชนใช้สัญจรผ่านที่ดินของโจทก์และยกถนนดังกล่าวให้แก่กรุงเทพมหานครการที่จำเลยให้ประชาชนใช้สัญจรผ่านที่ดินของโจทก์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เป็นการละเมิดต่อโจทก์
จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยการตัดถนนผ่านเข้าไปในที่ดินของโจทก์ก็เพื่อประโยชน์ของจำเลยและสมาชิก และได้ใช้ถนนดังกล่าวเป็นทางสัญจรจนกระทั่งโจทก์ฟ้องคดีนี้ เป็นการละเมิดที่ต่อเนื่องกันตลอดมา แม้โจทก์จะฟ้องคดีนี้เกินกว่า 10 ปีนับแต่ถนนพิพาทสร้างเสร็จและใช้สัญจรได้ คดีของโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความ
จำเลยตัดถนนผ่านที่ดินของโจทก์ในลักษณะทะแยงมุม ทำให้ที่ดินของโจทก์ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน แต่ละส่วนเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ด้านหนึ่งเรียวเกือบเป็นรูปชายธง เนื้อที่แต่ละส่วนเหลือเพียงร้อยตารางวาเศษ ที่ดินของโจทก์จึงเสียหายเต็มทั้งแปลง เมื่อพฤติการณ์ที่จำเลยกระทำละเมิดเป็นการกระทำโดยจงใจ เพราะเมื่อมีการเปลี่ยนแนวถนนจากผังที่วางไว้จำเลยย่อมรู้ดีว่าแนวถนนที่ตัดใหม่จะต้องผ่านที่ดินโจทก์ ศาลย่อมมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดได้
จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยการตัดถนนผ่านเข้าไปในที่ดินของโจทก์ก็เพื่อประโยชน์ของจำเลยและสมาชิก และได้ใช้ถนนดังกล่าวเป็นทางสัญจรจนกระทั่งโจทก์ฟ้องคดีนี้ เป็นการละเมิดที่ต่อเนื่องกันตลอดมา แม้โจทก์จะฟ้องคดีนี้เกินกว่า 10 ปีนับแต่ถนนพิพาทสร้างเสร็จและใช้สัญจรได้ คดีของโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความ
จำเลยตัดถนนผ่านที่ดินของโจทก์ในลักษณะทะแยงมุม ทำให้ที่ดินของโจทก์ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน แต่ละส่วนเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ด้านหนึ่งเรียวเกือบเป็นรูปชายธง เนื้อที่แต่ละส่วนเหลือเพียงร้อยตารางวาเศษ ที่ดินของโจทก์จึงเสียหายเต็มทั้งแปลง เมื่อพฤติการณ์ที่จำเลยกระทำละเมิดเป็นการกระทำโดยจงใจ เพราะเมื่อมีการเปลี่ยนแนวถนนจากผังที่วางไว้จำเลยย่อมรู้ดีว่าแนวถนนที่ตัดใหม่จะต้องผ่านที่ดินโจทก์ ศาลย่อมมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4901/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การละเมิดสิทธิในที่ดินจากการตัดถนนโดยไม่ได้รับความยินยอม และการประเมินค่าเสียหายตามความร้ายแรงของการกระทำ
จำเลยจัดสรรที่ดินและขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ จำเลยตัดถนนใหม่ผ่านที่ดินของโจทก์ ภายหลังจากออกโฉนดที่ดินพิพาทและโอนให้โจทก์แล้ว โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอม จำเลยจึงไม่มีสิทธิให้ประชาชนใช้สัญจรผ่านที่ดินของโจทก์และยกถนนดังกล่าวให้แก่กรุงเทพมหานคร การที่จำเลยให้ประชาชนใช้สัญจรผ่านที่ดินของโจทก์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยการตัดถนนผ่านเข้าไปในที่ดินของโจทก์ก็เพื่อประโยชน์ของจำเลยและสมาชิก และได้ใช้ถนนดังกล่าวเป็นทางสัญจรจนกระทั่งโจทก์ฟ้องคดีนี้ เป็นการละเมิดที่ต่อเนื่องกันตลอดมา แม้โจทก์จะฟ้องคดีนี้เกินกว่า 10 ปีนับแต่ถนนพิพาทสร้างเสร็จและใช้สัญจรได้ คดีของโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความ จำเลยตัดถนนผ่านที่ดินของโจทก์ในลักษณะทะแยงมุม ทำให้ที่ดินของโจทก์ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน แต่ละส่วนเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูด้านหนึ่งเรียว เกือบเป็นรูปชายธง เนื้อที่แต่ละส่วนเหลือเพียงร้อยตารางวาเศษ ที่ดินของโจทก์จึงเสียหายเต็มทั้งแปลง เมื่อพฤติการณ์ที่จำเลยกระทำละเมิดเป็นการกระทำโดยจงใจ เพราะเมื่อมีการเปลี่ยนแนวถนนจากผังที่วางไว้ จำเลยย่อมรู้ดีว่าแนวถนนที่ตัดใหม่จะต้องผ่านที่ดินโจทก์ ศาลย่อมมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6104/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของกรุงเทพมหานครฐานละเว้นการดูแลความปลอดภัยบนถนน ทำให้เกิดอุบัติเหตุ
กรุงเทพมหานครจำเลยที่ 4 มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบในการจัดให้มีและบำรุงรักษาทางบก ทางน้ำ และทางระบายน้ำ รวมทั้งวิศวกรรมจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2518 มาตรา 66(2)และ (12) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในเวลาเกิดเหตุ จำเลยที่ 4 ย่อมมีหน้าที่ควบคุมและจัดให้มีเครื่องหมายและสัญญาณไฟให้ประชาชนผู้ใช้ถนนได้เห็นชัดเจนเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของจำเลยที่ 4 ถึงแม้จะได้กำหนดให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศ. จำเลยที่ 2 เป็นผู้ดูแลพื้นที่ที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 4 ก็ต้องควบคุมให้จำเลยที่ 2 ติดตั้งเครื่องหมายและสัญญาณไฟขึ้นให้ถูกต้อง เมื่อปรากฏว่าคืนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 มีความประมาทมิได้ติดตั้งสัญญาณไฟไว้ในบริเวณหลุมที่เกิดเหตุ ว.และส. ซึ่งจำเลยที่ 4 ส่งไปให้ควบคุมการซ่อมปรับปรุงถนนที่เกิดเหตุ ก็มิได้คอยดูว่ามีการติดตั้งสัญญารถไฟบริเวณหลุมดังกล่าวในคืนเกิดเหตุหรือไม่เช่นนี้ ตามพฤติการณ์ชี้ให้เห็นว่า จำเลยที่ 4 ละเว้นหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อในการไม่ควบคุมให้มีการติดตั้งเครื่องหมายและสัญญาณไฟให้ถูกต้องเพื่อป้องกันอุบัติเหตุหรือป้องกันอันตรายแก่ผู้ใช้ถนน เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสาม จำเลยที่ 4 จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4129/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้รับเหมาและหน่วยงานราชการต่อความเสียหายจากการก่อสร้างถนน
การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับเหมาทำการก่อสร้างทางได้ใช้ถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร ปิดกั้นขวางถนนที่กำลังก่อสร้าง โดยไม่ติดตั้งอุปกรณ์ส่องสว่างเพื่อให้ผู้ที่ขับขี่ยานพาหนะในเวลากลางคืนมีโอกาสเห็นได้ในระยะอันสมควรเป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถจะหยุดรถได้ทัน ทำให้ต้องหักรถหลบพุ่งขึ้นไปบนเกาะกลางถนน ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ประมาทเลินเล่อทำให้ทรัพย์สินของบุคคลอื่นเสียหาย จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ฐานละเมิด ส่วนกรมทางหลวงจำเลยที่ 1 มีหน้าที่รับผิดชอบในการซ่อมแซมก่อสร้าง บำรุงรักษาถนนที่เกิดเหตุย่อมมีหน้าที่ควบคุมและจัดให้มีเครื่องหมายหรือป้าย และสัญญาณจราจรในบริเวณก่อสร้าง และปรับปรุงถนนที่เกิดเหตุ แม้จะได้กำหนดให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างดำเนินการก่อสร้างปรับปรุงถนนให้ทำและปิดป้ายจราจร เครื่องหมายกั้นเพื่อความปลอดภัยแก่การจราจรแล้วก็ตาม จำเลยที่ 1 ก็ต้องคอยควบคุมดูแลให้ผู้รับเหมาก่อสร้างติดตั้งเครื่องหมายและสัญญาณจราจรขึ้นให้ถูกต้อง เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 2 มิได้ติดตั้งให้ถูกต้อง เป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย จำเลยที่ 1 ย่อมต้องรับผิดต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ขับรถด้วยความเร็วมิได้ใช้ความระมัดระวัง โจทก์จึงได้ชื่อว่ามีส่วนในความประมาทที่ก่อให้เกิดความเสียหายด้วยแต่จำเลยทั้งสองมีส่วนในความประมาทมากกว่า จึงให้จำเลยทั้งสองรับผิดชดใช้ค่าเสียหายสองในสามส่วนของค่าเสียหายทั้งหมด.
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ขับรถด้วยความเร็วมิได้ใช้ความระมัดระวัง โจทก์จึงได้ชื่อว่ามีส่วนในความประมาทที่ก่อให้เกิดความเสียหายด้วยแต่จำเลยทั้งสองมีส่วนในความประมาทมากกว่า จึงให้จำเลยทั้งสองรับผิดชดใช้ค่าเสียหายสองในสามส่วนของค่าเสียหายทั้งหมด.