คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ถิ่นที่อยู่

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 15 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4813/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดภูมิลำเนาเพื่อยื่นคำร้องพิสูจน์สัญชาติ: พิจารณาจากถิ่นที่อยู่เดิมและมูลคดี
ศาลจังหวัดเชียงรายพิพากษาลงโทษจำคุกผู้ร้อง 2 ปี ผู้ร้องถูกอายัดตัวมาดำเนินคดี และถูกฟ้องคดีอาญาที่ศาลจังหวัดนครปฐมไม่ใช่ผู้ร้องสมัครใจมายึดถิ่นที่อยู่เป็นแหล่งสำคัญที่จังหวัดนครปฐม ต่อมาได้รับการปล่อยชั่วคราว ไม่ใช่กรณีถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลจังหวัดนครปฐมหรือตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ถือว่าเรือนจำจังหวัดนครปฐมเป็นภูมิลำเนาตามมาตรา 47
ผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดเชียงราย ถูกกล่าวหาว่าไม่มีสัญชาติไทยและถูกดำเนินคดีที่จังหวัดเชียงรายก่อน จึงถือว่ามูลคดีของผู้ร้องเกี่ยวกับการขอพิสูจน์สัญชาติเกิดขึ้นที่จังหวัดเชียงราย ซึ่ง ป.วิ.พ. มาตรา 4 (2) ให้ผู้ร้องเสนอคำร้องต่อศาลที่มูลคดีเกิดหรือต่อศาลที่ผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลซึ่งก็คือศาลจังหวัดเชียงราย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 337/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภูมิลำเนา ถิ่นที่อยู่ และการฟ้องคดีที่ชอบด้วยกฎหมาย รวมถึงการพิสูจน์เอกสารรับสภาพหนี้
จำเลยอ้างว่ามีที่อยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ตามสำเนาทะเบียนบ้านและสำเนาบัตรประชาชน แต่ขณะที่เจ้าหน้าที่ศาลไปส่งหมายเรียกสำเนาคำฟ้อง หมายนัดสืบพยานโจทก์ หมายนัดฟังคำพิพากษา และอื่น ๆให้แก่จำเลยที่บ้านในจังหวัดเพชรบูรณ์ ปรากฏตามรายงานเจ้าหน้าที่ว่าคนข้างบ้าน บุตรสาว และคนในบ้านของจำเลยแจ้งว่าจำเลยไปธุระต่างจังหวัดบ้าง ไปธุระนอกบ้านบ้างทุกครั้งแสดงว่าจำเลยอยู่ที่บ้านที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ประกอบกับบ้านที่จังหวัดนครสวรรค์นั้นถูกรื้อไปแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี และปรากฏจากคำเบิกความของจำเลยเองว่า จำเลยอาศัยอยู่ที่บ้านของพี่สาวเมื่อเดินทางไปที่จังหวัดนครสวรรค์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยมีถิ่นที่อยู่สองแห่ง คือที่จังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งถือว่าทั้งสองแห่งนั้นเป็นภูมิลำเนาของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 38 ฉะนั้น ที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดเพชรบูรณ์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2384/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดยื่นคำให้การต้องพิจารณาการได้รับหมายเรียกโดยชอบและเจตนาของจำเลย
การขาดนัดยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา197วรรคแรกย่อมขึ้นอยู่กับว่าคู่ความฝ่ายนั้นได้รับหมายเรียกให้ยื่นคำให้การโดยชอบแล้วหรือไม่ด้วยที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการส่งหมายให้จำเลยชอบแล้วอันมีผลให้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การจึงตรงประเด็นแล้ว จำเลยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามที่โจทก์ระบุไว้ในคำฟ้องที่จำเลยอ้างว่าจำเลยย้ายไปอยู่ที่อื่นแต่ไม่ได้ย้ายทะเบียนบ้านออกไปถือได้ว่าจำเลยมีถิ่นที่อยู่หรือหลักแหล่งที่ทำการงานเป็นปกติหลายแห่งจึงให้ถือเอาแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นภูมิลำเนาของจำเลยเมื่อจำเลยได้รับหมายเรียกให้ยื่นคำให้การโดยชอบแล้วจำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนดการขาดนัดยื่นคำให้การของจำเลยจึงเป็นไปโดยจงใจและไม่มีเหตุอันสมควรประการอื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 39/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายเรียกไปยังถิ่นที่อยู่หลายแห่งของจำเลย และผลของการขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยมีถิ่นที่อยู่หลายแห่งและอยู่สับเปลี่ยนกันไป บ้านเลขที่ที่ระบุในคำฟ้องจึงเป็นภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งของจำเลย การที่พนักงานเดินหมายนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องกับหมายนัดสืบพยานโจทก์ไปส่งตามที่อยู่ของจำเลยในคำฟ้อง โดยมีภริยาของจำเลยเป็นผู้รับไว้แทน จึงถือได้ว่าส่งหมายให้แก่จำเลยโดยชอบแล้ว จำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดและไม่ไปศาลในวันสืบพยานโจทก์ ถือได้ว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาโดยจงใจ จำเลยไม่อาจขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4479/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตอำนาจศาล: ที่อยู่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22(1) คือถิ่นที่อยู่ที่แท้จริง ไม่ใช่ที่คุมขัง
คำว่า "จำเลยมีที่อยู่" ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22 (1) หมายถึงถิ่นที่อยู่ที่แท้จริงของจำเลยในขณะที่จำเลยตกเป็นผู้ต้องหาตามที่พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนไว้ ซึ่งอาจเป็นภูมิลำเนาหรือมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลยก็ได้ ทั้งนี้ เพื่อให้โอกาสแก่จำเลยที่จะได้รับความสะดวกในการต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่
เรือนจำจังหวัดปราจีนบุรีตามที่โจทก์ระบุมาในฟ้อง มิใช่ที่อยู่ที่แท้จริงของจำเลยทั้งสอง โดยเป็นเพียงสถานที่ที่จำเลยที่ถูกคุมขังไว้หลังจากศาลมีคำพิพากษาในคดีอื่นแล้ว และจำเลยที่ 2 ถูกคุมขังตามคำสั่งของกรมราชทัณฑ์เท่านั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นที่อยู่ของจำเลยทั้งสองตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22 (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 811/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งคำบังคับและการพิจารณาใหม่: ถิ่นที่อยู่สับเปลี่ยน ถือเป็นภูมิลำเนาเดิมได้
แม้จำเลยจะได้แจ้งย้ายจากที่อยู่ตามที่โจทก์ระบุในฟ้องก่อนฟ้อง 2 เดือนก็ตาม แต่ครอบครัวของจำเลยไม่ได้แจ้งย้ายตามไปด้วย คงอาศัยอยู่บ้านตามฟ้องเมื่อพนักงานเดินหมายนำคำบังคับไปส่งให้จำเลยตามที่อยู่ดังกล่าวสองครั้ง ทุกครั้งคนในบ้านก็แจ้งว่าจำเลยออกไปทำธุระพฤติการณ์แสดงว่าจำเลยยังอยู่ที่บ้านหลังนั้นตลอดมาถือได้ว่าจำเลยมีถิ่นที่อยู่หลายแห่งสับเปลี่ยนกันไปบ้านที่ระบุในฟ้องจึงเป็นภูมิลำเนาแห่งหนึ่งของจำเลย
พนักงานเดินหมายนำคำบังคับไปปิดที่บ้านซึ่งถือว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลย จึงเป็นการส่งคำบังคับให้แก่จำเลยโดยชอบ เมื่อจำเลยไม่ได้ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่การส่งคำบังคับมีผล จำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3545/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภูมิลำเนาฟ้องคดี: ถิ่นที่อยู่หลายแห่ง โจทก์เลือกยื่นฟ้องได้ หากยังไม่ได้ย้ายภูมิลำเนาจริง
โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งต่อศาลจังหวัดนนทบุรี โดยระบุในคำฟ้องว่าจำเลยอยู่ที่บ้านมีเลขที่หลังหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี ต่อมาในระหว่างการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโจทก์ขอแก้ที่อยู่ของจำเลยเป็นบ้านมีเลขที่หลังหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลกซึ่งจำเลยมีชื่อในทะเบียนบ้านแต่มีพฤติการณ์แสดงว่าบ้านมีเลขที่ในจังหวัดนนทบุรีตามที่โจทก์ระบุไว้ในคำฟ้อง อาจเป็นถิ่นที่อยู่ของจำเลยอีกแห่งหนึ่งนอกจากที่จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งโจทก์จะถือเอาถิ่นที่อยู่แห่งหนึ่งแห่งใดเป็นภูมิลำเนาเพื่อยื่นฟ้องจำเลยก็ได้ กรณีควรฟังข้อเท็จจริงก่อน ที่ศาลจังหวัดนนทบุรีสั่งจำหน่ายคดีโดยอ้างว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดพิษณุโลกจึงเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1328/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ถิ่นที่อยู่ปกติของเด็กและเยาวชนเพื่อการพิจารณาคดี: การพิจารณาจากที่อยู่อาศัยและการประกอบอาชีพ
จำเลยเป็นเยาวชนย้ายจากเขตจังหวัดธนบุรีมาอยู่ที่จังหวัดนนทบุรีตั้งแต่ยังเล็ก แต่ไม่ได้แจ้งย้ายทะเบียนบ้าน ต่อมาจำเลยทำงานรับจ้างเป็นเด็กกระเป๋ารถยนต์สองแถวและกินอยู่หลับนอนกับนายจ้างที่จังหวัดนนทบุรี ดังนี้ถิ่นที่อยู่ปกติของจำเลยจึงอยู่ในเขตจังหวัดนนทบุรี แม้มารดาของจำเลยกับจำเลยแจ้งย้ายทะเบียนบ้านไปอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ถิ่นที่อยู่ปกติของจำเลยหาใช่เป็นแห่งเดียวกับภูมิลำเนาจำเลยไม่ โจทก์ฟ้องจำเลย ต่อศาลจังหวัดนนทบุรี จึงชอบแล้ว กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 28 แห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ2494.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1328/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ถิ่นที่อยู่ปกติของเด็กและเยาวชนเพื่อการพิจารณาคดี: การพิจารณาจากที่อยู่อาศัยจริงและการประกอบอาชีพ
จำเลยเป็นเยาวชนย้ายจากเขตจังหวัดธนบุรีมาอยู่ที่จังหวัดนนทบุรีตั้งแต่ยังเล็ก แต่ไม่ได้แจ้งย้ายทะเบียนบ้าน ต่อมาจำเลยทำงานรับจ้างเป็นเด็กกระเป๋ารถยนต์สองแถว และกินอยู่หลับนอนกับนายจ้างที่จังหวัดนนทบุรี ดังนี้ ถิ่นที่อยู่ปกติของจำเลยจึงอยู่ในเขตจังหวัดนนทบุรี แม้มารดาของจำเลยกับจำเลยแจ้งย้ายทะเบียนบ้านไปอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ถิ่นที่อยู่ปกติของจำเลยหาใช่เป็นแห่งเดียวกับภูมิลำเนาจำเลยไม่โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดนนทบุรีจึงชอบแล้วกรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ.2494

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 881/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ถิ่นที่อยู่จำเลยหลายแห่ง ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีได้หากจำเลยทราบฟ้องและต่อสู้คดี
จำเลยมีถิ่นที่อยู่ 2 แห่ง โจทก์จะถือเอาแห่งหนึ่งแห่งใดเป็นภูมิลำเนาของจำเลยเพื่อยื่นคำฟ้องก็ได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(2) ที่บัญญัติให้เสนอคำฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลก็เพื่อให้จำเลยได้ฟังคดีของตนและต่อสู้คดีได้เต็มที่เมื่อจำเลยได้ทราบคำฟ้องและต่อสู้คดีเต็มที่แล้ว จึงหาขัดกฎหมายไม่ (อ้างฎีกาที่ 1233/2506)
โจทก์ฟ้องเรียกหนี้ 2 รายรวม 2,387 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัด รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,729.93บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ 1 รายจำนวน 774 บาทพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยชำระเงินเต็มตามฟ้อง ถือว่าแก้ไขเพียงเล็กน้อยต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
of 2