พบผลลัพธ์ทั้งหมด 33 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3064/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิฟ้องร้องเมื่อถูกโต้แย้งสิทธิในที่ดิน แม้ยังมิได้ถูกบังคับคดี
การที่จำเลยมีหนังสือแจ้งโจทก์ว่าจำเลยยื่นฟ้องขับไล่ ส. และจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี ให้โจทก์ในฐานะบริวารของ ส. ออกจากที่พิพาท เมื่อโจทก์เห็นว่าตนมิใช่บริวารของ ส. แต่เป็นเจ้าของครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทมานานแล้ว แสดงว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ระหว่างโจทก์กับจำเลยตามกฎหมายแพ่งอันเกี่ยวกับสิทธิในที่พิพาทแล้ว โจทก์มีสิทธิเสนอคดีของตนต่อศาลโดยยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 ได้ แม้โจทก์จะยื่นฟ้องจำเลยก่อนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะปิดประกาศกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา (3)ในคดีที่จำเลยฟ้องขับไล่ ส. ออกจากที่พิพาทก็ตาม เพราะบทบัญญัติดังกล่าวแม้หากบุคคลนั้นไม่ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในเวลาตามที่กฎหมายกำหนด ก็เป็นเพียงให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลนั้นเป็นบริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษาหาได้มีผลเป็นการตัดสิทธิห้ามบุคคลนั้นจะฟ้องร้องเป็นคดีใหม่ไม่ และเมื่อโจทก์มิได้ร้องขอเข้าไปในคดีที่จำเลยบังคับขับไล่ ส. โจทก์จึงมิได้อยู่ในฐานะเป็นคู่ความในคดีนั้นย่อมไม่ผูกพันในผลแห่งคดีดังกล่าวหรือจะถูกต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องไม่ว่าจะด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายในเรื่องฟ้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2116/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: คดีที่พิพาทซ้ำกับคดีก่อน ศาลยกฟ้องตามมาตรา 144
ปัญหาว่า โจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณา คดีนี้ซ้ำและฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งเรื่องก่อนตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 และมาตรา 148 หรือไม่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยย่อมมีสิทธิ ที่จะยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง เดิมจำเลยทั้งสามในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้อง ส.และต.เป็นจำเลยเป็นคดีแพ่งโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของ ผู้ครอบครองที่พิพาทตาม น.ส.3 เลขที่ 15 ต่อมาส.และต. ไปขอออก น.ส.3 ก. เลขที่ 4618โดยมิชอบทับที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 15 ของจำเลยทั้งสามส.และต. ให้การว่า การขอออก น.ส.3 ก.เลขที่ 4618 ถูกต้องและได้เข้าครอบครองที่พิพาท อย่างเจ้าของ ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า น.ส.3 ก. เลขที่ 4618 ออกทับที่พิพาทของจำเลยทั้งสาม อันจะต้องเพิกถอนหรือไม่ การที่โจทก์ยื่นคำร้องสอด ขอเข้าเป็นจำเลยร่วมตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) ในคดีก่อน โจทก์จึงเป็นคู่ความในคดีก่อน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(11) และ ต้องถูกผูกพันในกระบวนพิจารณาของศาลตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 เมื่อ ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาชี้ขาดในประเด็นแห่งคดี ในคดีก่อนแล้วว่า น.ส.3 ก.เลขที่ 4618 ออกทับที่ของจำเลยทั้งสามตาม น.ส.3 เลขที่ 15 ให้เพิกถอน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้โดยอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 4618 อีก เพราะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 แม้โจทก์จะฟ้องคดีนี้ก่อนศาลได้วินิจฉัยในคดีก่อนก็ตาม แต่เมื่อ ศาลชั้นต้นได้พิพากษาชี้ขาดคดีในคดีก่อนแล้ว กรณีก็ต้อง ตกอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 144 เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์: การกระทำต่อเนื่องและเจตนาครอบครองที่พิพาท
โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยเข้าไปปั้นคันนาในที่พิพาทแล้วออกไปไม่ยุ่งเกี่ยวกับที่พิพาทอีกระยะเวลาหลังจากนั้นมาจึงมิใช่การครอบครองหรือแย่งการครอบครองตามกฎหมายแม้ต่อมาจำเลยจะเข้าไปตัดฟันต้นชาดจำเลยก็ไม่ได้ครอบครองต่อเนื่องนับจากเข้าไปปั้นคันนาจำเลยมีเจตนารบกวนเพื่อให้โจทก์ดำเนินคดีแต่มิใช่เจตนาครอบครองที่พิพาทเพื่อตนถือไม่ได้ว่าเป็นการครอบครองตามกฎหมายเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน50,000บาทจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7036/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิทำเหมืองแร่และการขัดขวางสิทธิ: ประทานบัตรและการยินยอม
จำเลยอยู่ในที่พิพาทมาแต่ปี 2517 ก่อนโจทก์ขอออกประทานบัตรจำเลยไม่เคยให้หลักฐานแสดงความยินยอมให้โจทก์ไปแสดงให้เป็นที่พอใจของพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าโจทก์มีสิทธิทำเหมืองแร่ในเขตที่พิพาทตาม พ.ร.บ.แร่ พ.ศ.2510 มาตรา 50 โจทก์จึงไม่อาจนำประทานบัตรที่ได้รับมาอ้างว่าที่พิพาทอยู่เขตประทานบัตร จำเลยโต้แย้งขัดขวางสิทธิในการทำเหมืองแร่ของโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6749/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอห้ามกระทำละเมิดระหว่างการพิจารณาคดี: การกรีดยางพาราในที่พิพาท
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลย เข้ากรีดยางพาราในที่พิพาทด้วย ดังนั้นการขอให้ห้ามจำเลยกรีด ยางพาราในที่พิพาทก่อนศาลมีคำพิพากษาจึงเป็นการห้ามมิให้จำเลย กระทำซ้ำหรือกระทำต่อไปซึ่งการละเมิดตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๕๔(๒)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3029/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษา การออกหมายบังคับคดีชอบด้วยกฎหมาย แม้ผู้ถูกบังคับคดีจะออกจากที่พิพาทแล้ว
ศาลได้มีคำพิพากษาให้จำเลยและผู้ร้องสอดกับบริวารออกจากที่ดินและตึกพิพาท ให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะ ออกไปจากที่ดินและตึกพิพาท กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืนผู้ร้องสอดได้รับทราบคำพิพากษา ของ ศาลฎีกาและศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับให้ผู้ร้องสอด ปฏิบัติ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาแล้วด้วย ต่อมาเมื่อพ้นกำหนดตามคำบังคับ โจทก์ยื่นคำขอให้ออกหมายบังคับคดีอ้างว่าผู้ร้องสอดยังไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ การที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271หากผู้ร้องสอดได้ออกไปจากตึกพิพาทก่อนนี้แล้วก็ไม่ต้องบังคับในส่วนนี้คงบังคับในส่วนอื่นตามคำพิพากษาเช่นค่าเสียหายหรือค่าฤชาธรรมเนียม ต่อไปเพราะการที่ผู้ร้องสอดออกไปจากตึกพิพาทไม่อาจจะลบล้างค่าเสียหายที่ยังค้างชำระก่อนนี้ได้ผู้ร้องสอดออกจากที่พิพาทหรือยังเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์ยังไม่ยอมรับ และแถลงในคำขอว่าผู้ร้องสอดไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ จึงต้องออกหมายบังคับคดีตามคำพิพากษาดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1652/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีต้องมีคำบังคับชัดเจน การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างต้องมีการแจ้งคำบังคับให้ทราบ
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาที่พิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อย้ายสิ่งปลูกสร้างออกจากที่พิพาทให้จำเลยทราบแล้ว แต่มิได้ออกคำบังคับให้จำเลยและบริวารปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา ดังนี้ถือไม่ได้ว่าจำเลยและบริวารไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์จะขอบังคับคดีต่อผู้ร้องซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นบริวารของจำเลยในชั้นนี้ไม่ได้ ปัญหาเรื่องสิทธิในการบังคับคดีเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ผู้ร้องมิได้กล่าวไว้ในคำคัดค้านก็ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225,249.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5380/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: ผลผูกพันเมื่อที่พิพาทไม่อยู่ใน น.ส.3ก. และการยกที่ดินให้แก่โจทก์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยบุกรุกที่พิพาทต่อมาโจทก์จำเลยบันทึกตกลงกันให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตหากที่พิพาทอยู่นอก น.ส.3ก. ของจำเลย จำเลยยอมยกที่พิพาทให้โจทก์ผลการรังวัดที่พิพาทอยู่นอก น.ส.3ก. ของจำเลย จำเลยไม่ยอมออกจากที่พิพาท อ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ดังนี้ ประเด็นแห่งคดีมีว่าข้อตกลงตามบันทึกดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ ตามบันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยมีข้อความว่า หากที่พิพาทอยู่นอก น.ส.3ก. ของจำเลย จำเลยยอมยกที่พิพาทให้โจทก์ ดังนี้ข้อความดังกล่าวเป็นการระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับที่พิพาท เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 คำให้การจำเลยไม่ปรากฏว่า จำเลยได้ให้การว่าได้แย่งการครอบครองที่พิพาทจากโจทก์ จึงไม่มีประเด็นเรื่องกำหนดเวลาการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3895/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: เจ้าของรวมฟ้องบุกรุกซ้ำหลังศาลตัดสินแล้ว
ส. ซึ่งมีชื่อเป็นเจ้าของที่พิพาทร่วมกับโจทก์ทั้งสอง เคยฟ้องจำเลยทั้งสามในข้อหาบุกรุกที่พิพาท เป็นการใช้สิทธิของเจ้าของรวมเพื่อติดตามเอาที่พิพาทคืน เมื่อศาลฟังว่า ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดโดยศาลฟังว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยแล้ว โจทก์ทั้งสองซึ่งเป๋นเจ้าของรวมจะฟ้องจำเลยทั้งสาม ขอให้แสดงว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์อีกไม่ได้ เพราะเป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1139/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการร้องคัดค้านคำบังคับคดีของบุคคลที่อ้างว่าตนไม่ใช่บริวารของจำเลย และมีสิทธิในที่พิพาท
ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาคดีระหว่างโจทก์จำเลยคดีนี้และคดีถึงที่สุดแล้วว่าให้จำเลยรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาทและห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้องคำพิพากษาจึงมีผลบังคับถึงบริวารของจำเลยด้วยเมื่อศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาก็ได้ระบุไว้ในคำบังคับด้วยว่าห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทเมื่อผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องขออ้างว่าตนมิได้เป็นบริวารของจำเลยและสิ่งปลูกสร้างกับที่พิพาทนี้เป็นของผู้ร้องทั้งสี่มิใช่ของโจทก์จึงเป็นการตั้งข้อพิพาทกับโจทก์ในชั้นบังคับคดีกรณีจึงเป็นเรื่องผู้ร้องทั้งสี่มีสิทธิร้องขอต่อศาลได้โดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา7(2),296ชอบที่จะรับคำร้องขอของผู้ร้องไว้พิจารณา.