พบผลลัพธ์ทั้งหมด 233 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6353/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดและแก้ไขเลขหมายอาวุธปืน ศาลฎีกาพิพากษาแก้ข้อกฎหมายและบทลงโทษ
เลขหมายประจำปืนไม่ใช่ทะเบียนอาวุธปืนซึ่งเป็นเอกสารที่เจ้าพนักงานจัดทำและมิได้เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ จึงไม่ใช่เอกสารราชการและเอกสารสิทธิ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการตาม ป.อ. มาตรา 265 จำเลยที่ 1 คงมีความผิดฐานปลอมเอกสารตาม ป.อ. มาตรา 264 วรรคแรก และใช้เอกสารปลอมตาม ป.อ. มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2924/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยในคดียาเสพติดประเภท 2 (โคคาอีน) ต้องพิจารณาปริมาณสารบริสุทธิ์เพื่อใช้บทลงโทษที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ผู้ใดจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 17 ต้องถูกลงโทษตามมาตรา 69 วรรคสอง ยกเว้นยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 เฉพาะมอร์ฟีน ฝิ่น หรือโคคาอีน ต้องถูกลงโทษตามมาตรา 69 วรรคสาม เมื่อโจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีโคคาอีนจำนวน 3 ซอง น้ำหนัก 2.36 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แม้ไม่ปรากฏว่ามีการคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เท่าใดก็ตาม แต่ต้องถือว่าโคคาอีนของกลางมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัม จึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 69 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 269/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลียนเครื่องหมายการค้า: ศาลแก้ไขบทลงโทษ โดยใช้เฉพาะ พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า แทนการอ้างอิงประมวลกฎหมายอาญา
เมื่อจำเลยทั้งสองมีความผิดตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 109 และ 110 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 274 และ 275 แต่มาตรา 3 วรรคสอง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 ให้ใช้มาตรา 109 และ 110 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวแทนบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับการเลียนเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนภายในราชอาณาจักรตามมาตรา 274 และการปฏิบัติต่อสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าดังกล่าวตามมาตรา 275 แห่งประมวลกฎหมายอาญาแล้ว ในการปรับบทกฎหมายจึงไม่ต้องอ้างบทบัญญัติในมาตรา 274 และ 275 อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2523/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผลิตเมทแอมเฟตามีน: การปรับบทลงโทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ และอำนาจศาลฎีกาในการปรับบทกฎหมาย
ขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมจำเลย จำเลยกำลังนั่งปรุงผสมเมทแอมเฟตามีน โดยยึดได้เครื่องมือที่จำเลยใช้ มีแปรงสีฟัน ตลับพลาสติก บล็อกพิมพ์เมทแอมเฟตามีนที่มีรูปตัวอักษรดับเบิลยูวายทำด้วยเทียนสีเหลือง มีดคัทเตอร์ ไม้ไผ่เสียบลูกชิ้น และผงเมทแอมเฟตามีนปรุงแต่งผสมน้ำอยู่ครึ่งตลับ ตรวจค้นตัวจำเลยพบเมทแอมเฟตามีน 4 เม็ด เมื่อพิจารณาการกระทำของจำเลยประกอบกับเครื่องมือวัสดุต่าง ๆ ที่จำเลยใช้ในการปรุงผสมเมทแอมเฟตามีน ซึ่งจับกุมได้ชนิดที่เรียกว่าคาหนังคาเขาเช่นนี้ เห็นว่า แม้จะพบผงเมทแอมเฟตามีนปรุงแต่งผสมน้ำอยู่เพียงครึ่งตลับกับมีเครื่องมือต่าง ๆ เป็นเศษวัสดุที่สามารถหาได้ทั่วไปก็ตาม การกระทำของจำเลยก็เป็นการทำผสมแปรสภาพเมทแอมเฟตามีน ถือได้ว่าเป็นการผลิตตามบทนิยามของ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4 ซึ่งบัญญัติคำว่า "ผลิต" มีความหมายว่า เพาะ ปลูก ทำ ผสม ปรุง แปรสภาพ เปลี่ยนรูป หรือสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์แล้ว ลักษณะการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานผลิตเมทแอมเฟตามีนตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษจำเลยฐานผลิตเมทแอมเฟตามีนตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 65 วรรคสาม (ที่แก้ไขใหม่) และลงโทษจำคุกจำเลย 4 ปี นั้น ไม่ถูกต้อง เพราะการผลิตโดยการทำ ผสม แปรสภาพเมทแอมเฟตามีน หาใช่การผลิตในการแบ่งบรรจุ หรือรวมบรรจุและมีน้ำหนักสุทธิไม่ถึงหนึ่งจุดห้ากรัมอันจะต้องด้วยบทกำหนดโทษดังกล่าวไม่ แต่การกระทำความผิดของจำเลยต้องด้วยบทกำหนดโทษตามมาตรา 65 วรรคหนึ่ง (เดิม) ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต แต่เมื่อโจทก์มิได้ฎีกาจึงมิอาจเปลี่ยนแปลงโทษของจำเลยให้ถูกต้องได้เพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษอันเป็นผลร้ายแก่จำเลย ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องได้
ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษจำเลยฐานผลิตเมทแอมเฟตามีนตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 65 วรรคสาม (ที่แก้ไขใหม่) และลงโทษจำคุกจำเลย 4 ปี นั้น ไม่ถูกต้อง เพราะการผลิตโดยการทำ ผสม แปรสภาพเมทแอมเฟตามีน หาใช่การผลิตในการแบ่งบรรจุ หรือรวมบรรจุและมีน้ำหนักสุทธิไม่ถึงหนึ่งจุดห้ากรัมอันจะต้องด้วยบทกำหนดโทษดังกล่าวไม่ แต่การกระทำความผิดของจำเลยต้องด้วยบทกำหนดโทษตามมาตรา 65 วรรคหนึ่ง (เดิม) ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต แต่เมื่อโจทก์มิได้ฎีกาจึงมิอาจเปลี่ยนแปลงโทษของจำเลยให้ถูกต้องได้เพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษอันเป็นผลร้ายแก่จำเลย ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 876/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การละเมิดลิขสิทธิ์งานโสตทัศนวัสดุ ศาลแก้ไขบทลงโทษและพิพากษาเกินคำขอ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายด้วยการนำแผ่นเพลงซีดีคาราโอเกะเพลงโดเรมี ขับร้องโดย พ. ซึ่งเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายออกแพร่เสียงภาพให้ประชาชนฟังและชม โดยเรียกเก็บเงินหรือผลประโยชน์อย่างอื่นในทางการค้าย่อมมีความหมายว่า จำเลยได้นำซีดีคาราโอเกะที่บันทึกภาพและเสียงไว้ซึ่งเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายออกเผยแพร่ต่อสาธารณะชนเพื่อการค้า อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 69 วรรคสอง ประกอบมาตรา 28 (2) แม้โจทก์จะอ้างฐานความผิดและบทกฎหมายผิดไปเป็นว่า จำเลยกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ในงานแพร่เสียงแพร่ภาพของผู้เสียหายเพื่อการค้า อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 69 วรรคสอง ประกอบมาตรา 29 (3) ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางก็มีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามฐานความผิดและบทกฎหมายที่ถูกต้องดังกล่าวข้างต้นได้ ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคห้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 775/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพรากผู้เยาว์, หน่วงเหนี่ยวกักขัง, ข่มขืนกระทำชำเรา: ศาลแก้ไขบทลงโทษให้ถูกต้อง
ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อการอนาจารตาม ป.อ. มาตรา 318 วรรคสาม นั้น เมื่อจำเลยมีเจตนาและได้พรากผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ไปโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยเพื่อการอนาจาร ถือได้ว่าความผิดสำเร็จนับแต่จำเลยเริ่มพรากผู้เสียหายที่ 2 ไปโดยมีเจตนาดังกล่าวแล้ว จึงมิใช่เป็นกรรมเดียวกันกับความผิดฐานหน่วยเหนี่ยวกักขัง
ความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังความผิดฐานข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตหรือร่างกายของผู้ถูกข่มขืนใจหรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งนั้นและข่มขืนกระทำชำเรา นั้น จำเลยกระทำต่อเนื่องเชื่อมโยงอยู่ในวาระเดียวกันโดยมุ่งหมายที่จะข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
ความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังความผิดฐานข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตหรือร่างกายของผู้ถูกข่มขืนใจหรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งนั้นและข่มขืนกระทำชำเรา นั้น จำเลยกระทำต่อเนื่องเชื่อมโยงอยู่ในวาระเดียวกันโดยมุ่งหมายที่จะข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4215/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บทลงโทษยาเสพติดประเภท 2 (ฝิ่น) ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ แก้ไขใหม่ การพิจารณาโทษและปริมาณสารบริสุทธิ์
พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 69 วรรคสาม เป็นบทลงโทษที่ขยายความมาจากมาตรา 69 วรรคสอง โดยแยกความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 เฉพาะมอร์ฟีน ฝิ่น หรือโคคาอีน ที่มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัม ต้องลงโทษตามวรรคสาม แต่หากเป็นกรณีมอร์ฟีน ฝิ่น หรือโคคาอีนที่มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินกว่าหนึ่งร้อยกรัมขึ้นไป ก็ลงโทษตามวรรคสี่ ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ใดจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 17 ต้องถูกลงโทษตามมาตรา 69 วรรคสอง ยกเว้นยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 เฉพาะมอร์ฟีน ฝิ่น หรือโคคาอีน ที่มีปริมาณดังกล่าวต้องถูกลงโทษตามมาตรา 69 วรรคสาม หรือวรรคสี่แล้วแต่กรณี
ยาเสพติดให้โทษที่เป็นวัตถุแห่งการกระทำความผิดเป็นฝิ่นแม้จะไม่ปรากฏว่าฝิ่นของกลางมีปริมาณคำนวนเป็นสารบริสุทธิ์ได้เท่าใด แต่ก็ปรากฏว่าฝิ่นของกลางทั้ง 14 ห่อ มีน้ำหนัก 25.19 กรัม การมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งฝิ่นจำนวน 14 ห่อก็ดี การจำหน่ายฝิ่นจำนวน 2 ห่อก็ดี ต้องถือว่าฝิ่นทั้งสองจำนวนมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัม การมีไว้ในครอบครองจึงเป็นความผิดและต้องถูกลงโทษตามมาตรา 69 วรรคสาม ส่วนการจำหน่ายฝิ่นก็เป็นความผิดและต้องถูกลงโทษตามมาตรา 69 วรรคสาม เช่นกัน
ยาเสพติดให้โทษที่เป็นวัตถุแห่งการกระทำความผิดเป็นฝิ่นแม้จะไม่ปรากฏว่าฝิ่นของกลางมีปริมาณคำนวนเป็นสารบริสุทธิ์ได้เท่าใด แต่ก็ปรากฏว่าฝิ่นของกลางทั้ง 14 ห่อ มีน้ำหนัก 25.19 กรัม การมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งฝิ่นจำนวน 14 ห่อก็ดี การจำหน่ายฝิ่นจำนวน 2 ห่อก็ดี ต้องถือว่าฝิ่นทั้งสองจำนวนมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัม การมีไว้ในครอบครองจึงเป็นความผิดและต้องถูกลงโทษตามมาตรา 69 วรรคสาม ส่วนการจำหน่ายฝิ่นก็เป็นความผิดและต้องถูกลงโทษตามมาตรา 69 วรรคสาม เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4215/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความบทลงโทษ พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ มาตรา 69 วรรคสาม กรณีปริมาณฝิ่นไม่เกิน 100 กรัม
การมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายซึ่งฝิ่นอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 แม้โจทก์มิได้บรรยายฟ้องหรือนำสืบว่ามีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้จำนวนเท่าใดก็ต้องปรับบทลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 69 วรรคสาม เนื่องจากบทบัญญัติในมาตรา 69 วรรคสาม เป็นบทลงโทษที่ขยายความมาจากบทบัญญัติในมาตรา 69 วรรคสอง โดยแยกความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 เฉพาะมอร์ฟีน ฝิ่น หรือโคคาอีน ที่มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัม ต้องลงโทษตามวรรคสาม แต่หากเป็นกรณีมอร์ฟีน ฝิ่น หรือโคคาอีน ที่มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินกว่าหนึ่งร้อยกรัมขึ้นไป ต้องลงโทษตามวรรคสี่ ดังนั้น การจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 เฉพาะมอร์ฟีน ฝิ่น หรือโคคาอีน จึงต้องได้รับโทษตามมาตรา 69 วรรคสาม หรือวรรคสี่ แล้วแต่กรณี
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2548)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2548)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3322/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอ้างมาตรา 7 พ.ร.บ.มาตรการยาเสพติดฯ โทษสูงกว่าบทลงโทษอื่น โจทก์ต้องอ้างตามฟ้อง มิฉะนั้นถือเป็นการเกินคำขอ
พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ เป็นกฎหมายคนละฉบับกับ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ ทั้งมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นการบัญญัติว่าผู้ใดกระทำความผิดฐานพยายามกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต้องระวางโทษเท่าใด จึงเป็นทั้งบทความผิดและบทลงโทษในมาตราเดียวกัน ส่วนความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ และความผิดฐานพยายามกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 80 นั้นเป็นเพียงองค์ความผิดและบทโทษส่วนหนึ่งของมาตรา 7 ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ เท่านั้น การที่โจทก์ไม่อ้างมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งมีโทษสูงกว่าโทษในความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ประกอบ ป.อ. มาตรา 80 จึงต้องถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยตามบทบัญญัติมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ และเป็นการเกินคำขอตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่งและวรรคสี่
ตามคำฟ้องบรรยายว่าจำเลยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนในวันและเวลาเดียวกัน ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแม้จะเป็นความผิดสำเร็จแล้ว แต่เมื่อกระทำความผิดทั้งสองความผิดเป็นวันเวลาเดียวกัน ถือว่าเป็นความผิดที่ต่อเนื่องกันอยู่ เจตนาของจำเลยที่มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองก็เพื่อจำหน่ายจึงเป็นเจตนาเดียวกันกับเจตนาในความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ทั้งเมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองและที่จะจำหน่ายก็เป็นจำนวนเดียวกัน การกระทำความผิดของจำเลยตามฟ้องเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่หลายกรรมต่างกัน
ตามคำฟ้องบรรยายว่าจำเลยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนในวันและเวลาเดียวกัน ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแม้จะเป็นความผิดสำเร็จแล้ว แต่เมื่อกระทำความผิดทั้งสองความผิดเป็นวันเวลาเดียวกัน ถือว่าเป็นความผิดที่ต่อเนื่องกันอยู่ เจตนาของจำเลยที่มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองก็เพื่อจำหน่ายจึงเป็นเจตนาเดียวกันกับเจตนาในความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ทั้งเมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองและที่จะจำหน่ายก็เป็นจำนวนเดียวกัน การกระทำความผิดของจำเลยตามฟ้องเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่หลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3322/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องคดีเกี่ยวกับยาเสพติด โจทก์ไม่อ้างบทลงโทษที่หนักกว่า ถือเป็นการไม่ประสงค์ให้ลงโทษตามบทนั้น
พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 เป็นทั้งบทความผิดและบทลงโทษในมาตราเดียวกัน ส่วนความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และความผิดฐานพยายามกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 80 เป็นเพียงองค์ประกอบความผิดและบทลงโทษส่วนหนึ่งของมาตรา 7 เท่านั้น ดังนั้น การที่โจทก์ไม่อ้างมาตรา 7 ซึ่งมีโทษสูงกว่าโทษในความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ประกอบ ป.อ. มาตรา 80 จึงต้องถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 7 และเป็นการเกินคำขอตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่งและวรรคสี่