คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
บ้านพิพาท

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 26 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5880/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รวมในบ้านพิพาท: การแบ่งแยกและการชดใช้ราคาเมื่อมีสิทธิในที่ดิน
โจทก์จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกันในบ้านพิพาท คดีนี้โจทก์จำเลยต่างฟ้องขอให้ขับไล่ซึ่งกันและกัน ทั้งจำเลยฟ้องแย้งขอให้โจทก์ชดใช้เงินค่าบ้านพิพาทมาด้วย ถือได้ว่าเป็นกรณีที่เจ้าของรวมเรียกให้แบ่งกรรมสิทธิ์รวม แต่การให้รื้อถอนบ้านพิพาทย่อมทำให้สภาพบ้านเสียหาย ไม่เป็นผลดีแก่ทั้งสองฝ่ายแต่อย่างใด ทั้งการให้นำเฉพาะบ้านพิพาทออกประมูลขายทอดตลาดย่อมจะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์โดยไม่เป็นธรรม เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิในที่ดินที่ปลูกบ้านพิพาทตามสัญญาเช่าที่โจทก์ทำไว้กับบุคคลภายนอก บ้านพิพาทจึงควรตกเป็นของโจทก์ โดยให้จำเลยได้รับแต่ส่วนแบ่งกึ่งหนึ่งของราคาบ้านพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 998/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิอยู่อาศัยในบ้านของบุคคลในครอบครัวและในครัวเรือน แม้เจ้าของสิทธิเดิมไม่ได้อยู่อาศัย
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านพิพาทได้ให้ ส.มีสิทธิอาศัยในบ้านพิพาทตลอดชีวิต แต่ ส.ได้ย้ายไปพักรักษาตัวอยู่กับบุตรสาว ส่วนจำเลยอยู่กินเป็นสามีภรรยากับบุตรของ ส.โดยมิได้จดทะเบียนสมรสกันและมีบุตรด้วยกัน 2 คน ส.ยอมให้จำเลยและบุตรอาศัยอยู่ในบ้านพิพาทได้ จำเลยจึงมีฐานะเป็นบุตรสะใภ้ของ ส. ย่อมถือได้ว่าจำเลยมีฐานะเป็นบุคคลในครอบครัวและในครัวเรือนของ ส.ผู้มีสิทธิอาศัยในบ้านพิพาท ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1405 แล้ว แม้ต่อมา ส.จะไปรักษาตัวอยู่กับบุตรสาวและไม่ได้อยู่ในบ้านพิพาทก็ตาม แต่ ส.ก็ยังมิได้สละสิทธิอยู่อาศัยในบ้านพิพาทยังคงมีสิทธิอยู่อาศัยในบ้านพิพาทได้ตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ จำเลยซึ่งเป็นบุคคลในครอบครัวและในครัวเรือนของ ส.จึงมีสิทธิอยู่ในบ้านพิพาทได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย
ปัญหาว่าคำให้การของจำเลยก่อให้เกิดประเด็นที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนชอบที่ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ได้
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าเป็นบริวารของ ส.และได้เข้าอาศัยอยู่ในบ้านพิพาทโดยได้รับความยินยอมจาก ส.คำให้การของจำเลยเท่ากับเป็นการยกข้อต่อสู้ว่าจำเลยเป็นบุคคลในครอบครัวและในครัวเรือนของ ส.มีสิทธิอยู่ในบ้านพิพาทด้วยได้ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นบุคคลในครอบครัวและในครัวเรือนของ ส.จึงไม่เกินเลยไปจากคำให้การของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5441/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการขายฝาก: การพิจารณาว่าบ้านพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของบ้านเลขที่ตามสัญญาขายฝากหรือไม่
คู่ความตกลงท้ากันว่า บ้านพิพาทเป็นบ้านเลขที่ 86/1 ตามฟ้องหรือไม่ หากคดีรับฟังได้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีเต็มตามฟ้อง หากคดีรับฟังไม่ได้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี เมื่อตามคำฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยขายฝากบ้านเลขที่ 86/1จำนวน 2 หลัง หลังหนึ่งอยู่ในโฉนดอีกหลังหนึ่งที่พิพาทอยู่ในที่งอกชายตลิ่ง ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามคำท้าของคู่ความนั้น จึงขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงว่าจำเลยขายฝากบ้านพิพาทซึ่งไม่มีเลขบ้านให้โจทก์ด้วยหรือไม่ การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าบ้านพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของบ้านเลขที่ 86/1 แล้วพิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาทจึงไม่ตรงตามคำท้า เป็นการมิชอบ เมื่อตามหนังสือสัญญาขายฝากระบุว่าจำเลยได้ขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 40238 และขายพร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินมีบ้านเลขที่86/1 ซึ่งแสดงชัดเจนว่าขายฝากที่ดินและบ้านเลขที่ 86/1 ซึ่งปลูกสร้างในที่ดินที่ขายฝากเท่านั้น ฉะนั้นบ้านหลังอื่นที่มิได้ปลูกอยู่ในที่ดินที่ขายฝากจำเลยมิได้ขายฝากให้ด้วย คดีจึงรับฟังไม่ได้ว่าบ้านพิพาทเป็นบ้านเลขที่ 86/1 ตามฟ้อง โจทก์จึงต้องแพ้คดีตามคำท้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5441/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายฝากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง การวินิจฉัยว่าบ้านพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของบ้านเลขที่ตามสัญญาหรือไม่ มีผลต่อการตัดสินคดี
คู่ความตกลงท้ากันว่า บ้านพิพาทเป็นบ้านเลขที่ 86/1 ตามฟ้องหรือไม่ หากคดีรับฟังได้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีเต็มตามฟ้อง หากคดีรับฟังไม่ได้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี เมื่อตามคำฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยขายฝากบ้านเลขที่ 86/1 จำนวน 2 หลัง หลังหนึ่งอยู่ในโฉนดอีกหลังหนึ่งที่พิพาทอยู่ในที่งอกชายตลิ่ง ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามคำท้าของคู่ความนั้น จึงขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงว่าจำเลยขายฝากบ้านพิพาทซึ่งไม่มีเลขบ้านให้โจทก์ด้วยหรือไม่ การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าบ้านพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของบ้านเลขที่ 86/1แล้วพิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาทจึงไม่ตรงตามคำท้าเป็นการมิชอบ เมื่อตามหนังสือสัญญาขายฝากระบุว่าจำเลยได้ขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 40238 และขายพร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินมีบ้านเลขที่ 86/1 ซึ่งแสดงชัดเจนว่าขายฝากที่ดินและบ้านเลขที่86/1 ซึ่งปลูกสร้างในที่ดินที่ขายฝากเท่านั้น ฉะนั้นบ้านหลังอื่นที่มิได้ปลูกอยู่ในที่ดินที่ขายฝากจำเลยมิได้ขายฝากให้ด้วย คดีจึงรับฟังไม่ได้ว่าบ้านพิพาทเป็นบ้านเลขที่ 86/1 ตามฟ้อง โจทก์จึงต้องแพ้คดีตามคำท้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3936/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาท: ผลผูกพันคำวินิจฉัยศาลเดิมและอำนาจฟ้อง
ในคดีก่อน ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ผู้คัดค้านดำเนินการโอนที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสี่ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน และสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านพิพาท แต่คดีนี้ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องขอให้ผู้คัดค้านถอนการยึดบ้านพิพาทโดยกล่าวอ้างว่า บ้านพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสี่ตามสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านพิพาทก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1คำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ทั้งสองคดีมิได้มีประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกัน คำร้องขอของผู้ร้องทั้งสี่ในคดีนี้ จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลอันเกี่ยวกับคดีที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 ประกอบด้วย พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153 แต่ที่ผู้ร้องทั้งสี่กับผู้คัดค้านเป็นคู่ความเดียวกันในคดีก่อนและทั้งสองคดีก็พิพาทกันในมูลกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทเดียวกัน การที่ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องขอให้ผู้คัดค้านโอนบ้านพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสี่ตามสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านในคดีก่อน เท่ากับยอมรับว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้ยกคำร้องในส่วนนี้ และผู้ร้องทั้งสี่มิได้อุทธรณ์ คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในคดีก่อนจึงผูกพันผู้ร้องทั้งสี่และผู้คัดค้าน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145ประกอบ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153 ศาลในคดีนี้จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ของผู้ร้องทั้งสี่ ผู้ร้องทั้งสี่จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ผู้คัดค้านเพิกถอนการยึดได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องอำนาจฟ้องศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3936/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์บ้านพิพาทในคดีล้มละลาย: ผลผูกพันคำวินิจฉัยเดิม และอำนาจฟ้อง
ในคดีก่อน ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ผู้คัดค้านดำเนินการโอนที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสี่ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน และสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านพิพาทแต่คดีนี้ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องขอให้ผู้คัดค้านถอนการยึดบ้านพิพาทโดยกล่าวอ้างว่า บ้านพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสี่ตามสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านพิพาทก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 คำร้องของผู้ร้องทั้งสี่ทั้งสองคดีมิได้มีประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกัน คำร้องขอของผู้ร้องทั้งสี่ในคดีนี้ จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลอันเกี่ยวกับคดีที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 144 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153แต่ที่ผู้ร้องทั้งสี่กับผู้คัดค้านเป็นคู่ความเดียวกันในคดีก่อนและทั้งสองคดีก็พิพาทกันในมูลกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทเดียวกัน การที่ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องขอให้ผู้คัดค้านโอนบ้านพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสี่ตามสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านในคดีก่อน เท่ากับยอมรับว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้ยกคำร้องในส่วนนี้ และผู้ร้องทั้งสี่มิได้อุทธรณ์ คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในคดีก่อนจึงผูกพันผู้ร้องทั้งสี่และผู้คัดค้าน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ศาลในคดีนี้จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ของผู้ร้องทั้งสี่ ผู้ร้องทั้งสี่จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ผู้คัดค้านเพิกถอนการยึดได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องอำนาจฟ้อง ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3537/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำต้องห้าม: ประเด็นกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทที่เคยมีคำพิพากษาแล้ว
ก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นคดีนี้โจทก์ได้ถูกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟ้องขับไล่ออกไปจากที่ดินและบ้านพิพาทรายเดียวกันนี้โดยอ้างเหตุว่า โจทก์อาศัยอยู่ในบ้านพิพาท จำเลยทั้งสองบอกกล่าวให้ออกไปแล้ว โจทก์ไม่ยอมออก โจทก์ให้การต่อสู้คดีโดยอ้างเหตุอย่างเดียวกับข้ออ้างตามคำบรรยายฟ้องของตนในคดีนี้ว่า จำเลยที่ 3ในคดีนี้ซื้อเฉพาะที่ดินพิพาทจากโจทก์ แต่โจทก์ทำนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทไปด้วย เพื่อให้จำเลยที่ 3 นำที่ดินและบ้านพิพาทไปจำนองกับธนาคาร จำเลยที่ 1 และที่ 2รับซื้อฝากที่ดินและบ้านพิพาทโดยรู้อยู่แล้วว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์บ้านพิพาทยังเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ขณะที่คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคดีนี้ ต่อมาคดีที่จำเลยที่ 1และที่ 2 ฟ้องขับไล่โจทก์ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า บ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้วพิพากษาให้ขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินและบ้านพิพาท คดีทั้งสองมีประเด็นเดียวกันว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 แม้ว่าโจทก์จะฟ้องคดีนี้ไว้ก่อนที่ศาลในคดีก่อนจะได้วินิจฉัยชี้ขาดคดีก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นได้พิพากษาชี้ขาดคดีแล้ว กรณีก็ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 144 เช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3537/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: ประเด็นกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทที่ศาลเคยตัดสินแล้ว แม้ฟ้องก่อนมีคำพิพากษา
ก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีนี้โจทก์ได้ถูกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟ้องขอให้ขับไล่ออกไปจากที่ดินและบ้านพิพาทรายเดียวกันนี้ โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1ในคดีดังกล่าวให้การต่อสู้คดี โดยอ้างเหตุอย่างเดียวกับข้ออ้างตามคำบรรยายฟ้องในครั้งนี้ ดังนั้น ฟ้องโจทก์ในคดีนี้กับคดีก่อนมีประเด็นข้อพิพาทซึ่งศาลจะต้องวินิจฉัยเป็นประเด็นเดียวกัน ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 แม้ว่าโจทก์จะฟ้องคดีนี้ไว้ก่อนที่ศาลในคดีก่อนจะได้วินิจฉัยชี้ขาดคดีก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2302/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการพิสูจน์กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาท แม้มีคำพิพากษาถึงกรรมสิทธิ์แล้ว โจทก์ยังสามารถฟ้องพิสูจน์สิทธิของตนเองได้
คดีก่อนจำเลยในคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้อง ท.ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยต่อศาลแรงงานกลางขอให้ขับไล่ ท. กับพวกให้ออกไปจากบ้านพิพาทศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า บ้านพิพาทเป็นของจำเลย ให้ ท.กับบริวารออกไปท. กับพวกไม่ยอมปฏิบัติตามคำพิพากษา จำเลยจึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ในบ้านพิพาทและให้ศาลแรงงานกลาง ออกหมายจับ ท.โจทก์มาฟ้องจำเลยในคดีนี้โดยบรรยายฟ้องว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ ที่จำเลยอ้างในคำฟ้องในคดีเดิมว่า บ้านพิพาทเป็นของจำเลยและนำเจ้าพนักงานบังคับคดี ไปยึดทรัพย์ในบ้านและออกหมายจับ ท.นั้นทำให้โจทก์เสียหาย คำฟ้องดังกล่าวเป็นกรณีที่โจทก์ กล่าวอ้างว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิ แม้คำพิพากษา ของศาลแรงงานกลางจะวินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ของบ้านพิพาท ว่าเป็นของจำเลยซึ่งจำเลยใช้ยันบุคคลภายนอกได้ก็ตามแต่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกก็ยังมีสิทธิที่จะพิสูจน์ว่าโจทก์มีสิทธิดีกว่าได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145(2) ทั้งการที่โจทก์มิได้ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนดเวลา 8 วัน นับแต่วันปิดประกาศกำหนดเวลาให้โจทก์ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของ ท. ลูกหนี้ตาม คำพิพากษายื่นคำร้องดังกล่าว มาตรา 296 จัตวา(3) ก็เพียงให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าโจทก์เป็นบริวารของ ท. เท่านั้น ซึ่งมิใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาด โจทก์จึงยังสามารถ โต้แย้งเป็นอย่างอื่นได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าโดยเป็น เจ้าของบ้านพิพาทหรือไม่การที่โจทก์ไม่ดำเนินการตาม มาตรา 296 จัตวา(3) จึงไม่ตัดสิทธิของโจทก์ ที่ จะ ฟ้องเป็นคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 305/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์บ้านพิพาท: การสร้างบนที่ดินผู้อื่นและหลักฐานแสดงความเป็นเจ้าของ
ปัญหาที่ว่า บ้านพิพาทปลูกสร้างบนที่ดินของผู้ร้องที่ 2 ในลักษณะถาวรเป็นส่วนควบของที่ดินจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นสามีภรรยากันนั้น ผู้ร้องทั้งสองมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้คงวินิจฉัยให้เฉพาะพยานหลักฐานอื่นที่แสดงว่าบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้องทั้งสองหรือไม่
of 3