คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ปฏิปักษ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 23 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5345/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลกรณีคู่ความฝ่ายที่สามเข้ามาเป็นปฏิปักษ์ต่อทั้งโจทก์และจำเลย ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ราคาที่ดินพิพาท
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเชิดหรือรู้อยู่แล้วให้ผู้ร้องสอดซึ่งเป็นบุตรจำเลยเชิดตัวเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนของจำเลยและรับเงินมัดจำส่วนของจำเลยจำนวน 220,000 บาท จากโจทก์ แต่จำเลยไม่ยอมโอนให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์โดยรับเงินส่วนที่เหลือ5,893,250 บาท และให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 30,000,000 บาท ให้แก่โจทก์จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยเชิดผู้ร้องสอด ดังนั้นที่ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความ อ้างว่าผู้ร้องสอดเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทเพียงคนเดียว ผู้ร้องสอดได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทและรับเงินมัดจำกับโจทก์ในนามของตนเอง ไม่เกี่ยวกับจำเลยโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท ขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์และให้ผู้ร้องสอดริบเงินมัดจำจำนวน 220,000 บาท ที่โจทก์วางไว้กับผู้ร้องสอดนั้น จึงเป็นการร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามเพื่อให้ได้รับความรับรอง คุ้มครองและบังคับตามสิทธิของผู้ร้องสอดที่อ้างว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทแต่เพียงผู้เดียว อันเป็นการขัดกับข้ออ้างของโจทก์และข้อต่อสู้ของจำเลย เป็นปฏิปักษ์ทั้งต่อโจทก์และต่อจำเลย ผู้ร้องสอดจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่ผู้ร้องสอดเรียกร้อง
ผู้ร้องสอดขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์เป็นการขอให้ศาลรับรอง คุ้มครองและบังคับตามสิทธิที่ผู้ร้องสอดอ้างว่าผู้ร้องสอดมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแต่เพียงผู้เดียวผู้ร้องสอดจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลตามราคาที่ดินพิพาทซึ่งเท่ากับเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือ5,893,250 บาท รวมกับเงินมัดจำ 220,000 บาท ที่ผู้ร้องสอดอ้างว่าโจทก์วางไว้กับผู้ร้องสอดเป็นเงินรวม 6,113,250 บาท ส่วนที่ผู้ร้องสอดขอให้พิพากษาให้ผู้ร้องสอดริบเงินมัดจำ 220,000 บาท ที่โจทก์วางไว้กับผู้ร้องสอดนั้น หากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องสอดและโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท ผู้ร้องสอดก็ย่อมมีสิทธิริบเงินมัดจำที่โจทก์ได้มอบให้ผู้ร้องสอดไว้นั้นได้เองอยู่แล้ว เงินจำนวนดังกล่าวจึงมิใช่ทุนทรัพย์ของคดีที่ผู้ร้องสอดจะต้องเสียค่าขึ้นศาลด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหย่าจากพฤติการณ์เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา แม้จะเคยถอนฟ้องไปก่อนแล้ว
การที่โจทก์ยอมถอนฟ้องในคดีก่อนที่โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยนั้นเป็นเพราะจำเลยตกลงเงื่อนไขกับโจทก์ไว้เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขยังอยู่กินฉันสามีภริยากับหญิงอื่นจนกระทั่งปัจจุบันจึงมิใช่กรณีที่โจทก์ยอมให้อภัยจำเลยตลอดไปการกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1516(6)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6023/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหย่า: การบรรยายฟ้องหมิ่นประมาทเพียงใดที่ถือว่าไม่เคลือบคลุม และการร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาถือเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาหรือไม่
คำฟ้องซึ่งกล่าวอ้างถึงเหตุฟ้องหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516(3)ในเหตุหมิ่นประมาท ไม่เหมือนคำฟ้องที่กล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) วรรคสอง บัญญัติไว้ให้กล่าวถึงถ้อยคำพูดอันเกี่ยวกับข้อความหมิ่นประมาทโดยบริบูรณ์ฉะนั้นการที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองก้าวร้าวไม่มีเหตุผล ไม่ให้ความเคารพยำเกรงโจทก์และญาติผู้ใหญ่ของโจทก์ มักกล่าวถ้อยคำสบประมาทดูหมิ่นเหยียดหยามหรือหมิ่นประมาทโจทก์ บางครั้งก็พาดพิงถึงบุพการีโจทก์ด้วยถ้อยคำรุนแรงเสมอ ๆและกระทำได้แม้กระทั่งต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาของโจทก์ เป็นการหมิ่นประมาทและเหยียดหยามโจทก์หรือบุพการีโจทก์ ทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง ฯลฯ ย่อมเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6023/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหย่าตามอำนาจมาตรา 1516(3) และการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
คำฟ้องซึ่งกล่าวอ้างถึงเหตุฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(3) ในเหตุหมิ่นประมาทนั้น ไม่เหมือนคำฟ้องที่กล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) วรรคสอง บัญญัติไว้เป็นพิเศษให้กล่าวถึงถ้อยคำพูดอันเกี่ยวกับข้อความหมิ่นประมาทโดยบริบูรณ์ เมื่อคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงเหตุฟ้องหย่าว่าจำเลยได้หมิ่นประมาทและเหยียดหยามโจทก์และบุพการีของโจทก์ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1516(3) บังคับไว้แล้ว ย่อมเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม โจทก์ให้ความสนิทสนมกับ ส. มากเกินกว่าที่ผู้บังคับบัญชาทั่วไปจะพึงประพฤติปฏิบัติ ประกอบกับการที่โจทก์จงใจแยกตัวไปอยู่ต่างหากจากครอบครัวย่อมมีเหตุเพียงพอที่จำเลยในฐานะภริยาจะปักใจเชื่อว่าโจทก์และ ส. มีความสัมพันธ์กันในเชิงชู้สาว การที่จำเลยมีหนังสือขอความเป็นธรรมไปยังผู้อำนวยการการประถมศึกษาจังหวัดนครราชสีมาผู้บังคับบัญชาของโจทก์โดยกล่าวถึงความสัมพันธ์ในทางชู้สาวระหว่างโจทก์กับ ส. ซึ่งจำเลยเชื่อว่ามีอยู่จริงไว้ด้วยจึงเป็นวิธีการที่จำเลยขวนขวายเพื่อขอความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชาของโจทก์และเพื่อปกป้องสิทธิในครอบครัวของตน กรณียังถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3295/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ มติถอดถอนสมาชิกภาพที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย: การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์หรือไม่ซื่อตรงต้องชัดเจน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการของจำเลยมีมติให้ถอดถอนสมาชิกภาพของโจทก์ทั้งสองอันมีมูลเหตุมาจากการที่โจทก์ทั้งสองเป็นพยานในคดีที่นางสาว ก. ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในกรณีจำเลยสั่งเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม เป็นเหตุให้จำเลยแพ้คดีต้องชำระเงินค่าเสียหายแก่นางสาว ก. ย่อมเป็นการแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และมีคำขอบังคับโดยขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมดังกล่าว ทั้งมีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า การลงมติดังกล่าวไม่ชอบด้วยข้อบังคับของจำเลยและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนที่คำฟ้องโจทก์ไม่บรรยายว่า การกระทำของจำเลยไม่ชอบด้วยข้อบังคับอย่างไร การกระทำที่ไม่ชอบนั้นเป็นอย่างไร การกระทำอย่างไรไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ.2511 นั้นเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบต่อไปในชั้นพิจารณาและการวินิจฉัยปัญหานี้เป็นการวินิจฉัยข้อกฎหมายโดยพิเคราะห์จากคำฟ้องโดยตรง โจทก์จะนำสืบหรือไม่อย่างไรจึงไม่ใช่ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยถึง เมื่อคำฟ้องโจทก์มีสาระครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้วจึงไม่เคลือบคลุม การที่โจทก์ที่ 1 ทำหนังสือยอมรับมติของคณะกรรมการดำเนินการของจำเลยในการเลิกจ้างนางสาว ก. เป็นเรื่องระหว่างโจทก์ที่ 1กับจำเลย นางสาว ก. มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย การฟ้องคดีเป็นสิทธิส่วนตัว โจทก์ที่ 1 ไม่มีอำนาจที่จะบังคับไม่ให้นางสาว ก.ฟ้องคดีได้ ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ที่ 1 แสดงตนเป็นปฏิปักษ์หรือไม่ซื่อตรงต่อจำเลยหรือทำให้จำเลยเสียหายอันเป็นเหตุให้ที่ประชุมลงมติถอดถอนสมาชิกภาพของโจทก์ที่ 1 มติของที่ประชุมดังกล่าวจึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2085/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้ฟ้องหย่าได้ การกระทำที่มุ่งประจานต่อบุคคลที่สามถือเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
การที่จำเลยได้ไปพูดกับเพื่อนนักศึกษาของโจทก์ที่โรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศว่า "โจทก์มีเมียมาก มักมากในกาม โหดร้ายอำมหิต อย่าแนะนำหญิงอื่นให้รู้จักกับโจทก์ แม้แต่เมียของตนเองก็ตาม โจทก์จะหลอกเอาทำเมียอีกคน" เป็นคำพูดที่ต้องการให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง อันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1516(3) เป็นเหตุให้โจทก์นำมาฟ้องหย่าได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1378/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชักชวนพนักงานของจำเลยไปทำงานที่อื่น แม้ไม่สำเร็จ หรือไม่ทำให้เสียหาย ไม่ถือเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ หรือฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับร้ายแรง
การที่โจทก์ชักชวนพนักงานของจำเลยให้ไปทำงานที่สถานประกอบการอื่นที่ประกอบกิจการอย่างเดียวกับจำเลย โดยกล่าวลอย ๆ ไม่มีข้อเสนอที่แน่นอน ผู้ที่ถูกชักชวนก็มิได้ลาออกไปทำงานที่สถานประกอบการอื่น และไม่ปรากฏว่าจำเลยเสียหายการกระทำของโจทก์จึงไม่ถึงขั้นเป็นการสนทนาให้ร้ายเป็นผลให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจของจำเลยหรือดำเนินการแข่งขันกับจำเลยซึ่งถือว่าเป็นการปฏิบัติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อจำเลย มิใช่การฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยกรณีที่ร้ายแรงและไม่ถือว่าโจทก์กระทำการอื่นไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วงไปถูกต้องและสุจริตด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 204/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจัดการมรดกกรณีผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นปฏิปักษ์กัน ศาลเลือกผู้จัดการมรดกที่เหมาะสม
ในกรณีที่มีแต่ผู้ร้องและผู้คัดค้านเพียงสองคนเท่านั้น ขอเป็นผู้จัดการมรดก และมีพฤติการณ์ว่าคนทั้งสองเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน การจัดการมรดกคงจะไม่อาจถือเอาเสียงข้างมากตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1726 ได้หากให้คนทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันย่อมจะไม่เป็นผลดีแก่กองมรดกและแก่ทายาทของผู้ตาย โดยเหตุนี้ผู้ร้องหรือผู้คัดค้านคนใดคนหนึ่งเท่านั้นที่สมควรเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย โดยพิจารณาตั้งผู้ที่มีความเหมาะสมมากกว่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 204/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจัดการมรดกกรณีผู้ร้องและผู้คัดค้านเป็นปฏิปักษ์: เลือกผู้จัดการมรดกเหมาะสม
ในกรณีที่มีแต่ผู้ร้องและผู้คัดค้านเพียงสองคนเท่านั้นขอเป็นผู้จัดการมรดก และมีพฤติการณ์ว่าคนทั้งสองเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน การจัดการมรดกคงจะไม่อาจถือเอาเสียงข้างมากตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1726 ได้หากให้คนทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันย่อมจะไม่เป็นผลดีแก่กองมรดกและแก่ทายาทของผู้ตาย โดยเหตุนี้ผู้ร้องหรือผู้คัดค้านคนใดคนหนึ่งเท่านั้นที่สมควรเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย โดยพิจารณาตั้งผู้ที่มีความเหมาะสมมากกว่า.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1976/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร้องเรียนคู่สมรสฐานประพฤติชู้ ไม่ถือเป็นการเป็นปฏิปักษ์ร้ายแรงต่อการเป็นสามีภริยา
การที่จำเลยร้องเรียนกล่าวโทษโจทก์ต่อผู้บังคับบัญชาเป็นการกระทำด้วยอารมณ์หึงหวงอันเนื่องมาจากถูกโจทก์ทอดทิ้งแล้วโจทก์ไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่น การกระทำของจำเลยยังไม่เพียงพอที่จะถือว่า ได้ทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
of 3