พบผลลัพธ์ทั้งหมด 20 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4045/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาสละสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการชน ย่อมตัดสิทธิผู้รับประกันภัยในการรับช่วงเรียกค่าเสียหายจากผู้ก่อเหตุ
จำเลยขับรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนรถยนต์กระบะของ ส. ที่เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ เป็นเหตุให้รถทั้งสองคันได้รับความเสียหาย ซึ่งตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี นอกจากพนักงานสอบสวนจะทำบันทึกแจ้งข้อหาจำเลยเป็นคดีอาญาและเปรียบเทียบปรับอันทำให้คดีอาญาเป็นอันเลิกกันแล้ว พนักงานสอบสวนยังทำบันทึกเกี่ยวกับค่าเสียหายมีข้อความว่า คู่กรณีสมัครใจตกลงกันโดยทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจเรียกค่าเสียหาย ตกลงกันเป็นที่พอใจแล้วจึงให้ ส. และจำเลยลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน ดังนี้แสดงว่า ส. และจำเลยตกลงกันว่าไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายต่อกัน เป็นการระงับข้อพิพาทให้เสร็จไปโดยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันด้วยการที่ต่างฝ่ายต่างซ่อมรถที่เสียหายเอง ข้อตกลงเช่นนี้มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 ทำให้ ส. ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยได้ โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยรถของ ส. จะรับช่วงสิทธิของ ส. ได้เพียงเท่าที่ ส. ผู้เอาประกันภัยมีอยู่เท่านั้น แม้ ส. จะทำบันทึกตกลงกับจำเลยโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ก็ตาม แต่ ส. เป็นผู้ได้รับความเสียหายกรณีละเมิดถูกรถยนต์จำเลยเฉี่ยวชน ย่อมมีสิทธิที่จะทำข้อตกลงระงับข้อพิพาทที่มีอยู่กับจำเลยด้วยการทำสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายต่อกัน อันเป็นการสละสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ เมื่อ ส. ผู้เอาประกันภัยไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลย ดังนี้ โจทก์ผู้รับประกันภัยย่อมไม่อาจรับช่วงสิทธิของ ส. ที่จะมาเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยได้ การที่โจทก์ผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ ส. ผู้เอาประกันภัยไปเป็นการปฏิบัติไปตามข้อสัญญาในกรมธรรม์ที่โจทก์ทำไว้กับ ส. เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7274/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเรียกร้องค่าซ่อมรถยนต์หลังการจ่ายค่าซ่อมแล้ว ผู้รับประกันภัยมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ก่อเหตุได้
โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้นำรถยนต์ของผู้เอาประกันภัยซึ่งประกันภัยไว้กับโจทก์ไปซ่อมแล้ว ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามให้รับผิดค่าซ่อมรถยนต์คันดังกล่าว แม้ขณะฟ้องโจทก์จะยังไม่ได้ชำระค่าซ่อมรถยนต์คันดังกล่าวเนื่องจากอู่ยังซ่อมรถยนต์คันดังกล่าวไม่เสร็จก็ตาม แต่การที่โจทก์นำรถยนต์คันที่รับประกันภัยไปให้อู่ซ่อมและทางอู่ได้รับทำการซ่อมให้ในราคาที่ตกลงกันไว้นั้น โจทก์ย่อมมีความผูกพันที่จะต้องชำระค่าซ่อมให้แก่อู่ตามจำนวนเงินที่ตกลงกันไว้ ทั้งข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่าทางอู่ได้ซ่อมรถยนต์จนเสร็จและมอบรถยนต์ให้แก่เจ้าของรถยนต์ไปเรียบร้อยแล้ว ถือได้ว่าโจทก์ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแล้วตามจำนวนเงินราคาค่าจ้างที่ได้ตกลงไว้กับอู่ผู้ทำการซ่อม โจทก์ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของเจ้าของรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยมาเรียกร้องค่าซ่อมรถยนต์จำนวนดังกล่าวจากจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5865/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของรถผู้ประสบภัยไม่ต้องชำระค่าเสียหายเบื้องต้นคืนกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย หากมิได้เป็นผู้ก่อเหตุ
เจ้าของรถที่จะต้องชำระเงินค่าเสียหายเบื้องต้นคืนให้แก่สำนักงานกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยพร้อมเงินเพิ่มตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถพ.ศ. 2535 มาตรา 26 หมายถึงเจ้าของรถที่ก่อให้เกิดความเสียหายซึ่งมิได้จัดให้มีการประกันความเสียหายตามมาตรา 23(1) ไว้เท่านั้น แต่จำเลยเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นผู้ประสบภัยจากรถยนต์ของผู้อื่นที่ทำให้จำเลยได้รับบาดเจ็บจำเลยจึงมิใช่เจ้าของรถที่ก่อให้เกิดความเสียหายตามมาตรา 23(1) กรมการประกันภัยโจทก์จึงไม่อาจฟ้องบังคับให้จำเลยชำระค่าเสียหายเบื้องต้นที่ได้จ่ายให้จำเลยไปคืนให้แก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2813/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยผู้รับประกันภัยต้องรับผิดค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวนตามที่จำเลยผู้ก่อเหตุต้องรับผิด หากไม่ส่งเอกสารกรมธรรม์ตามคำสั่งศาล
โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุจากจำเลยที่ 2เพื่อนำสืบว่าจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวนเท่ากับจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 ได้รับคำสั่งเรียกพยานเอกสารแล้ว ไม่ยอมส่งกรมธรรม์ประกันภัยตามคำสั่งศาลและไม่นำสืบพยานให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงถือว่าข้อเท็จจริงแห่งข้ออ้างที่โจทก์ต้องนำสืบโดยกรมธรรม์ประกันภัยว่าจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เต็มจำนวนเท่ากับจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 2 ได้ยอมรับแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 123 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 98/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันยิงผู้อื่นเสียชีวิต พยานยืนยันจำเลยเป็นผู้ก่อเหตุ แม้ไม่มีพยานเห็นเหตุการณ์โดยตรง
เกิดเหตุเวลากลางคืนใกล้เวทีชกมวยซึ่งมีแสงสว่างเห็นได้ถนัด แม้ไม่มีประจักษ์พยานเห็นจำเลยยิงผู้ตาย แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเมื่อเสียงปืนดัง ขึ้นมี บ. พยานซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุมองไปตามเสียงปืนเห็นจำเลยกับพวกอีก 1 คน ยืนถืออาวุธปืนอยู่คนละกระบอกแล้ววิ่งผ่าน ม. พยานอีกคนหนึ่งเข้าป่าไป ขณะนั้นเจ้าหน้าที่สายตรวจทราบเหตุทางวิทยุจึงขับรถมายังที่เกิดเหตุพบจำเลยกับพวกคนหนึ่งเดิน อยู่จึงขอตรวจค้นจำเลยกับพวกวิ่งหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจจับจำเลยได้พร้อมอาวุธปืนแล้วพาจำเลยมายังที่เกิดเหตุ ม. ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุเบิกความว่าจำเลยเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่วิ่งผ่านพยานหนีเข้าป่าไปและหลังเกิดเหตุสิบกว่าวัน บ. มาดู ตัวจำเลยและยืนยันว่าจำเลยเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งในจำนวนสองคนที่ยืนถืออาวุธปืนอยู่ในที่เกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุมีแต่จำเลยกับพวกเท่านั้นที่ถืออาวุธปืนอยู่ เสียงปืนดัง มาจากกลุ่มของจำเลยกับพวกซึ่งมีเพียง2 คน พฤติการณ์ดังนี้ถ้า จำเลยไม่ได้ยิงพวกของจำเลยก็ต้องยิงการที่จำเลยวิ่งหนีไปพร้อมกับพวกโดยถืออาวุธปืนไปด้วยแสดงว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาร่วมกันที่จะยิงผู้ตาย พยานโจทก์ดังกล่าวจึงฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4758/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายโดยบันดาลโทสะจากการถูกข่มเหง ผู้เสียหายเป็นผู้ก่อเหตุ
ผู้เสียหายและจำเลยกับพวกนั่งดื่มสุรากันที่บ้านพักจำเลย ต่อมาผู้เสียหายเรียกจำเลยให้ลงไปพูดกัน จำเลยไม่ลง ผู้เสียหายดึงมือจำเลยหลายครั้งจนจำเลยตกจากที่นั่ง แล้วจำเลยเดินหนีเข้าไปในห้องนอนของจำเลย ผู้เสียหายเดินตามจำเลยเข้าไปในห้องกระชากมือจำเลยออกมา เช่นนี้ ผู้เสียหายเป็นผู้ก่อเหตุ กรณีถือได้ว่าจำเลยถูกผู้เสียหายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้เหล็กตะไบสามเหลี่ยมแทงผู้เสียหายที่บริเวณหน้าท้อง 2 ทีขณะที่ผู้เสียหายเข้าไปกระชากมือหรือจับบ่า จำเลยดึงออกมาข้างนอกห้อง จึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3287/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายเกินสมควรแก่เหตุ การยิงเพื่อป้องกันภริยาจากผู้ก่อเหตุ
ผู้ตายถืออาวุธปืนเป็นฝ่ายก่อเหตุเข้ามาต่อว่าและตบตีภริยาจำเลย เมื่อจำเลยถือปืนวิ่งออกมาเห็นภริยาจำเลยมีเลือดเปื้อนเต็มตัว จำเลยย่อมเข้าใจว่าผู้ตายจะยิงภริยาจำเลย อันเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยจึงมีสิทธิที่จะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเพื่อป้องกันชีวิตภริยาจำเลยได้ แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายติดต่อกันถึง6 นัด ในขณะที่อาวุธปืนในมือของผู้ตายหล่นลงไปที่พื้นแล้ว หากจำเลยยิงผู้ตายเพียงนัดเดียวก็น่าจะหยุดยั้งผู้ตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 คำให้การชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานโจทก์มีเหตุผลสอดคล้องต้องกัน และได้ให้การหลังเกิดเหตุไม่นาน ไม่มีเวลาคิดไตร่ตรองเพื่อช่วยเหลือหรือปรักปรำฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เชื่อว่าได้ให้การไปตามความสัตย์จริงตามที่ตนให้รู้เห็นมาโดยไม่มีมูลเหตุจูงใจหรือถูกบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด การที่ประจักษ์พยานโจทก์มาเบิกความในชั้นพิจารณาของศาลปฏิเสธว่าไม่เห็นเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุโดยไม่ได้ให้เหตุผลว่าเพราะเหตุใดจึงเบิกความในชั้นพิจารณาไม่ตรงกับที่เคยให้การไว้ในชั้นสอบสวน เชื่อว่าเพื่อช่วยเหลือให้จำเลยพ้นผิดคำให้การพยานชั้นสอบสวนไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไม่ให้รับฟังประกอบเป็นข้อพิจารณาของศาล ศาลเชื่อคำให้การชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานโจทก์เป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความในชั้นพิจารณา เมื่อรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นตลอดพฤติการณ์แห่งคดีพยานหลักฐานโจทก์จึงฟังลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1158/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการแทงด้วยอาวุธอันตราย ผู้ก่อเหตุมีเจตนาประทุษร้ายถึงแก่ชีวิต
แม้จำเลยจะใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายเพียงครั้งเดียวแต่มีดนั้นยาวประมาณ12นิ้วกว้างประมาณ2นิ้วกับจำเลยแทงทางด้านหลังขณะผู้เสียหายไม่ได้ระวังตัวและได้เลือกแทงที่สะบักซ้ายลึกเข้าถึงเยื่อหุ้มปอดจนมีเลือดตกลงในช่องปอดด้วยซึ่งหากผู้เสียหายไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีผู้เสียหายอาจถึงแก่ความตายได้ถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายแล้ว.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 506/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: ผู้ไม่ก่อให้เกิดเหตุไม่มีหน้าที่ช่วยเหลือ
จำเลยที่ 1 ขับรถมาชนรถจำเลยที่ 2 ซึ่งหยุดรถอยู่ขอบทาง เป็นเหตุให้มีคนตายและบาดเจ็บ ดังนี้ จำเลยที่ 2 มิใช่ผู้ก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตหรือร่างกายผู้อื่น การที่จำเลยที่ 2 ไม่หยุดรถทำการช่วยเหลือและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 59 มาตรา 30 วรรค 2
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2519)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2519)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 506/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: ผู้ไม่ก่อให้เกิดเหตุไม่มีหน้าที่
จำเลยที่ 1 ขับรถมาชนรถจำเลยที่ 2 ซึ่งหยุดรออยู่ขอบทาง เป็นเหตุให้มีคนตายและบาดเจ็บ ดังนี้ จำเลยที่ 2 มิใช่ผู้ก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตหรือร่างกายผู้อื่นการที่จำเลยที่ 2 ไม่หยุดรถทำการช่วยเหลือหรือแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 59 มาตรา 30 วรรค 2