พบผลลัพธ์ทั้งหมด 48 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1472/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขับรถและนายจ้างต่อความเสียหายจากอุบัติเหตุอันเกิดจากความประมาทเลินเล่อ
จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ขับรถยนต์โดยสารนำนักทัศนาจรไปเที่ยวและพาเข้าพักที่รีสอร์ท จึงมีหน้าที่ดูแลรักษารถยนต์โดยสารดังกล่าวในระหว่างที่พักอยู่ที่รีสอร์ทให้ปลอดภัยด้วย อันเป็นหน้าที่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 การที่จำเลยที่ 1 เมาสุราไม่เฝ้ารถยนต์โดยสารเอง แต่กลับให้ ก. พนักงานประจำรถนอนเฝ้ารถยนต์โดยสารแทน ทั้งที่ได้ยิน ก. พูดว่าจะออกไปเที่ยวข้างนอก และยังได้เสียบกุญแจรถไว้ที่สวิตช์ติดเครื่องยนต์ มิได้นำไปเก็บรักษาไว้ให้ปลอดภัย จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ ก. ถือโอกาสลักลอบขับรถยนต์โดยสารดังกล่าวไปเที่ยวข้างนอกและทำละเมิดต่อโจทก์ การที่ ก. ขับรถยนต์โดยสารดังกล่าวโดยประมาทเลินเล่อพลิกคว่ำเฉี่ยวชนราวเหล็กกันอันตรายพร้อมเสาของโจทก์เสียหาย ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนร่วมกับ ก. ทำละเมิดต่อโจทก์ด้วย ความเสียหายดังกล่าวจึงเป็นผลโดยตรงจากการที่จำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อไม่ควบคุมดูแลรักษารถยนต์โดยสารอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลให้ปลอดภัยตามหน้าที่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ร่วมทำละเมิดด้วย ส่วนจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 872/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขับรถประมาทชนสิ่งกีดขวาง แม้จะมีสิ่งกีดขวางอยู่ก่อน และสิทธิของนายจ้างในการเรียกร้องค่าเสียหาย
แม้โครงเหล็กของบริษัท อ. ผู้รับจ้างเหมาก่อสร้างทางรถไฟฟ้าธนายงจะยื่นล้ำเข้ามาในช่องเดินรถบางส่วนแต่ก็วางมานานแล้ว โจทก์ขับรถยนต์โดยสารผ่านที่เกิดเหตุอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ย่อมทราบดีว่าโครงเหล็กวางล้ำเข้ามาในช่องเดินรถ ขณะเกิดเหตุเป็นเวลา 17 นาฬิกายังมีแสงสว่างเพียงพอที่จะมองเห็นโครงเหล็กได้อย่างชัดเจน การที่โจทก์ขับรถยนต์โดยสารเข้าไปชนโครงเหล็กจนทำให้รถยนต์โดยสารของจำเลยได้รับความเสียหายนั้นเป็นความประมาทเลินเล่อของโจทก์อย่างร้ายแรงจำเลยย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ผู้ทำละเมิดชดใช้ค่าเสียหายได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ประกอบมาตรา 438
ศาลแรงงานกลางมิได้ฟังข้อเท็จจริงว่า บริษัท อ. เป็นผู้ทำละเมิดต่อจำเลยและไม่ปรากฏว่าจำเลยมีระเบียบบังคับให้จำเลยต้องฟ้องผู้ร่วมทำละเมิด อีกทั้งไม่มีกฎหมายใดกำหนดให้ผู้เสียหายมีหน้าที่ต้องฟ้องผู้ร่วมทำละเมิดด้วย การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้เสียหายตัดค่าจ้างโจทก์และให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยนั้น จึงชอบแล้ว
ศาลแรงงานกลางมิได้ฟังข้อเท็จจริงว่า บริษัท อ. เป็นผู้ทำละเมิดต่อจำเลยและไม่ปรากฏว่าจำเลยมีระเบียบบังคับให้จำเลยต้องฟ้องผู้ร่วมทำละเมิด อีกทั้งไม่มีกฎหมายใดกำหนดให้ผู้เสียหายมีหน้าที่ต้องฟ้องผู้ร่วมทำละเมิดด้วย การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้เสียหายตัดค่าจ้างโจทก์และให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยนั้น จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 674/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สนับสนุนการลักทรัพย์: ผู้ขับรถรู้เห็นเป็นใจให้ผู้โดยสารซ่อนตัวเพื่อลักทรัพย์
จำเลยที่ 4 เข้าไปแอบซ่อนตัวอยู่ในช่องเก็บสัมภาระใต้ท้องรถเพื่อลักทรัพย์ของผู้โดยสารโดยมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าด้วยความรู้เห็นเป็นใจของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ขับรถขณะนำรถมาจอดและรับประทานอาหาร การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 4 ลักทรัพย์ผู้เสียหาย จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2816/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขับรถที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น แม้ไม่ใช่ความผิดของตนเอง มีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือและแจ้งเหตุ
รถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับเฉลี่ยชนกับรถยนต์ที่จำเลยที่ 2 ขับสวนทางกัน รถทั้งสองคันได้รับความเสียหาย แม้ความเสียหายจะมิได้เกิดเพราะความผิดของจำเลยที่ 2 ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นแล้วการที่จำเลยที่ 2 หลบหนี จึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8663/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของผู้ขับรถที่หยุดรอโดยสารหลังเกิดอุบัติเหตุ ผู้ขับไม่ถือเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหาย
ผู้ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินที่ต้องหยุดรถให้ความช่วยเหลือพร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันทีไม่ว่าจะเป็นความผิดของผู้ขับขี่หรือไม่ ตาม พ.ร.บ.จราจร ทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78 หมายถึง ผู้ควบคุมรถที่กำลังแล่นอยู่และมีความเสียหายเกิดขึ้น หาใช่ผู้ขับรถที่จอดอยู่หรือหยุดอยู่ไม่
จำเลยหยุดรถในช่องเดินรถด้ายซ้ายอยู่แล้ว โดยมีผู้โดยสารกำลังขึ้นรถ มิใช่ขับมาแล้วหยุดกะทันหัน การที่ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์มาด้วยความประมาทเฉี่ยวชนท้ายรถแท๊กซี่ที่จำเลยขับ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ก่อความเสียหายอันจะต้องหยุดรถให้ความช่วยเหลือและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78, 160 วรรคหนึ่ง
จำเลยหยุดรถในช่องเดินรถด้ายซ้ายอยู่แล้ว โดยมีผู้โดยสารกำลังขึ้นรถ มิใช่ขับมาแล้วหยุดกะทันหัน การที่ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์มาด้วยความประมาทเฉี่ยวชนท้ายรถแท๊กซี่ที่จำเลยขับ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ก่อความเสียหายอันจะต้องหยุดรถให้ความช่วยเหลือและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78, 160 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7683/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษผู้ขับรถเสพยาเสพติด จำเป็นต้องเข้มงวดเพื่อความปลอดภัยสาธารณะและป้องกันการกระทำผิดซ้ำ
การที่จำเลยเสพเมทแอมเฟตามีนขณะปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกอาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของผู้อื่นได้ทุกขณะ เพราะอาการมึนเมาเมทแอมเฟตามีนย่อมทำให้ไม่อาจใช้ความระมัดระวังในการขับรถได้อย่างเต็มกำลังความสามารถ พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นเรื่องที่ร้ายแรง แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนและจำเลยเป็นกำลังสำคัญในการเลี้ยงดูบุคคลในครอบครัวดังที่กล่าวอ้างในฎีกา แต่เพื่อให้จำเลยเข็ดหลาบและเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลอื่น อันจะเป็นการปกป้องประชาชนทั่วไปจากภยันตรายบนท้องถนนที่มักเกิดขึ้นจากผู้ขับรถที่ขาดสติเพราะเสพเมทแอมเฟตามีนสมควรลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษ
จำเลยเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถ จึงต้องระวางโทษสูงกว่าโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษอีกหนึ่งในสามตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกฯ มาตรา 127 ทวิ วรรคสองเมื่อโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 91 มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000บาทถึง 100,000 บาท เฉพาะอัตราโทษจำคุกที่จะลงโทษแก่จำเลยในคดีนี้จึงมีกำหนดขั้นต่ำตั้งแต่ 8 เดือน ที่ศาลล่างทั้งสองวางโทษจำคุกก่อนลดไว้ 6 เดือน จึงเป็นการลงโทษจำคุกต่ำกว่าอัตราโทษขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด
จำเลยเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถ จึงต้องระวางโทษสูงกว่าโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษอีกหนึ่งในสามตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกฯ มาตรา 127 ทวิ วรรคสองเมื่อโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 91 มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000บาทถึง 100,000 บาท เฉพาะอัตราโทษจำคุกที่จะลงโทษแก่จำเลยในคดีนี้จึงมีกำหนดขั้นต่ำตั้งแต่ 8 เดือน ที่ศาลล่างทั้งสองวางโทษจำคุกก่อนลดไว้ 6 เดือน จึงเป็นการลงโทษจำคุกต่ำกว่าอัตราโทษขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7954/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษผู้ขับรถที่เสพยาเสพติดขณะปฏิบัติหน้าที่: การพิจารณาบทลงโทษตามกฎหมายจราจรและกฎหมายยาเสพติด
จำเลยเสพเมทแอมเฟตามีนขณะปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถซึ่งขณะที่จำเลยกระทำความผิดนี้ มีพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก(ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2542 มาตรา 6 ยกเลิกความในมาตรา 127 ทวิ เดิมและให้เพิ่มความในวรรคสองของมาตรา 127 ทวิ ว่า "ผู้ได้รับใบอนุญาตปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ประจำรถผู้ใดฝ่าฝืน มาตรา 102(3 ทวิ) หรือ (3 ตรี)ต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษหรือกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทแล้วแต่กรณีแต่ถ้าผู้นั้นเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถ ต้องระวางโทษสูงกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ หรือกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทแล้วแต่กรณี อีกหนึ่งในสาม" จึงต้องลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 127 ทวิ วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4302/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษผู้ขับรถที่กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ร.บ.ขนส่งทางบกแก้ไขโทษหนักกว่ากฎหมายยาเสพติด
ขณะที่จำเลยกระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนและปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถ ซึ่งเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท มี พ.ร.บ.การขนส่งทางบก (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2542 มาตรา 6 ให้ยกเลิกความในมาตรา127 ทวิ แห่ง พ.ร.บ.การขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.การขนส่งทางบก (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2535 และให้เพิ่มความในวรรคสองของมาตรา127 ทวิ ว่า "ผู้ได้รับใบอนุญาตปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ประจำรถผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 102(3 ทวิ)หรือ (3 ตรี) ต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษหรือกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท แล้วแต่กรณี แต่ถ้าผู้นั้นเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถ ต้องระวางโทษสูงกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ หรือกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทแล้วแต่กรณี อีกหนึ่งในสาม"จึงต้องลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.การขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 127 ทวิวรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตาม ป.อ.มาตรา 90
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4302/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษผู้ขับรถที่เสพยาเสพติด: การพิจารณาโทษตามกฎหมายจราจรและยาเสพติด และการรอการลงโทษ
ขณะที่จำเลยกระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนและปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถ ซึ่งเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทมีพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2542 มาตรา 6ให้ยกเลิกความในมาตรา 127 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกพ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก (ฉบับที่ 4)พ.ศ. 2535 และให้เพิ่มความในวรรคสองของมาตรา 127 ทวิ ว่า "ผู้ได้รับใบอนุญาตปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ประจำรถผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 102(3 ทวิ)หรือ (3 ตรี) ต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษหรือกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท แล้วแต่กรณี แต่ถ้าผู้นั้นเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถ ต้องระวางโทษสูงกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ หรือกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทแล้วแต่กรณี อีกหนึ่งในสาม" จึงต้องลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 127 ทวิ วรรคสองซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4983/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเสพเมทแอมเฟตามีนของผู้ขับรถ: ไม่ครบองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก แม้เป็นยาเสพติด
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยซึ่งเป็นผู้ได้รับ ใบอนุญาตปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ประจำรถ (ผู้ขับรถ) เสพเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ขณะขับขี่รถยนต์บรรทุก เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามฟ้องว่าจำเลยเสพเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไม่ใช่เสพวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิต และประสาท พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 ทวิบัญญัติห้ามมิให้ผู้ขับขี่เสพหรือรับเข้าร่างกายไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ ซึ่งวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทกลุ่ม แอมเฟตามีนหรือวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทอย่างอื่นที่อธิบดีกำหนดซึ่งผู้ฝ่าฝืนมีความผิด ตามมาตรา 157 ทวิ นั้น เมื่อตามข้อกำหนดกรมตำรวจ เรื่องกำหนดชื่อและประเภทของวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯ ลงวันที่ 13 กรกฎาคม 2537 กำหนดให้ห้ามเสพแอมเฟตามีนและเมทแอมเฟตามีน แสดงว่า บทบัญญัติดังกล่าวประสงค์ที่จะเอาผิด และลงโทษผู้ขับขี่ที่เสพหรือรับวัตถุออกฤทธิ์ เข้าร่างกายเท่านั้น มิได้ประสงค์ที่จะเอาผิดและลงโทษผู้ขับขี่ที่เสพหรือรับยาเสพติดให้โทษ ในประเภท 1 เข้าร่างกายด้วย ประกอบกับ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคแรกบัญญัติให้บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะนั้นบัญญัติ เป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ ดังนั้น เมื่อปรากฏว่า ขณะที่จำเลยขับรถโดยเสพเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องได้มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 97(พ.ศ. 2539) และฉบับที่ 135(พ.ศ. 2539)ออกมาใช้บังคับอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งมีผลทำให้เมทแอมเฟตามีนไม่เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 อีกต่อไป และระบุให้เมทแอมเฟตามีนเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ขับขี่ เสพเมทแอมเฟตามีนจึงเป็นการกระทำที่ไม่ครบองค์ประกอบความผิดตาม มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ศาลจึงไม่อาจพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามบทบัญญัติ มาตราดังกล่าว และไม่อาจลงโทษจำเลย หรือมีคำสั่งให้พักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาต ขับขี่รถยนต์ของจำเลยตามมาตรา 157 ทวิ วรรคหนึ่งได้ ทั้งกรณีมิได้เป็นเรื่องที่ประกาศกระทรวงสาธารณสุขทั้งสองฉบับยกเลิกความผิดตาม พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง เนื่องจากความผิดตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวยังคงมีอยู่ กล่าวคือ ผู้ขับขี่ที่เสพหรือรับเข้าร่างกาย ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์กลุ่มแอมเฟตามีน หรือวัตถุออกฤทธิ์อย่างอื่นที่อธิบดีกรมตำรวจกำหนดนอกจากแอมเฟตามีนและเมทแอมเฟตามีนยังคง ต้องมีความผิดตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าว อีกทั้งการเสพเมทแอมเฟตามีนก็ยังคงเป็นความผิดตามกฎหมายอื่นอยู่ และมิได้ถูกยกเลิก ไปโดยประกาศกระทรวงสาธารณสุข ทั้งสองฉบับดังกล่าว การพักใช้ใบอนุญาตขับขี่หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ไม่ใช่โทษตามกฎหมาย เมื่อการเสพเมทแอมเฟตามีนของผู้ขับรถในขณะขับรถไม่อาจถือเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง ศาลจึงไม่อาจสั่งให้พักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาต ขับขี่รถยนต์ได้อยู่ในตัว